สาวธรรมดากับนางฟ้านําเต้า

ตอนที่ 1 ประสบการณ์ชีวิตช่างอ้างว้าง



ตอนที่ 1 ประสบการณ์ชีวิตช่างอ้างว้าง

เปล่าเปลี่ยว

หมู่บ้านเล็กๆ ที่เงียบสงบ แสงแดดร้อนแรงสาดส่อง ประหนึ่ง จะแผดเผาทั้งหมู่บ้าน ให้มอดไหม้

ชาวบ้านล้วนขลุกอยู่แต่ในบ้าน มีเพียงสุนัขตัวใหญ่ไม่กี่ ตัวแลบลิ้นอย่างหมดอาลัยตายอยากอยู่ใต้ร่มไม้

เด็กหญิงอายุห้าหกขวบคนหนึ่งนั่งอยู่บนขั้นบันได มือ กอดเข่า ท่าทางเดียวดาย แม้จะอยู่ภายใต้แสงแดดแผดเผานี้ก็ ยังทำให้รู้สึกถึงความอ้างว้างเปล่าเปลี่ยว

ทันใดนั้น เด็กหญิงที่ไม่พูดไม่จามาตลอดพลันยื่นมือออก มา หยิกแก้มที่ไม่ค่อยมีเนื้อของตัวเองอย่างแรง แล้วบ่นม ว่า “มั่วชิงเฉิน เจ้าให้มันได้เรื่องหน่อยได้ไหม โตขนาดนี้แล้ว

ยังคิดจะร้องไห้ ก็แค่โดนที่ไม่ใช่หรือไร เรื่องใหญ่เพียงไหนกัน เชียว…

ถึงจะพูดอย่างนี้ แต่น้ำตาเด็กหญิงยังคงไหล เผาะๆ ลงมา ตกถึงพื้นกระเหิดแห้งทันที ไม่เห็นแม้แต่ควันสักสาย

ในที่สุดเด็กหญิงทนไม่ได้ร้องไห้ขึ้นมา แต่กลับไม่มีเสียง สักแอะเดียว ปล่อยให้น้ำตาไหลดั่งสร้อยไข่มุกที่เชือกร้อยขาด ตกลงมาไม่หยุดหย่อน”นางเด็กบ้า ไปแอบอยู่ที่ไหนอีก รีบเข้ามาเดี๋ยวนี้ ทันใดนั้นพลันมีเสียงแหลมสูงของผู้หญิงลอยมา

เด็กหญิงใช้หลังมือขยี้ตาแล้วลุกขึ้นยืน เดินเข้าบ้านไป

อย่างหน้าไร้ความรู้สึก

อาสะใภ้หลิวที่อยู่ข้างบ้านใช้นิ้วจิ้มขมับบุตรสาวพลางด่า ว่า “ยายเด็กบ้าน ขี้เกียจตัวเป็นขนเชียว ดีนะที่เจ้าคลานออก มาจากท้องข้า เจ้านางหนูบ้านหลิ่วข้างบ้าน เพิ่งจะหกขวบก็ ทำงานไม่หยุดมือทั้งวัน ขนาดนี้แล้วยังกินไม่อิ่ม สองสามวันก็ โดนตีที่หนึ่ง ดูสิน่าสงสารเหลือแต่หนังหุ้มกระดูกแล้ว หากเป็น เจ้า ยังไม่รู้จะอยู่ให้รอดได้อย่างไรเลย!

เด็กหญิงที่ถูกด่าท่าทางอายุสิบกว่าขวบ ได้ยินเช่นนั้นก็ไม่ โกรธ ยิ้มแฉ่งพลางกอดแขนอาหลิวออดอ้อนว่า “ท่านแม่ นั่น ไม่เหมือนกัน ท่านเป็นมารดาแท้ๆ ของข้านี่นา ตีลูกก็เจ็บที่ตัว ท่านแม่นะ แต่ว่าสาวน้อยนั่นก็น่าสงสารจริงๆ อาหลิ่วก็ทำเกิน ไป อย่างไรเสียก็เป็นน้าสะใภ้ของนาง เหตุใดใจร้ายเยี่ยงนี้

อาหลิวได้ยินดังนั้นได้แต่ถอนใจว่า “หลังจือ คนเรานี่นะ ล้วนแต่เป็นชะตา นึกถึงตอนนั้น มารดาของนางหนูเป็นคนสวย ที่โดดเด่นในรัศมีร้อยนี้ เออ ที่ที่ไกลกว่านี้แม่ก็ไม่เคยไปหรอก นะ แต่แม่กล้าพูด ที่อื่นน่ะหาแม่นางที่โตมาแล้วสวยเพียงนี้ไม่ ได้ ตอนนั้นที่คนมาสู่ขอน้องหลิ่วเมื่อครั้งอายุครบสิบห้าปีนะ เหยียบกันจนธรณีประตูบ้านหลิ่วแตก นางไม่ถูกใจสักคน นี่คง เป็นชะตาลิขิต ปีนั้นจู่ๆ ก็มีชายหนุ่มมาในหมู่บ้าน หน้าตาหล่อ เหลาเชียว อย่างกับเทวดาแน่ะ ยืนอยู่ด้วยกันกับน้องหลิวนะอย่าพูดเลยว่าเหมาะสมกันขนาดไหน สุดท้ายสองคนก็ได้อยู่ ด้วยกันจริงๆ…

“ท่านแม่ แล้วหลังจากนั้นล่ะ” หลังจือเขย่าแขนอาหลิวเอ่ย

ถาม

“หลังจากนั้นหรือ…” อาหลิวหรี่ตา เหมือนดิ่งเข้าไปใน ความหลัง “หลังจากนั้นทั้งสองคนก็แต่งงานกัน อยู่ด้วยกัน อย่างกลมเกลียว ไม่นานน้องหลิ่วก็ตั้งครรภ์ เสียดายเรื่องดีมัก ไม่ยืนยาว ตอนนางท้องได้เจ็ดแปดเดือน ชายหนุ่มคนนั้นจู่ๆ ก็ หายไป น้องหลิ่วร้อนใจทนไม่ไหว ไหว้วานคนไปหาตามที่ที่หา ได้จนหมดก็หาไม่พบ นางได้แต่ปาดน้ำตาทั้งวัน แถมยังคลอด ก่อนกำหนดอีก กระทั่งคลอดนางหนูออกมา นางคงจะตรอมใจ นะ พอนางหนูได้สามขวบนางก็จากโลกนี้ไป

หลังจือมองดูสีหน้าผู้เป็นมารดา แล้วถามอย่างระมัดระวัง ว่า “เพราะเช่นนั้น สาวน้อยก็เลยได้อยู่กับน้าชายหรือ

อาหลิวลูบศีรษะบุตรสาวพลางว่า “ใช่ น้าชายนางหนูเป็น เพื่อนบ้านเรา แม่เห็นกับตาตั้งแต่เขาอุ้มนางหนูมา นางหลิ่ว หยาง [1]ไม่ใช่คนยอมคน ตอนแรกๆ ยังดีหน่อย ทว่าตั้งแต่อายุ เกิด ก็ใช้นางหนูอย่างกับสาวใช้จริงๆ แถมยังสองสามวันที่ทั้ง ดีทั้ง ช่างเป็นเวรกรรมจริงๆ

“ก็นั่นน่ะสิ” หลังจือพยักหน้าอย่างแรง

อาหลิวเหล่มองบุตรสาวปราดหนึ่ง “นางเด็กบ้า โดนเจ้า เฉไฉไปอีกแล้ว รีบไปเลี้ยงไก่เร็ว
หลังจือบิดตัวยิ้มว่า “ข้าจะเอาขนมวัววัวโถว [2]ไปให้สาว น้อยกันสักหน่อย ๆ” พูดจบก็วิ่งยิ้มจากไป

มั่วชิงเฉินยังไม่รู้ว่าประวัติที่ตัวเอง ก็ไม่ค่อยรู้ชัดของตนถูก คนอื่นรื้อฟื้นขึ้นมารอบหนึ่ง หลังจากนางกลับเข้าไปในบ้านก็ เห็นนางหลิ่วหยางมือหนึ่งเท้าสะเอวมือหนึ่งนางคำว่า “นาง เด็กบ้า ออกไปคร่ำครวญอีกแล้ว รู้สึกน้อยใจอยากให้คนมา สงสาร ใช่ไหม ข้าจะบอกให้เจ้าหมดหวังเสีย ใครสงสารเจ้า ให้คนนั้นให้ข้าวเจ้ากิน ข้าจะดูว่าใครเต็มใจ

มั่วชิงเฉินกัดริมฝีปากแน่น ในใจพรทวนคำว่า ทอ โอะ นอ ทนซ้ำแล้วซ้ำเล่า ข้าทน

ไม่ใช่ว่านางเป็นคนถูกเอาเปรียบแล้วจะอยู่เฉยได้ แต่เด็ก หญิงอายุหกขวบโดนลมพัดทีก็ล้มอย่างนาง นอกจาก ครอบครัวน้าชายแล้วทั้งหมู่บ้านก็ไม่มีที่พึ่งพิง ไม่ทนแล้วจะทำ อะไรได้!

“อย่ามาแยกเขี้ยวยิงฟันใส่ช้า รีบไปแยกถั่วในตะกร้านั่น แยกเสร็จเมื่อไรกินข้าวเมื่อนั้น!” พูดจบนางหลิ่วหยางยื่นปาก ไปทางตะกร้า

“ทราบแล้วเจ้าค่ะ น้าสะใภ้” มั่วชิงเฉินตอบรับเสียงเบา เดินไปทางตะกร้า ใช้แรงหมดตัวถึงถือตะกร้านั้นขึ้นมาได้ นาง ถือตะกร้าด้วยสองมือเดินไปใต้ต้นให้ถาง [3] ที่อยู่ลานบ้านที่ละ

ก้าวๆ

ใต้ต้นไม่ถางมีเก้าอี้พับเล็กๆ เรียบง่ายวางอยู่ตัวหนึ่งเวลามั่วชิงเฉินทำงานชอบมานั่งอยู่ตรงนี้ ส่วนนางหลิ่วหยางก็ คงจะถ้าไม่เห็นก็ไม่รำคาญใจ ชอบให้นางทำงานที่นี่มากกว่า ไปทําในบ้าน

มั่วซิงเฉินมองดูถั่วแดงถั่วเหลืองที่ปนกันเต็มตะกร้าแล้ว ทอดถอนใจ เริ่มคัดแยกอย่างเงียบๆ

นางมาที่นี่ได้หนึ่งปีแล้ว บางทีนางก็อดสงสัยไม่ได้ว่า สวรรค์เอานางมาที่นี่เพื่อลงโทษนาง

แรกเริ่มนางยังขัดขืนเวลาที่ถูกนางหลิ่วหยางด่าทอทุบตี แต่กลับพบว่ามีแต่จะยิ่งโดนด่าโดนตีรุนแรงยิ่งขึ้น จากนั้นยัง ไม่มีข้าวกิน หลังจากใช้แข็งปะทะแข็งอยู่หลายครั้ง สุดท้ายมั่ว ชิงเฉินก็เข้าใจ รัศมีของนางเอกทะลุมิติไม่ได้บังเกิดขึ้นกับ ตัวนาง ไม่ว่านางจะมีความรู้หรือความคิดอะไร อย่างไรก็หนี ความจริงที่ว่านางเป็นแค่เด็กหญิงหกขวบที่ไร้ที่พึ่งไม่พ้น

มีเพียงสิ่งเดียวที่นางทำได้ก็คืออดทน พยายามให้โดนตี น้อยที่สุด รีบๆ เติบใหญ่

นี่ คือเป้าหมายที่ใหญ่ที่สุดของมั่วชิงเฉินในขณะนี้

หมกมุ่นแยกถั่วอยู่ได้ครู่หนึ่ง มั่วชิงเฉินเริ่มรู้สึกมึนหัว ตาลาย ยิ่งกว่านั้นตอนเช้านางได้ดื่มแค่ข้าวต้มที่ข้นกว่าน้ำ เปล่าไม่เท่าไรเพียงถ้วยเตี๋ยว

นางรีบมองดู อากาศร้อนเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่านางหลิ่ว หยางและญาติผู้น้องอาขลุกอยู่ในบ้านนอนหลับอยู่ น้าชาย หลิ่วต้าเฉิงออกไปทำงานแต่เข้าแล้ว อย่างไรเสียก็ไม่กลับมาเร็วๆ นี้

มั่วซิงเฉินวางใจลง ยื่นมือหยิบขวดน้ำเต้าสุราขนาดเท่า ฝ่ามือออกมาจากนอก

ขวดน้ำเต้าสุรา ดูสีเทาทะมึนไม่เตะตายิ่งนัก แต่กลับมี ความลับสะเทือนฟ้าดินอยู่อย่างหนึ่ง

มันมาที่นี่พร้อมกับมั่วชิงเฉิน ที่ต่างกันคือ มั่วชิงเฉินเป็น วิญญาณที่อยู่ในร่างสาวน้อยคนนี้ ส่วนมันทะลุมาด้วยร่างจริง

มั่วชิงเฉินลูบไล้ขวดน้ำเต้าสุรา ถอนใจเบาๆ ว่า “ขวดน้ำ เต้าสุราเอ๋ย ตอนนี้มีแต่เจ้ากับข้าเป็นเพื่อนกันแล้ว” พูดจบก็ กรอกสุราจากน้ำเต้าเข้าปากไปหลายอีกใหญ่

เดิมที่มั่วชิงเฉินไปเจอขวดน้ำเต้าสุราขายอยู่ที่แผงแบกับ ดินตอนไปท่องเที่ยวเมืองเก่าเมืองหนึ่ง แม้รูปร่างไม่เตะตา แต่ มองดูดีๆ กลับให้กลิ่นอายแบบของโบราณ มั่วชิงเฉินคิดว่าคุณ ปู่ชอบดื่มเล็กๆ น้อยๆ หากใช้น้ำเต้าใส่เหล้าก็ดูมีรสชาติดี จึงต่อรองราคาซื้อไว้ ใครจะคิดว่าพอของถึงมือก็เห็นรถคันหนึ่ง สูญเสียการควบคุมพุ่งมา พอลืมตาอีกทีนางได้กลายเป็นสาว น้อยหกขวบไปแล้ว

ตอนนางเห็นขวดน้ำเต้าสุราที่หดเล็กลงนั้นก็ตกตะลึงแทบ แย่ แอบเก็บซ่อนเอาไว้โดยไม่รู้ตัว ต่อมาก็ค้นพบว่าน้ำเต้านี้มี สิ่งมหัศจรรย์ซ่อนอยู่จริงๆ

ข้างในเต็มไปด้วยสุราเลิศรส มิหนำซ้ำดูเหมือนจะไม่มีวัน

หมด
มั่วชิงเฉินเดิมไม่ดื่มเหล้า เพียงแต่สำหรับนางที่อ่านนิยาย แฟนตาซีมาเยอะคิดว่าสุราในน้ำเต้าที่มีประโยชน์มหัศจรรย์ อะไรหรือไม่ ดังนั้นจึงแอบดื่มวันละหลายอีก หนึ่งปีมานี้ไม่พบ ประโยชน์มหัศจรรย์ แต่นางกลับรักการดื่มสุราเข้าให้

ไม่รู้เป็นเพราะอุปทานไปเองหรือไม่ รู้สึกข้อดีเพียงหนึ่ง เดียวก็คือ เวลาหิวดื่มไปสักหน่อย ก็เหมือนจะไม่หิวขนาดนั้น แล้ว

“สาวน้อย เจ้าอยู่ไหม” ขณะมั่วชิงเฉินกำลังเหม่อลอย จู่ๆ ได้ยินเสียงเด็กสาวเสนาะหูลอยมา

[1] นางหลิ่วหยาง เป็นการเรียกหญิงที่แต่งงานแล้วของ จีนในสมัยโบราณ โดยนามสกุลตัวแรกจะเป็นนามสกุลสามี ส่วนนามสกุลตัวที่สองคือนามสกุลตนเอง ในที่นี้ หลิวคือ นามสกุลสามี หยางคือนามสกุลผู้หญิง

(2) ขนมวัววัวโถว เป็นอาหารจําพวกแป้ง พบบ่อยทาง ภาคเหนือของประเทศจีน สมัยก่อนเป็นอาหารหลักของคน ยากไร้ ใช้แป้งข้าวโพด แป้งถั่วเหลือง และธัญพืชที่มีสีเขียว ธรรมชาติเป็นส่วนผสมหลัก รูปร่างหัวเล็กท้ายใหญ่ตรงกลาง กลวง ทรงกลมเหมือนสว่าน ที่กันมีรูเพื่อง่ายต่อการนั่งสุก เป็น อาหารหลักเหมือนหมั่นโถว จึงเรียกว่าวัววัว โถว

[3] ต้นใหถาง หรือหมายถึง ต้นแอปเปิ้ลป่า


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ