สาวธรรมดากับนางฟ้านําเต้า

ตอนที่ 2 มิตรภาพวัยเด็ก



ตอนที่ 2 มิตรภาพวัยเด็ก

มั่วซิงเฉินสะดุ้งเฮือก รีบขัดขวดน้ำเต้าสุราใส่ในอกเสื้อ กลืน สุราลงไปเต็มแรง แล้วหยิบกระบวยจากถังน้ำที่อยู่ข้างๆ กรอก น้ำเย็นใส่ปาก

นางตั้งใจวางถังน้ำไว้ตรงนี้ก็เพื่อป้องกันสิ่งที่ไม่คาดคิด เช่นนี้ หากจู่ๆ มีคนมาได้กลิ่นสุราในปากนางจะต้องแย่แน่

เมื่อหลิงจือเข้ามาก็เห็นเด็กน้อยยกกระบวยน้ำดื่มน้ำอยู่ อย่างกระหาย กระบวยน้ำบังหน้าเด็กน้อยจนมิด

ถึงแม้นางจะอายุแค่สิบกว่าขวบแต่เห็นดังนั้นก็อดเกิด ความรู้สึกเห็นใจไม่ได้ จึงรีบเดินไปนั่งข้างๆ มั่วชิงเฉิน แย่ง กระบวยน้ำจากนางพร้อมดุว่า “สาวน้อย ทำไมถึงดื่มน้ำเย็นล่ะ เกิดปวดท้องขึ้นมาใครจะดูแลเจ้า

มั่วชิงเฉินกะพริบตาถี่ๆ แสยะยิ้มใส่หลังจือ “พี่หลิงจือ มา แล้วหรือ นั่งสิ” พูดพลางตบเก้าอี้พับตัวเล็กที่อยู่ข้างๆ

หลิงจ๋อกวาดตาผ่านตะกร้าแล้วขมวดคิ้วนั่งลง ส่งขนมวัว วัวโถวที่ห่ออยู่ในผ้าเช็ดหน้าให้ทั่วชิงเฉิน “นี่ ขนมวัววัวโถวที่ ท่านแม่ข้าเพิ่งทำเสร็จ ลองชิมดูสิอร่อยไหม

มั่วชิงเฉินรับขนมวัววัวโถวจากหลิงจือแล้วนั่งลงข้างๆ เงย หน้าพูดว่า “พี่หลินจือ พี่เป็นคนดีจัง
หลินจือค้อนควักใส่นาง รีบๆ กินเถอะ ขายังต้องรีบกลับ ไปเลี้ยงไก่อีก

ถึงจะพูดเช่นนี้ แต่นางกลับช่วยมั่วชิงเงินค่อยๆ คัดแยก ถั่วขึ้นมา

มั่วซิงเฉินประคองผ้าเช็ดหน้า ค่อยๆ กินขนมวัววัว โถวที

ละค่าๆ จนหมด

ขนมวัววัวโถวที่ยังมีความอุ่นอยู่เมื่อกินเข้าไปในปาก เต็ม ไปด้วยกลิ่นหอมของข้าวโพด ทั้งหวานทั้งหอม เมื่อกินเข้าไป ลูกหนึ่งกระเพาะก็ไม่ปวดแสบปวดร้อนแล้ว ยังเหลือสองลูกถั่ว ชิงเฉินเสียดายไม่ยอมกิน นั่งจ้องลังเลอยู่สักครู่

หลังจือเห็นเข้าจึงหยุดมือแล้วยิ้มว่า “นี่ สาวน้อย ข้าไป ก่อนนะ พอดีนึกได้ว่ายังมีธุระ ขืนไม่กลับเดี๋ยวท่านแม่ก็ด่าข้า อีก อ้อ ผ้าเช็ดหน้าผืนนี้เจ้าเก็บไว้ก่อน คราวหน้าค่อยคืนข้า

พูดจบหลิงจือลุกขึ้นมาปัดกัน ยังไม่ทันที่มั่วชิงเฉินจะตอบ นางก็ยื่นมือหยิกแก้มที่ไม่ค่อยมีเนื้อของนางแล้วเดินบิดจากไป

มั่วชิงเฉินมองแผ่นหลังของหลิงจือแล้วน้ำตาคลอเบ้า ไม่ ว่าจะอยู่ที่ใดก็มีคนดีเสมอ ทำให้นางเกิดความเชื่อมั่นต่อโลกที่ นางไม่เข้าใจใบนี้ ต่อแต่นี้ไปคงจะมีชีวิตที่ดีได้

ขณะนี้เองที่ประตูบ้านเปิดออกดัง “เอียด อย่างไม่คาดคิด นางหลิ่วหยางเดินฉับๆ ออกมา ยกมือปัดขนมวัววัวโถวที่อยู่ใน มือมั่วชิงเฉินทิ้ง ปากก็ด่าว่า “นางตัวซวย ในหาที่ตาย ข้าบอก แล้วใช่ไหมว่าแยกถั่วเสร็จถึงกินข้าวได้ ใครให้เจ้ามาแอบอยู่ตรงนี้”

หลังจือที่ยังเดินจากไปไม่ไกลนักได้ยินเสียงจึงรีบหลบ เข้าไปแอบดูอยู่ในซอกหลังกำแพงที่มีรอยแยก ได้ยินคำพูด ใจจืดใจ ของนางหลิ่วหยางแล้วก็อด โมโหไม่ได้ นางคิด อยากออกไปช่วยแก้ตัว แต่เมื่อคิดดูดีๆ แล้วเช่นนี้ยิ่งทำให้สาว น้อยอยู่อย่างยากลำบากยิ่งขึ้น จึงได้แต่ทนไว้

มั่วชิงเฉินเงยหน้ามองนางหลิ่วหยางอย่างหน้าไร้ความ รู้สึกแล้วตอบว่า “น้าสะใภ้ ข้าจะทำเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ”

พูดจบไม่แม้แต่จะมองขนมวัววัวโถวที่นอนอย่างเดียวดาย อยู่บนพื้นแล้วเริ่มคัดแยกถั่วอย่างเงียบๆ

นางหลิ่วหยางเหมือนต่อยหมัดลงบนสำลี กลั้นโมโหอยู่ ในใจ แต่ปากยังคงด่าไม่หยุด

ดุด่าอยู่ครึ่งค่อนวันเห็นมั่วชิงเฉินไม่พูดไม่จาค่อยๆ นั่งคัด แยกถั่วอยู่ตรงนั้น ไฟโมโหจึงลุกโชนขึ้นมา เดินขึ้นไปเตะ ตะกร้าจนกระเด็นออกไป แล้วยื่นมือตบหน้ามั่วชิงเฉินไปหนึ่ง

หลังจือเลิกคิ้วกำลังคิดจะวิ่งเข้าไปแต่กลับต้องตกใจ ตาลุกโพลง

ในลานบ้านนั้น ไม่รู้มีคนเพิ่มขึ้นมาคนหนึ่งตั้งแต่เมื่อไร

คนผู้นั้นท่าทางอายุยี่สิบกว่าปี ใส่ชุดสีเข้ม ตัวสูงโปร่ง เพียงยืนเงียบๆ อยู่ตรงนั้นก็ทำให้คนอดมองไม่ได้ แม้หลังจือที่อายุเพียงแค่สิบขวบเศษก็อดหน้าแดงไม่ได้

“พอได้หรือยัง” ชายในชุดสีเข้มตวาดด้วยเสียงพอเหมาะ แต่เมื่อเข้าในหูนางหลิ่วหยางกลับเหมือนเสียงฟ้าผ่ากลางฤดู ใบไม้ผลิ

นางหลิ่วหยางเงยหน้าขึ้น เริ่มจากอึ้งไปครู่หนึ่งอย่างไม่น่า เชื่อ เมื่อเห็นหน้าผู้ชายสงบนิ่งดั่งสายน้ำ นิสัยปากจัดก็ผุดขึ้น มา พูดเสียงแหลมว่า “เจ้าเป็นใคร นี่คือบ้านข้า เจ้าไสหัวออก ไปเดี๋ยวนี้!”

ชายในชุดสีเข้มไม่แม้แต่จะมองนางหลิ่วหยาง ไม่มีใคร

เห็นเขาขยับตัวแต่เพียงชั่วครู่ก็มาถึงหน้ามั่วชิงเฉินแล้วพยุง นางขี้นมา ชายในชุดสีเข้มเห็นเด็กหญิงผอมกะหร่องที่ใบหน้ายังมี รอยฝ่ามือ ทว่าสีหน้ากลับเงียบสงบมองมาที่เขา ในตาไม่มี

น้ำตาแม้สักหยดเดียว รู้สึกอดใจหายไม่ได้

เมื่อนางหลิ่วหยางเห็นชายในชุดสีเข้มไม่สนใจนาง จึง เกิดอาละวาดขึ้นมา ปากตะโกนว่า “ใคร ก็ได้ ช่วยจับขโมย หน่อย!” จากนั้นพุ่งเข้าใส่ชายหนุ่มและตบตีเป็นพัลวัน

ชายในชุดสีเข้มไม่แม้แต่จะมองนาง เพียงสะบัดแขนเสื้อ กว้างไปด้านหลัง ทำให้เกิดลมหมุนพัดใส่นางหลิ่วหยางล้มทั้ง ลงกับพื้นดังตุ๊บ ทั้งที่หน้าตายังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

ขณะนี้เองเพื่อนบ้านล้วนหยิบอาวุธวิ่งมามุงดูกันที่นอก

ประตูลานบ้าน
แม้นางหลิ่วหยางไม่เป็นที่ถูกใจของคนอื่น แต่ดีที่หลิ่วต้า เฉิงยังนับว่าเป็นคนซื่อ ยิ่งกว่านั้นคนในสมัยนั้นความคิดหัว โบราณ ต่อให้ไม่ถูกกันอย่างไร เรื่องมีขโมยขโจรขึ้นบ้าน อย่างไรเสียก็ต้องยื่นมือเข้าช่วย

ชายในชุดสีเข้มเมินเฉยเหล่าชาวบ้านที่กำลังวิจารณ์กัน โดยสิ้นเชิง เพียงแต่มองไปที่มั่วชิงเฉินแล้วถามว่า “เจ้าชื่อ อะไร”

มั่วชิงเฉินที่สงบนิ่งมาตลอด พลัน ใจเต้นตึกตักๆ ขึ้นมา เมื่อครู่นางเห็นอะไร ชายที่อยู่ตรงหน้าสะบัดแขนเสื้อทำให้เกิด ลมพัดนั้น นั่นมันวิชาเซียนชัดๆ นี่นา!

นางแทบจะรู้สึกตัวเร็วกว่าชาวบ้านพวกนี้อีก ช่วยไม่ได้ ก็ โลกเดิมที่เต็มไปด้วยนิยายเทพเซียนต่างๆ นานา ทำให้นางรับ รู้ถึงเรื่องนี้ได้ทันที

มั่วซิงเฉินสูดหายใจลึกแล้วพูดกับชายในชุดสีเข้มด้วย รอยยิ้มน่าเอ็นดูว่า “ข้าชื่อนางหนู”

นางไม่เคยตื่นเต้นขนาดนี้มาก่อน นางมีความรู้สึกว่าคน ตรงหน้านี้คือคนที่จะเปลี่ยนชะตาชีวิตของนางไปตลอดชีวิต เพื่อที่ต่อไปไม่ต้องอยู่อย่างถูกด่าทอทุบตี กินไม่อิ่ม ใส่ไม่อุ่น แล้ว นางจำเป็นต้องหยิบฉวยโอกาสนี้ไว้

ต่อให้ปกตินางใจเย็นเพียงใด นั่นก็เพราะความรู้สึกช่วย ไม่ได้ต่อความจริงที่ไม่อาจขัดขืน นางได้ยินนางหลิ่วหยางยุยง น้าชายไม่ต่ำกว่าหนึ่งครั้งว่านางจะต้องโตขึ้นมาเป็นคนสวย ถ้ายกให้เป็นอนของเจ้าสัวหวัง ถึงเวลาจะได้อยู่ดีกินดีกันทั้งบ้าน

ต่อให้นางจะไม่ยอมแพ้ ไม่อยากก้มหัวให้โชคชะตา แต่ ลึกๆ ในใจจะไม่ให้รู้สึกกลัวได้อย่างไร

ชายในชุดสีเข้มเห็นเด็กหญิงที่ไม่มีปฏิกิริยาแม้จะถูกตบ แต่กลับยิ้มให้ตัวเองอย่างเหนียมอาย ในใจเกิดความรู้สึกที่ อธิบายไม่ถูกขึ้น เสียงที่เดิมทีไร้ความรู้สึกกลับอ่อนโยนขึ้นมา “นางหนู? เช่นนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่าบิดาเจ้าแต่อะไร

“ข้า ข้าไม่รู้… ” มั่วชิงเฉินก้มหน้าลง

ชายในชุดสีเข้มชะงักงัน จากนั้นหันหน้าไปทางนางหลิ่ว หยางที่นั่งอาละวาดอยู่บนพื้นว่า “เจ้าเป็นอะไรกับนาง

เขาพูดไม่เร็วไม่ช้าแต่กลับเต็มไปด้วยความกดดันอย่าง บอกไม่ถูก ทำให้นางหลิ่วหยางที่ดุร้ายหยุดร้องโวยวาย ชะงัก แล้วตอบอย่างไม่รู้ตัวว่า “ข้าเป็นน้าสะใภ้ของนาง…

“บิดามารดานางล่ะ” ชายในชุดสีเข้มเริ่มหมดความอดทน

นางหลิ่วหยางเหงื่อออกท่วมศีษะแต่กลับไม่รู้ตัว พูดต่อว่า “บิดาของนางหายตัวไปตั้งแต่นางยังไม่เกิด มารดาของนาง ตายตั้งแต่หลายปีก่อนแล้ว บิดาของนาง…ดูเหมือนจะแซ่มั่ว….

“แซ่มั่ว? ถ้าเช่นนั้นก็ถูกแล้ว” ในที่สุดบนใบหน้าของชาย ในชุดสีเข้มก็ปรากฏรอยยิ้ม เขาพูดกับมั่วซึ่งเป็นเพียงคนเดีย ว่า “นางหนู ไปกับข้า ข้าคือท่านอาสิบสี่ของเจ้า

เพียงคำพูดประโยคเดียวทำให้มั่วซึ่งเป็นน้ำตาแทบร่วงนางพยักหน้ายืนขึ้น เห็นชายในชุดสีเข้มยื่นมือออกมาจูงนาง จึงรีบก้มลงเก็บขนมวัววัวโถวที่นางหลิ่วหยางปัดตกขึ้นมาเก็บ

ไว้ในอก

ชายใสชุดสีเข้มยิ้มแล้วจูงมือมั่วชิงเฉินว่า “นางหนู ไปกัน

เถอะ”


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ