เจ้าสาวกลางทะเลทราย

ตอนที่ 5 ตัวแทน



ตอนที่ 5 ตัวแทน

น้อมจิตรู้ว่าชุติกาญจน์ยอมไปคูลฮาร์นแทนเพ็ญพักตร์ก็ ยิ้มอย่างพอใจแต่เธอเองก็อดเสียดายไม่ได้ถ้าเพ็ญพักตร์ ได้แต่งกับเจ้าชายก็ได้เป็นถึงพระชายาเธอเองก็พลอย มีหน้ามีตาไปด้วยในวงสังคม เธอรักหลานสาวคนนี้มาก เลี้ยงดูมาอย่างดีไม่เคยแม้แต่จะขัดใจในเมื่อหลานสาว ของเธอไม่ต้องการแต่งงานกับเจ้าชายเธอก็ต้องตามใจ

“เข้ากันได้ดีจริงนะ” น้อมจิตมองหญิงสาวทั้งสองที่นั่งอยู่ ในห้องนั่งเล่นอย่างไม่พอใจเมื่อเห็นทั้งสองหัวเราะกันคิด คึก

จิรดาหันไปมองแวบหนึ่งแล้วหันกลับมาสนใจหนังสือใน มือต่อ ชุติกาญจน์นั้นนั่งเงียบไม่พูดจาอะไร

“ว่าไงฉันพูดด้วยเป็นใบ้กันหมดหรือไง” หญิงสูงวัยจึง เดินเข้ามาหาสองสาวในห้อง

“ได้ยินค่ะคุณหญิงต้องการอะไรคะ” ชุติกาญจน์ลุกขึ้น ยืนและเดินเข้าไปหา

“เปล่าหรอกใครจะกล้าใช้ว่าที่พระชายาได้ หึ” เสียง หัวเราะในลำคอของผู้เป็นย่าทำให้จิรดาหน้าบึ้งว่าง หนังสือลงกับโต๊ะและเดินเข้าไปหาชุติกาญจน์
“รู้ก็ดีแล้วค่ะต่อไปจะได้ไม่กล้าใช้งานหนักๆถ้าเกิดเจ้า ชายรู้ก็คงจะไม่พอใจจริงไหมคะคุณหญิง” จิรดามองอีก ฝ่ายอย่างไม่หลบสายตา

“แกมันนิสัยติดแม่แกจริงๆ นิสัยไพร่ไม่มีสกุลไม่รู้จักเด็ก รู้จักผู้ใหญ่”

“ถ้าผู้ใหญ่รู้จักทำตัวให้น่านับถือเด็กมันก็คงไม่พูดจา

เถียงแบบนี้หรอกค่ะ”

“ดาพอได้แล้ว” ชุติกาญจน์ดึงแขนเพื่อนสาวเอาไว้ จิร ดาหันมามองหน้าหญิงสาว

“เธอยอมเขาอยู่เรื่อยเขาถึงได้ใช้เธอยังกับคนใช้แบบนี้

ไง”

“นังเด็กบ้า ฉันจะให้ตาภาสไล่แกกลับไปเลี้ยงควายอยู่ บ้านนอกของแก” น้อมจิตมือไม้สั่นด้วยความโกรธแต่ก็ไม่ กล้าที่จะลงมือกับหญิงสาว

“ถ้าไม่มีอะไรดิฉันขอตัวนะคะคุณหญิง ไปดา” ชุติกาญ จน์รีบดึงจิรดาออกมาจากห้องนั่งเล่นตรงไปที่สวนหลัง บ้าน

“เธอดึงฉันออกมาทำไมกาน” จิรดาหันมาต่อว่าชุติกาญจน์
“ฉันไม่อยากให้เธอบาป”

“อารมณ์เสียแต่เช้าเลย เมื่อเข้าอุตสาห์ใส่บาตรแต่เช้า แล้วยังไม่พ้นพวกมารผจญอีก” จิรดาเดินมานั่งที่ม้าหิน อ่อนและถอนหายใจ

“พูดแบบนั้นไม่ได้นะดา ฉันบอกแล้วไงว่ามันบาป” ชุติ กาญจน์ดุอีกฝ่าย

“ขอบใจเธอมากนะ แต่ฉันอดไม่ได้จริงๆคุณหญิงเขาไม่ เคยเห็นพวกเราเป็นญาติเลยสักนิดเจอทีไรเป็นต้องหา เรื่องด่าให้ได้แค่ฉันมาอยู่ยังไม่เต็ม 2 วันฉันยังเบื่อเลย แล้วเธอทนมาได้ยังไงตั้ง 2 ปี” จิรดายิ้มเมื่อเห็นอีกฝ่าย หวังดี

“ฉันก็อยู่ตามประสาของฉันไม่เข้าไปยุ่งกับท่าน เวลา ท่านด่าว่าฉันก็เงียบเสียก็เท่านี้เอง” ชุติกาญจน์ตอบ

“ฉันคงทำไม่ได้ เธอน่ารักแบบนี้น่าจะได้เป็นคู่หมั้นเจ้า ชายมากกว่า พักตร์เสียอีก”

“บ้า ไม่เอาหรอกฉันเป็นแค่ลูกชาวบ้านธรรมดาไม่ คู่ควรกับพระองค์หรอก อีกอย่างที่ฉันจะไปก็แค่ไปพูดให้ พระองค์ยกเลิกการหมั้นหมายที่จะเกิดขึ้นเท่านั้นพอจบ เรื่องก็กลับ”
“หัวเราะไปตามประสาคนที่อารมณ์ดีไงคะพี่พักตร์ไม่ เห็นจะน่าถามตรงไหน” จิรดาตอบแบบกวนๆ เพ็ญพักตร์ หน้าบึ้งทันที

“ฉันถามพวกหล่อนดีๆนะเนี่ยทำไมต้องมากวนประสาท กันด้วย”

“เปล่านะคะพี่พักตร์ดาก็ตอบตามความเป็นจริง” จิรดา เอามือไปประสานกันไว้ข้างหลังของตนเองและมองอีก ฝ่ายอย่างยิ้มๆ

“ฉันรู้แล้วว่าพวกแกหัวเราะอะไรกัน” เพ็ญพักตร์กอดอก มองสองสาวและยิ้มที่มุมปาก

“อะไรคะ” ชุติกาญจน์ขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ

“อย่ามาหาใส อเลยยัยกาน หล่อนคงคิดว่าเจ้าชายจะ สนใจหล่อนและหมั้นกับหล่อน”

“เปล่านะคะกานไม่ได้คิดแบบนั้นเลย”ชุติกาญจน์รีบ ปฏิเสธ

“อย่ามาแก้ตัวเลยฉันรู้ว่าแกลำบากมาก่อนก็สมควร หรอกนะที่แกจะคิดแบบนั้นแต่ฉันขอบอกไว้เลยนะว่าเจ้า ชายไม่สนใจผู้หญิงบ้านนอกอย่างหล่อนหรอกคู่ขาของ เจ้าชายระดับดารา นักร้อง นางแบบชื่อดังทั้งนั้นอย่างหล่อนก็เป็นได้แค่นางในฮาเร็มของพระองค์เท่านั้น แหละ” เพ็ญพักตร์อมยิ้มอย่างชอบใจ

“พูดพอหรือยังพี่พักตร์ ที่กานเขาไปก็เพื่อไปเป็นตัวแทน ของพี่และดาก็คิดว่าผู้หญิงอย่างกานถึงจะเป็นสาวบ้าน นอกแต่ก็มีจิตใจที่ดีงามผู้หญิงแบบนี้ต่างหากที่ผู้ชายเขา ต้องการไปเป็นแม่ของลูกไม่ใช่ผู้หญิงที่ไม่มีหัวคิดวันๆ เอาแต่หาเรื่องชาวบ้านเขาไปทั่ว”

“แก…แกนังดาแกด่าใคร”เพ็ญพักตร์ชี้หน้าจิรดาพร้อม กับก๋ามือแน่น

“ใครอยากได้ก็รับไปสิคะดา” หญิงสาวยักไหล่และ จูงมือชุติกาญจน์ให้เดินตามเธอมาอย่างรวดเร็ว

“แกกลับมาก่อนนะจิรดาอย่าหนีสิ” เพ็ญพักตร์กระทืบ เท้าอย่างโมโหมองตามสองสาวไปอย่างแค้นใจ

“นั่งเด็กบ้าคอยดูนะสักวันจะตบให้หน้าหงายเลย” หญิง สาวกล่าวอาฆาตพร้อมกับเดินกลับเข้าไปในห้องปิดประตู เสียงดังจนสาวใช้ที่เดินขึ้นมาสะดุ้งสุดตัว

จิรดาหัวเราะชอบใจแต่ชุติกาญจน์กลับนิ่งเงียบจนอีก ฝ่ายต้องหันมามองและขมวดคิ้วอย่างสงสัย “เธอไม่ชอบ หรือกานพี่พักตร์เต้นเป็นเจ้าเข้าเลยสะใจชะมัด”
“เฮ้อ..เธอชอบไปต่อปากต่อคำกับคุณพี่เดี๋ยวก็มีเรื่อง หรอกเตือนแล้วก็ไม่ยอมฟัง

“บ่นอีกแล้ว ยังไม่แก่ซะหน่อยบ่นจังเลย ทำไมวันนี้มัน ซวยแต่เช้าเลยนะ” จิรดาทำหน้ามุ่ยและเดินตามชุติกาญ จน์เข้าไปในห้อง สองสาวนั่งทบทวนคำศัพท์ภาษาอังกฤษ และประโยคสนทนากันอย่างสนุกสนาน

น้อมจิตนั่งรอบุตรชายอยู่ที่ห้องรับแขกและเมื่อประภาส และวรรณากลับมาจากที่ทำงานเธอก็ลุกขึ้นไปดักหน้าทั้ง สองคนไว้

“มีอะไรหรือครับคุณแม่” ประภาสร้องถามมารดาเมื่อ เห็นสีหน้ามารดาบึ้งตึง

“ก็หลานในไส้และนอกไส้ของแกนะสิเถียงฉันให้ฉอดๆ ฉันอุตสาห์ไปตักเตือนดีๆกลับตอกหน้าฉันกลับมาเหมือน ไม่เห็นฉันอยู่ในสายตาแกต้องส่งพวกมันกลับบ้านไป ถ้าคิดว่าฉันเป็นแม่” คุณหญิงเดินไปนั่งลงที่โซฟานุ่ม ประภาสและวรรณนามองหน้ากันก่อนจะเดินตามไปนั่ง ลงที่โซฟาข้างๆ

“คุณแม่หมายถึงจิรดากับชุติกาญจน์หรือครับ”

“ใช่แกคิดว่ามีคนอื่นอีกเหรอ” คุณหญิงย้อนถามบุตรชาย
“ทําไมคะคุณแม่สองคนนั่นไปทําอะไรให้คุณแม่ไม่ พอใจหรือคะ” วรรณนาเอ่ยถามถึงสาเหตุ

“มันเถียงฉัน ฉันบอกหล่อนแล้วเด็กพวกนี้ไม่รู้จักบุญ คุณของคนอื่นหรอก”น้อมจิตเชิดหน้าขึ้น

“คุณแม่ครับเด็กสองคนนั่นเป็นเด็กดีนะครับ”

“งั้นแกก็ว่าแม่เป็นคนไม่ดีหรือตาภาส” คุณหญิงมองหน้า บุตรชาย

“เปล่าครับเพียงแต่ว่าคุณแม่เป็นผู้ใหญ่แล้วอย่าไป ถือสาเด็กมันเลยนะครับ” ประภาสพูดเสียงอ่อนลงเมื่อ เห็นมารดาเริ่มโมโห

“แกเข้าข้างนังเด็กสองคนนั้นเหรอ”

“ผมไม่ได้เข้าข้างใครนะครับเพียงแต่ถ้าไม่ได้ชุติกาญ จน์ไปแทนยัยพักตร์ล่ะก็หลานสาวของคุณแม่นั่นแหละ ครับที่ต้องลำบากหรือคุณแม่เปลี่ยนใจจะให้ยัยพักตร์ไป เองผมจะได้บอกหนูกาน” ประภาสมองมารดาก็เห็นคุณ หญิงน้อมจิตมีสีหน้าเปลี่ยนไป

“ไม่เด็ดขาดให้ชุติกาญจน์ไปน่ะดีแล้ว ก็ได้เรื่องนี้ฉันจะ ไม่เอาเรื่อง” น้อมจิตลุกขึ้นเดินออกมาจากห้องรับแขก พอดีกับที่เพ็ญพักตร์เดินลงมาจากชั้นบนด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

“จะไปไหนลูกแต่งตัวสวยเชียว”

“มีนัดทานข้าวกับพ่อแม่ของวุธเขาค่ะคุณย่า วุธเขาจะ

พาพักตร์ไปพบกับพ่อแม่ของเขา” “ดีจริงนะแฟนแกเนี่ยคบกันมาไม่เคยเลยที่จะเข้ามาไหว้

พ่อแม่” ประภาสพูดขึ้นอย่างอดไม่ได้ที่เห็นบุตรสาวไปหา

ผู้ชายถึงที่บ้าน

“ก็เขางานยุ่งนี่คะคุณพ่อ แล้วถ้าเขาเข้ามาคุณพ่อยินดี ต้อนรับหรือเปล่าล่ะคะ” เพ็ญพักตร์ย้อนถามบิดา

“ถึงยังไงก็ต้องเข้ามาเคารพผู้ใหญ่ของฝ่ายหญิงก่อนถ้า รักชอบกันจริง” วรรณนาทำหน้าดุบุตรสาว

“รีบไปเถอะลูกอย่าไปฟังพ่อกับแม่เขาเลยพวกเนี่ยไม่รู้ จักความรักของพวกหนุ่มสาวแบบหนูหรอก”

ประภาสส่ายหน้าเมื่อมารดาพูดให้ท้ายเพ็ญพักตร์จน ออกนอกหน้า

“ขอบคุณค่ะคุณย่าแล้วหนูจะรีบกลับนะคะ” หญิงสาว เข้าไปหอมแก้มคุณย่าก่อนจะเดินยิ้มร่าเริงออกไปที่โรงรถ

คุณหญิงน้อมจิตหันมาค้อนให้บุตรชายและลูกสะใภ้ ก่อนจะเดินขึ้นไปบนห้อง ประภาสหันมาสบตากับภรรยา

“ผมจะทนไม่ไหวแล้วนะวรรณ”

“ใจเย็นๆนะคะคุณ ปล่อยไปก่อนเถอะค่ะตอนนี้เราต้อง จัดการเรื่องงานหมั้นเสียก่อนเดี่ยววรรณจะไปหาหลาน คุณจะไปด้วยกันหรือเปล่าคะ”

“ไปสิอีกตั้งชั่วโมงกว่าจะถึงเวลาอาการเย็นผมก็อยาก ไปคุยกับพวกเขาเหมือนกัน” สองสามีภรรยาเดินประคอง กันไปที่ห้องของชุติกาญจน์

ก๊อก! ก๊อก!

“เชิญค่ะประตูไม่ได้ล็อค” ชุติกาญจน์ตะโกนบอกเพราะ คิดว่าเป็นสาวใช้

“ทำอะไรกันอยู่จ้ะสาวๆ” วรรณนายิ้มให้สองสาว

“คุณลุง คุณป้า”ชุติกาญจน์ยิ้ม
“หนูนึกว่าพวกเด็กๆ ขึ้นมาตาม”หญิงสาวลุกขึ้นจากเตียง

“ลุงจะมาดูว่าพวกหนูขาดเหลืออะไรอีกหรือเปล่า” ประภาสนั่งลงที่เก้าอี้ปลายเตียง ชุติกาญจน์หันไปมอง หน้าจิรดา

“พวกเราไม่มีอะไรขาดเหลือหรอกค่ะ พวกเรามีทุกอย่าง ครบแล้ว”จิรดาตอบผู้เป็นลุงและหันไปมองหน้าชุติกาญ จน์

“ใช่ค่ะคุณลุง คุณลุงกับคุณป้าไม่ต้องห่วงนะคะพวกเรา จัดการเรียบร้อยหมดแล้วค่ะ” ชุติกาญจน์ยิ้ม

“แต่ป้าก็อดเป็นห่วงหนูสองคนไม่ได้ไปกันตามลำพัง แปลกถิ่นและผู้คนที่ไม่รู้จักป้ากลัวหนูสองคนจะได้รับ อันตราย” วรรณนาลูบผมชุติกาญจน์เบาๆ

“ข้อนี้ลุงก็เห็นด้วยกับป้าเขาลุงรู้สึกไม่สบายใจที่ส่งพวก หนูไปลำบาก ลุงอยากไปด้วยแต่ทางนี้กำลังมีปัญหาบ้าน เมืองอยู่” ประภาสถอนใจอย่างแรง

“คุณลุงคะกานเขาเก่งค่ะรู้จักเอาตัวรอดได้คุณลุงไม่ ต้องเป็นห่วงนะคะ”จิรดาคุกเข่าลงตรงหน้า ประภาสมอง สบตาหลานสาว
“ลุงรู้ว่าเราเก่งแต่ข่าวเรื่องผู้หญิงของเจ้าชายทั้งสอง องค์ก็มีให้เห็นบ่อยในนิตยสาร

“สององค์หมายความว่าไงคะ”จิรดาถามอย่างสงสัย

“เจ้าชายมาริคองค์รัชทายาทลำดับที่ 1 เคยแต่งงานมา แล้วแต่ชายากับพระโอรสประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ เสียชีวิตทั้งคู่ เจ้าชายเสียพระทัยมากจึงไม่คิดแต่งงานกับ ใครอีก แต่ลุงได้ข่าวมาว่าองค์สุลต่านได้หมั้นหมายเจ้า หญิงแคว้นใกล้เคียงไว้ให้และคงแต่งกันในไม่ช้านี้ ส่วน เจ้าชายเรฮานเท่าที่ลุงรู้พระองค์เป็นคนเจ้าชู้ มีข่าวกับ สาวๆไม่ซ้ำหน้าองค์สุลต่านจึงอยากให้แต่งงานเร็วๆเช่น กัน” .

“น่าสงสารองค์สุลต่านนะคะที่มีโอรสที่ไม่เอาการ เอางาน”จิรดาทําหน้าเบื่อหน่าย

“ไม่ใช่แบบนั้นหรอกจ้ะ เจ้าชายทั้งสองพระองค์ทรงเก่ง ในทุกด้านทั้งการเมืองและธุรกิจ” วรรณนาพูดเพิ่มเติมต่อ จากสามี

“เป็นแบบไหนก็ช่างเถอะค่ะกานจะพยายามให้ดีที่สุด คุณป้าต้องพักผ่อนมากๆนะคะที่ร้านถ้าเหนื่อก็พักบ้าง” ชุ ติกาญจน์ยิ้มและกอดวรรณนาเอาไว้

“ปากหวานจริงๆหลานสาวป้าร้านของป่าไม่มีอะไรมากหรอกลูกน้องเขาช่วยกันได้แล้วป้าก็ยังไม่แก่ขนาดนั้น ”

“คุณลุงก็อย่าเครียดมากนะคะเดี๋ยวจะไม่สบายไป” จิร ดามองหน้าผู้เป็นลุง

“ไม่ต้องเป็นห่วงลุงหรอกห่วงตัวเองเถอะ” ประภาสทุบ ศีรษะหลานสาวเบาๆและหัวเราะตาม

“เอาล่ะเดี๋ยวลุงกับป้าไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนจะได้ ลงไปทานข้าวกันเราสองคนก็เตรียมตัวลงไปทานข้าวกัน ได้แล้ว”ประภาสลุกขึ้นเดินนำหน้าภรรยาไปที่ประตูห้อง โดยมีชุติกาญจน์และจิรดาเดินไปส่งที่หน้าประตู

เมื่อลุงกับป้าเดินออกไปจากห้องของตนเองแล้วชุติกาญ จน์ก็หันมาถามจิรดาถึงเรื่องที่พูดออกไปเมื่อครู่ “ฉันชัก เริ่มกลัวแล้ว ”

“เธอตัดสินใจเองนะกานในเมื่อเดินหน้าแล้วห้ามถอย หลัง แล้วเธอกลัวอะไร” จิรดามองหญิงสาวอย่างเข้าใจ

“กลัวโดยตัดหัวนะสิ ถ้าเกิดองค์สุลต่านทรงทราบเรา ต้องตายแน่ๆเลย เห็นเขาบอกกันว่าพวกทะเลทรายน่า กลัวโหดเหี้ยมด้วย” ชุติกาญจน์มีสีหน้าเป็นกังวล

“เธออย่าพูดแบบนี้สิกานฉันใจคอไม่ดีเลยแล้วเธอจะทำยังไงต่อถ้าไปถึงที่นั้นแล้ว” ชุติกาญจน์ส่ายหน้า จิรดา ถอนใจออกมาอีกครั้ง

“ถ้างั้นเราก็ต้องเสี่ยงถึงยังไงเราก็เป็นชาวต่างชาติ ถ้าพวกเขาคิดจะฆ่าเราก็ต้องคิดถึงความสัมพันธ์ของ ประเทศบ้าง อย่าเพิ่งคิดอะไรมากเลยรอให้ถึงเวลาก่อน แล้วค่อยคิดกันอีกที” จิรดาตบไหล่ชุติกาญจน์


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ