สาวธรรมดากับนางฟ้านําเต้า

ตอนที่ 5 ขจัดเท็จจะเหลือจริง



ตอนที่ 5 ขจัดเท็จจะเหลือจริง

เห็นเพียงผู้เฒ่าหัวหน้าตระกูลขยับมือ ก็ปรากฏจานทรงกลม แสงสีเรืองรองขึ้นในฝ่ามือ แสงเขียว แดง ทอง ฟ้า เหลืองห้าสี กะพริบวาบพาดผ่านไป จากนั้นก็หวนกลับมาเป็นสีขาวหมดจด

ผู้เฒ่ากวักมือเรียกมั่วชิงเฉินว่า “ชิงเฉิน เจ้าเอามือวางไว้ กลางจานกลม ใบนี้ สงบจิตรวบรวมสมาธิ เป็นอันใช้ได้”

มั่วชิงเฉินพยักหน้า ยื่นมือเรียวงามกดลงใจกลางงาน กลมอย่างว่าง่าย พริบตานั้นเองเหมือนมีอะไรในร่างกายถูกดูด ออก แสงเขียว แดง ฟ้า เหลือง ส่องแสงผสานกันในจาน หยก สีแดงและเขียวค่อยๆ สว่างขึ้นมา ส่วนสีฟ้าและเหลือง อยๆ มีดดับไป

ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าใด จานหยกคืนสภาพกลับเป็นสีขาว มั่วชิงเฉินเงยหน้ามองดูผู้เฒ่าส่วนมือกลับไม่กล้าขยับ

ผู้เฒ่าสีหน้านิ่งงัน ถอนใจแผ่วเบาก่อนพูดว่า “ราก วิญญาณเทียมสี่ราก พอจะฝืนรับเข้าสำนักบำเพ็ญเพียรได้” พูด จบเพ่งสังเกตสีหน้าของมั่วชิงเฉิน

กลับเห็นมั่วชิงเฉินแย้มยิ้มอย่างปิติยินดี

ผู้เฒ่าชะงักงัน คิดในใจว่าตนเองนี่ช่างเลอะเลือนเสีย กระไร เด็กผู้หญิงอายุเพียงหกขวบจะไปรู้จักรากวิญญาณแท้ รากวิญญาณเทียมได้อย่างไร ทว่านิสัยที่มองโลกในแง่ดีเช่นนี้ก็ไม่เลวนัก จะไปได้ไกลแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับชะตาของนางแล้วล่ะ แต่ถึงกระนั้น ความคาดหวังที่เกิดจากการที่นางเป็นบุตรสาว ของมั่วเจ๊ดก็ดับวูบลง

เมื่อคิดถึงตรงนี้ผู้เฒ่าหันหน้าบอกกับผู้เฒ่าหน้าตาอิ่มเอิบ ว่า “ตาเฒ่าห้า เด็กคนนี้ในรากวิญญาณธาตุ ธาตุไม้และ ธาตุไฟครอบครองไปธาตุละสี่ส่วน อาจจะมีพรสวรรค์ด้าน หลอม โอสถก็ไม่แน่ นี่กลับสามารถเป็นผู้สืบทอดของเจ้าได้นะ”

ผู้เฒ่าใบหน้าอิ่มเอบไม่ได้เปลี่ยนสีหน้าเพราะราก วิญญาณเทียมของมั่วชิงเฉินแม้แต่น้อย กลับยิ้มตาหยีว่า “พี่ สามพูดถูก นี่เรียกว่าไม่ใช่คนบ้านเดียวกันไม่เข้าประตูเดียวกัน อย่างไรล่ะ หลานสาวของข้าตาเฒ่าห้า ไม่มีทางแย่ไปได้หรอก” พูดจบก็หัวเราะร่าขึ้นมา สายตาที่มองมั่วชิงเฉินเปี่ยมไปด้วย ความเมตตาเอ็นดู

หัวใจของมั่วชิงเฉินรู้สึกอบอุ่นไปทั้งดวง ท่านผู้นี้ก็คือท่าน แท้ๆ ของตนเองใช่ไหม คิดว่าชีวิตต่อแต่นี้ไปคงไม่ลำบาก เท่าไรแล้วสินะ

ไม่ใช่ว่ามั่วชิงเฉินไม่เข้าใจความหมายของท่านหัวหน้า ตระกูล ดูท่าทางแล้วตนเองน่าจะเป็นคนที่คุณสมบัติค่อนข้าง ต่ำ แต่นางเตรียมใจรับสถานการณ์เลวร้ายที่สุดไว้แล้ว ตอนนี้ ยังสามารถบำเพ็ญได้แค่นี้นางก็พอใจแล้ว

ตอนนี้เองเสียงเย็นเยียบพลันดังขึ้นเสียงหนึ่ง ซึ่งเป็น ตวัดตามอง เห็นผู้เฒ่าทางขวาที่ไม่พูดไม่จาตั้งแต่ต้นกวาดตามองนางปราดหนึ่ง สายตาเต็มไปด้วยความเหยียดหยาม

“ตาเฒ่าหก เจ้าอันใดของเจ้า” ผู้เฒ่าหน้าอิ่มเอิบ กระโดดขึ้นมา

ผู้เฒ่าที่ถูกเรียกว่าตาเฒ่าหักค่อยๆ ลุกขึ้นสะบัดแขนเสื้อ กล่าวว่า “เสียเวลา!” จากนั้นก็เดินจากไปอย่างไม่เหลียวแล

“ตาเฒ่าหก นี่เจ้าหมายความเช่นไร!” ผู้เฒ่าหน้าอิ่มเอิบ ตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยวหมายจะไล่ตามไป

ท่านหัวหน้าตระกูลมองเขาอย่างระอา “ตาเฒ่าห้า หลาน สาวเจ้ายังอยู่นี่นะ”

ผู้เฒ่าหน้าอิ่มเอิบหยุดฝีเท้าอย่างกะทันหัน ท่าทาง ขวยเขินพลางว่า “พอโมโหข้าเลยลืมนะ

มั่วสิบสี่ก้มหน้าลงพยายามเม้มปากไม่ให้หัวเราะออกมา

“ชิงเฉิน ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเจ้าจักเป็นรุ่นที่สามของ ตระกูลถั่วเรา เจ้าสิบหก เจ้าจำไว้หรือยัง” ท่านหัวหน้าตระกูล ถามมั่วชิงเฉินด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

มั่วชิงเฉินรีบพยักหน้ารับว่า “สิบหกจำไว้แล้วเจ้าค่ะ”

ท่านหัวหน้าตระกูลหันมองมาทางมั่วสิบสี่แล้วว่า “สิบสี่ ในเมื่อเจ้าเป็นคนพาชิงเฉินกลับมา เช่นนั้นอีกเดี๋ยวก็ให้เจ้า เป็นคนอธิบายความรู้พื้นฐานในการบำเพ็ญเพียรให้แก่นาง

เถอะนะ”

“ขอรับ” มั่วสืบสี่ตอบด้วยความเคารพ
“พี่สาม! ” ผู้เฒ่าหน้าอิ่มเอิบเรียกอย่างไม่พอใจ

ท่านหัวหน้าตระกูลค้อนควัก “ข้าจำได้ว่าโอสถรวมจิตของ เจ้าเท่านั้นยังหลอมไม่สำเร็จมิใช่

ผู้เฒ่าหน้าอิ่มเอิบก้มหน้าด้วยความสลด จากนั้นจึงตา ใส่มั่วสิบสี่ว่า “สิบสี่ อีกสักครู่เจ้าต้องพานางหนูมาส่งให้ข้า

พูดจบยิ้มให้มั่วชิงเฉินแล้วเดินจากไปด้วยความโมโห “เอาล่ะ สิบสี่ พาชิงเฉินไปเถอะ” ท่านหัวหน้าตระกูลพูด

เรียบๆ

มั่วสิบสี่โค้งคำนับแล้วพามั่วชิงเฉินออกไป จากนั้นวกไป

วนมาจนถึงเรือนไม้ไผ่หลังหนึ่ง

นางหนู นี่คือที่อยู่ของอาสิบสี่ ต่อไปหากเจ้ามีข้อสงสัย มาหาอาสิบสี่ที่นี่ได้” มั่วสิบสี่พูดพลาง โบกมือ ประตูเปิดออก เอง เขาจึงนํามั่วชิงเฉินเข้าไป

มั่วชิงเฉินกวาดสายตาไปรอบๆ โต๊ะตั้งเตียงล้วนทำจาก ไม้ไผ่ ดูสง่าสดชื่นยิ่งนัก ลมเย็นพัดเข้าหน้าไล่ไอร้อนกระเจิงไป จนหมดสิ้น

“นางหนู นั่ง” ไม่รอให้นางมองดูไปมากกว่านี้ มั่วสิบสี่ชี้ไป

ที่เก้าอี้ไม้ไผ่ตัวหนึ่ง

มั่วชิงเฉินนั่งลง ยึดตัวตรงแหงนหน้ามองมั่วสิบสี่

ในช่วงเวลาหนึ่ง มั่วสิบสี่ราวกับเห็นชายหนุ่มสง่างามเมื่อ ยี่สิบปีก่อน นั่งประจันหน้ากับเด็กชายตัวน้อยที่ไม่ได้เกล้าผมถามว่า “สืบสี่ เจ้ารู้หรือไม่ว่าหลักการบำเพ็ญเพียรคือสิ่งใด

โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว คำถามประโยคเดียวกันได้หลุดออกจาก ปากของมั่วสิบสี่ “เจ้าสิบหก เจ้ารู้หรือไม่ว่าหลักการบำเพ็ญ เพียรคือสิ่งใด”

มั่วชิงเฉินสายศีรษะ

“อันว่าบำเพ็ญเพียร ก็คือการฝึกตนเรียนเต่า เพื่อ ร้องขอตัวตนที่แท้จริง ขจัดเท็จเหลือจริง…โลกแห่งการบำเพ็ญ เพียรของพวกเราแบ่งระดับขั้นการบำเพ็ญเป็นหลอมลมปราณ สร้างรากฐาน ก่อแก่นปราณ ก่อกำเนิด ถอดดวงจิต แยก วิญญาณ ผสานร่าง พิชิตเคราะห์กรรม มหายาน รวมทั้งหมด เก้าชั้น หลอมลมปราณเป็นเพียงขั้นแรกเท่านั้น ต้องถึงขั้นสร้าง รากฐานถึงจะนับว่าก้าวเข้าสู่ทางบำเพ็ญเพียรอย่างแท้จริง คน บำเพ็ญเพียรนับหมื่นพัน แต่ผู้ที่หยุดอยู่ในขั้นหลอมลมปราณ นั้นมีนับไม่ถ้วน หากก่อแก่นปราณหลอมแก่นทองคำสำเร็จ นั่น นับว่าเป็นยอดฝีมือที่หายากในโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรแล้ว เวลานี้ เหอเชียวหยาง ยอดฝีมืออันดับหนึ่งผู้เป็นที่รู้จักโดยทั่ว กันก็ยังอยู่ระดับถอดดวงจิตขั้นกลาง ส่วนระดับขั้นต่อจากนั้น แท้แจริงแล้วมีผู้ใดไปถึงหรือไม่อย่างไรนั้นยังไม่มีใครรู้ชัด… มั่วสิบสี่พูดอย่างยึดยาวจนจบแล้วมองไปทางมั่วชิงเฉิน

จำได้ว่าขณะนั้นตนเองได้ฟังพี่เจ็ดพูดเสียยืดยาวจนความ ตื่นเต้นในตอนแรกได้เปลี่ยนเป็นง่วงเหงาหาวนอนไปตั้งนาน แล้ว แต่นางหนูน้อยตรงหน้ากลับดวงตาเป็นประกาย ราวกับจะ จดจำทุกคำพูดของตนเองไว้ในใจ จึงรู้สึกชื่นชมขึ้นมา ตามมาด้วยนึกถึงคุณสมบัติรากวิญญาณของนางแล้วก็ทอดถอนใจ ช่างน่าเสียดายยิ่งนัก

โดยไม่รู้ว่าตอนนี้มั่วซิงเฉินก็รู้สึกช่วยไม่ได้ ในใจตะโกน อย่างบ้าคลั่งว่า ท่านอาสิบสี่ ท่านปฏิบัติกับเด็กหกขวบเช่นนี้ หรือ พูดมาตั้งหนึ่งชั่วยาม ต่อให้ตนเองพยายามรวบรวมสมาธิ อยากจำความรู้พื้นฐานเหล่านี้ให้ได้ ตอนนี้ก็ตกหล่นไปไม่น้อย

มั่วสิบสี่ไม่รู้ว่ามั่วชิงเฉินไม่พอใจอยู่ในใจ เมื่อเขาขยับ ฝ่ามือม้วนคัมภีร์หยกสีมรกตปรากฏบนฝ่ามือ จากนั้นจึงส่ง ให้มั่วชิงเฉินโดยไม่ได้สนใจถึงความฉงนสนเท่ห์ของนาง “ ในนี้อธิบายการบำเพ็ญเซียนสายเทียนหยวนไว้อย่างละเอียด สิ่งที่ข้าได้พูดไปล้วนอยู่ในนี้ทั้งหมด รอเมื่อเจ้าดึงลมปราณเข้า ร่างได้จนบรรลุระดับหลอมลมปราณขั้นที่หนึ่งก็สามารถเปิดดู ได้แล้ว”

มั่วชิงเฉินบังคับมุมปากที่กระตุกอยู่แล้วรับม้วนคัมภีร์หยก ในใจค่อนขอดว่า ท่านอาสิบสี่ ที่แท้ท่านก็เป็นคนเจ้าเล่ห์เยี่ยง นี้นี่เอง

มั่วสิบสี่มองดูใบหน้าเล็กๆ ที่ย่นเป็นซาลาเปาของเด็ก น้อยแล้วก็อดกลั้นหัวเราะคิกคักเอาไว้ไม่อยู่ จากนั้นจึงหยิบ ยันต์ออกมาหลายใบพลางว่า “นางหนู สิ่งเหล่านี้คือยันต์ ระเบิดไฟ ไม่มีราคาค่างวดวันใด เจ้าเก็บไว้นะ แต่จงจำไว้ว่า อย่าใช้อย่างง่ายดาย รอเจ้าอ่านคำอธิบายการบำเพ็ญเซียน สายเทียนหยวนแล้วก็จะเข้าใจได้เอง
มั่วชิงเฉินรู้สึกดีขึ้นมาหน่อย นางตะครุบยันต์ไว้มืออย่าง ไม่เกรงใจ จากนั้นได้ยินมั่วสืบสี่พูดขึ้นอีกครั้งว่า “นางหนู ข้าจะ ส่งเจ้าไปหาท่านอาหาของเจ้า รอพรุ่งนี้เจ้าจะต้องตามพี่ๆ น้องๆ ไปบำเพ็ญเพียรด้วยกัน อืม นางหนู อาสิบสี่จะบอกเจ้า เพียงประโยคเดียว จงบำเพ็ญเพียรอย่างสงบเสงี่ยม อย่าก่อ เรื่อง แต่จะทำตัวอ่อนแอยอมผู้อื่นอย่างเดียวก็ไม่ได้เช่นกัน”

พูดจบก็ตบไหล่มั่วชิงเฉินเบาๆ จูงมือนางก้าวเพียงก้าว เดียวก็ห่างออกไปไกลหลายจัง เพียงไม่นานก็มาถึงที่พำนัก ของผู้เฒ่าหน้าอิ่มเอิบ

ยังไม่ทันรอมั่วชิงเฉินเอ่ยปากพูด ก็ได้ยินเสียงดังสนั่น ลอยออกมาจากในห้อง ตามมาด้วยคนผู้หนึ่งพุ่งออกมาเหมือน พายุสลาตัน ปากก็ด่าว่า “มารดามัน ล้มเหลวอีกแล้ว เกือบ ระเบิดตาแก่เนาตายเสียแล้ว”


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ