สาวธรรมดากับนางฟ้านําเต้า

ตอนที่ 6 ชมอาทิตย์อัสดงใต้ต้นไม้



ตอนที่ 6 ชมอาทิตย์อัสดงใต้ต้นไม้

มั่วซิงเฉินมอง ผู้เฒ่าหน้าอิ่มเอิบวิ่งออกมาอย่างงงๆ หน้าของ เขาถูกควันสุมจนด่า เสื้อผ้าขาดไม่เป็นชิ้นดี กำลังมองมั่วสิบสี่ อย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน

“ท่าน…ท่านอาหา” มั่วสิบสี่เรียกติดอ่าง

ผู้เฒ่าหน้าอิ่มเอิบเหลือกตาว่า “มองอะไร ข้าเพียงแค่โยน ผงอัคคีแดงเข้าไปเล็กน้อยแล้วไม่ระวัง จึงเกิดระเบิดขึ้นมา เท่านั้นเอง เอ๊ะ นางหนูมาแล้ว รีบมาเร็ว

พูดจบก็ลากมั่วชิงเฉินเข้าไปแล้วปิดประตูลานบ้านดังปัง มั่วสิบสี่ที่อยู่ด้านนอกลูบจมูกแล้วหมุนตัวเดินยิ้มจากไปอย่าง ช่วยไม่ได้

มั่วชิงเฉินหันมองประตูที่ปิดแน่นสนิทอย่างไม่รู้ตัว อย่างไรเสียท่านอาสิบสี่ก็เป็นคนที่นางคุ้นเคยเป็นคนแรกของที่ นี่ ขณะนี้เขาไม่อยู่แล้วนางจึงไม่ค่อยเป็นตัวของตัวเองเท่าไรนัก

“นางหนู มา ให้ของรับขวัญเจ้า” ผู้เฒ่าหน้าอิ่มเอิบพูด พลางล้วงถุงผ้าสีน้ำเงินเข้มขนาดเท่าฝ่ามือปักลายเถาวัลย์ออก มา

มั่วชิงเฉินแอบดีใจ หรือว่า นี่ก็คือถุงเก็บวัตถุ ในตำนาน หรือว่าท่านจะมอบถุงเก็บวัตถุให้ตนเอง
ทว่ามั่วซึ่งเป็นต้องรู้ว่าตนเตาผิดแทบจะทันที เห็นผู้เฒ่า หน้าอิ่มเอิบล้วงมือเข้าไปในถุงพลิกไปพลิกมาอยู่ครู่หนึ่งจึงล้วง โอสถสีเหลืองขนาดเท่าถั่วลิสงออกมาสองเม็ดด้วยความ เคอะเขิน “นางหนูเอ๊ย แค่กๆ อาวุธเวทพวกนั้นเจ้ายังใช้ไม่เป็น โอสถรวมวิญญาณนี้ปูหลอมเองกับมือ กินแล้วจะช่วยให้ตบะ เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทว่าตอนนี้เจ้ายังกินไม่ได้ ต้องรอดึง ลมปราณเข้าร่างเจ้าก่อนถึงจะกินได้

พูดจบเห็นมั่วซิงเฉินไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้ จึงรีบพูดอีกว่า “นางหนู เจ้ายังไม่รู้จักค่าของโอสถ มาๆ จะเล่าให้เจ้าฟัง โลกแห่งการบำเพ็ญเพียรในแผ่นดินเทียนหยวนนี้ บัดนี้ ทรัพยากรทุกอย่างล้วนขาดแคลน โอสถรวมวิญญาณนี้แม้จะ เป็นโอสถระดับต่ำสุดที่ใช้ในระดับหลอมลมปราณ แน่นอนว่า ไม่เป็นที่ต้องการของเหล่าสำนักใหญ่ที่มีพื้นฐานแก่กล้า แต่ สำหรับตระกูลบำเพ็ญเพียรเล็กๆ อย่างเราไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่ จะได้กินเป็นประจํา…

มั่วชิงเฉินฟังผู้เฒ่าพูดน้ำลายกระเด็นรอบทิศอยู่ครึ่งค่อน วัน สรุปได้ว่าโอสถรวมวิญญาณนี้มีค่ายิ่งนัก นางจะรังเกียจไม่ ได้เด็ดขาด

มั่วชิงเฉิงพยายามกลั้นหัวเราะไว้แล้วเม้มปากพูดว่า “ท่าน ปู ชิงเฉินทราบแล้วเจ้าค่ะ ขอบคุณโอสถรวมวิญญาณของท่าน ปู่ นี่เป็นของขวัญที่ดีที่สุดที่ชิงเฉินเคยได้รับมาเลยเจ้าค่ะ”

เพียงคำพูดประโยคเดียวก็ทําให้ผู้เฒ่าเบิกบานใจ ครา เอามือล้วงเข้าไปในอกล้วงอยู่ครึ่งค่อนวันจึงล้วงถุงผ้าสีแดงออกมาได้

เขากอบถุงผ้าไว้ในมือ เปิดผ้าออกทีละชั้นทีละชั้นอย่าง

ระมัดระวัง มั่วชิงเฉินถึงได้เห็นว่าข้างในเป็นดอกไม้ทำจาก ไข่มุกดอกหนึ่ง

กลีบดอกไม้ของดอกไม้มุกดอกนั้นทับซ้อนกันเป็นชั้นๆ มี ตั้งแต่สีน้ำเงินอ่อนไปถึงสีน้ำเงินเข้ม ตรงส่วนที่เป็นเกสร ดอกไม้มีไข่มุกสีน้ำเงินเข้มขนาดเท่าเม็ดลำไยอยู่

อาศัยแสงอาทิตย์สายสุดท้าย เม็ดมุกทอแสงเป็นประกาย งดงามหาใดเปรียบ ขับจนดอกไม้มุกทั้งดอกนั้นแสงสีเตะตายิ่ง

ผู้เฒ่ามองดอกไม้มุกนั้นอย่างเสียดายก่อนค่อยๆ ส่งมัน ให้กับมั่วชิงเฉิน

เมื่อเห็นสีหน้าของผู้เฒ่าแล้วมั่วชิงเฉินเกิดไม่กล้ารับขึ้นมา เกรงว่าหากยื่นมือไปแล้วผู้เฒ่าจะหดมือกลับไป

“รับไว้เถอะ นางหนู ดอกไม้มุกดอกนี้เป็นของท่านว่าเจ้า เมื่อก่อนท่านแม่ข้าเคยปักมาก่อน เดิมทีกะว่าจะให้ลูกสะใภ้ บัดนี้ให้เจ้าก็เหมือนกัน” ความคิดคะนึงแล่นผ่านใบหน้าผู้เฒ่า วาบหนึ่ง จากนั้นพูดขึ้นอีกว่า “นางหนู วัสดุที่ทำดอกไม้มุกนี้ ไม่ใช่ของล้ำค่าอะไร ทว่าเป็นของที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษ บัดนี้ให้เจ้า เจ้าอย่าทำหายเสียล่ะ” พูดจบนำดอกไม้มุกปักลง ที่มวยผมของมั่วชิงเฉิน

มั่วชิงเงินรีบยื่นมือจะหยิบดอกไม้มุกนั้นลงมาพลับพูดว่า“ท่านให้ข้าเก็บเอาไว้เถอะเจ้าค่ะ ปักไว้แล้วหากข้าทำหาย หรือท่าเสียมันจะแย่เอา

ผู้เฒ่ากดมือมั่วชิงเฉินไว้แล้วกล่าวว่า “ปีกไว้เถอะ ดอกไม้ มีไว้เพื่อให้คนปัก เมื่อก่อนท่านย่าเจ้าก็ปักมันทุกวัน

ผู้เฒ่าพูดพลางนึกถึงเสียงและรอยยิ้มของภรรยา นึกถึง ตอนนั้นนางรูปโฉมสะคราญ เครื่องประดับมีค่าทั้งหลายล้วน สลับสับเปลี่ยนกันใส่ มีเพียงดอกไม้มุกธรรมดาดอกนี้ที่ปักไว้ บนมวยผมตลอดเวลา…

เมื่อได้ฟังเช่นนั้นมั่วชิงเฉินจึงเกิดความรู้สึกโล่งใจขึ้นมา และเริ่มพินิศการตกแต่งในลานบ้านอย่างสบายอารมณ์

นี่เป็นลานเล็กๆ ธรรมดาๆ แห่งหนึ่ง เรือนหลักทั้งแถบหัน หน้าเข้าหาทิศใต้ ทิศตะวันออกเป็นเรือนเตี้ยๆ แถวหนึ่ง ทิศ ตะวันตกมีเพียงห้องเดียว มองปราดเดียวก็รู้ว่าน่าจะเป็นห้อง สุขา พื้นกลางลานปูด้วยหินก้อนใหญ่สีเขียว ต้นท้อดูมีอายุเก่า แก่ต้นหนึ่งปลุกอยู่มุมกำแพงเต็มไปด้วยลูกท้อสีขาวอมชมพู เพียงแค่มองดูก็ทำให้น้ำลายสอ ที่วิเศษที่สุดคือ ใต้ต้นท้อที่สูง ใหญ่นั้นมีเก้าอี้โยกสานด้วยเถาวัลย์ตัวหนึ่ง ไม่ไกลออกไปมี เก้าอี้นวางกระจายกันอยู่หลายตัว ด้านบนปูไว้ด้วยเบาะรอง นั่งสีเหลือง

“แหะๆ นางหนู เจ้าก็ชอบเก้าอี้โยกตัวนั้นล่ะสิ” ผู้เฒ่าเห็น มั่วชิงเฉินต้องเก้าอี้โยกตาไม่กะพริบจึงเอ่ยถาม

มั่วซึ่งเป็นพยักหน้าแรงๆ ว่า “อืม ชอบเจ้าค่ะ”
ผู้เฒ่าราวกับรู้สึกสนุกขึ้นมา จูงมั่วชิงเฉินแล้วพูดว่า “มา”

พูดจบก็จูงมั่วซิงเฉินมาถึงใต้ต้นไม้ โบกมือหนึ่งที ปรากฏเก้าอี้โยกอีกตัวเพิ่มขึ้นมา เมื่อเทียบกับตัวที่อยู่ใต้ต้นไม้ แล้วตัวนี้เล็กกว่ามากอย่างชัดเจน และประณีตกว่ามาก เถาวัลย์สีเขียวราวกับยังมีกลิ่นหอมสดชื่นติดอยู่

ผู้เฒ่าตบเก้าอี้เอนหลังว่า “นางหนู ลองขึ้นไปเอนดู รู้ว่า เจ้าต้องชอบ”

มั่วชิงเฉินหลุบตาลง ความอบอุ่นค่อยๆ ท่วมท้นในใจ นานเพียงใดแล้วที่ไม่มีใครดีกับตนขนาดนี้ นางเริ่มคาดหวัง การเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่นี่

หนึ่งเฒ่าหนึ่งเด็กเอนตัวบนเก้าอี้โยก มองแสงจากอาทิตย์ อัสดงอันสวยงามอัศจรรย์ดั่งฝันที่ขอบฟ้าอย่างไร้เสียง

ไม่ว่าจะเป็นยุคปัจจุบันหรือวันเวลาหลังจากที่ทะลุมิติมา มั่วชิงเฉินไม่เคยมีเวลาว่างพอจะพินิศพิเคราะห์ท้องฟ้าในยุค สมัยนี้ บัดนี้นางถึงค้นพบว่าท้องฟ้าที่ไม่มีมลพิษสวยเช่นนี้นี่เอง ต่อให้พระอาทิตย์ยามเย็นกำลังจะลากลำแสงสุดท้ายจากไป ทว่าท้องฟ้าที่เริ่มมืดยังคงกระจ่างใส ทำให้จิตใจของคนพลอย สดใสตามไปด้วย

มั่วชิงเฉินที่ประสาทตึงเครียดมาตลอดค่อยๆ หลับลง

ผู้เฒ่าลุกขึ้นจากเก้าอี้โยก พิจารณาดูเด็กหญิงตัวเล็กๆ ที่ หลับสนิทอย่างละเอียด เห็นร่างเล็กๆ ของนางฝั่งตัวท่ามกลาง เก้าอี้โยก ใบหน้าที่เล็กกว่าฝ่ามือหลับอย่างเป็นสุข อดถอนใจแผ่วเบาไม่ได้ จากนั้นก็อุ้มมั่วชิงเฉินขึ้นค่อยๆ เดินเข้าห้องไป

เช้าวันที่สองขอบฟ้าเพิ่งจะสว่างไร มั่วชิงเฉินก็ตนเอง โดยธรรมชาติ ช่วยไม่ได้ นี่คือนาฬิกาชีวิตที่ฝึกมาในระยะหนึ่ง ปี หากตื่นสายเพียงเล็กน้อยก็จะถูกนางหลิ่วหยางด่าสาดเสีย

เทเสีย

มั่วชิงเฉินแต่งตัวเรียบร้อยแต่หาที่ชะล้างไม่พบ ทั้งยังไม่รู้ ว่าท่านปู่ตื่นหรือยังจึงได้แต่เดินมาถึงลานบ้าน

อากาศสดชื่นสายหนึ่งแฝงไว้ด้วยกลิ่นอ่อนๆ ของดอกไม้ ใบหญ้า เมื่อมองดูดีๆ มั่วชิงเฉินเห็นท่านนั่งสมาธิอยู่บนเก้าอี้ หินใต้ต้นไม้แล้ว

ผู้เฒ่าลืมตาขึ้นเมื่อได้ยินเสียง มองมั่วชิงเฉินแล้วยิ้มว่า “นางหนู เหตุใดจึงตื่นเช้าจัง

มั่วชิงเฉินหน้าแดง “ท่าน ท่านตื่นเช้ากว่าข้ามากนัก ท่านปู ข้าจะล้างหน้าได้ที่ไหนเจ้าคะ

ผู้เฒ่าชะงักไปชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยว่า “ไอยา ข้าเลินเล่อแล้ว ที่นี่ไม่มีบ่อน้ำน่ะ”

พูดพลางเสกอ่างน้ำออกมาใบหนึ่งและขยับนิ้วมือแผ่วเบา ทันใดนั้นก็มีสายน้ำสายหนึ่งไหลลงในอ่างน้ำ

มั่วชิงเฉินเบิกตากว้าง ก่อนหน้านี้ท่านอาสิบสี่เพียงแค่ก้าว เป็นดั่งสายลมยังไม่รู้สึกอะไร ครั้งนี้ได้เห็นการเสกฝนกลาง อากาศกับตา ช่างน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก
ผู้เฒ่าดูท่าทางของมั่วชิงเฉินแล้วหัวเราะคิกคัก “นี่คือ คาถาเรียกฝน นางหนู รอเจ้าหลอมลมปราณถึงขั้นที่ห้าก็แสดง ฝีมือได้แล้ว ”

และในเวลานี้เองที่มั่วชิงเฉินได้ยินเสียงเคาะประตูดัง

ก็อกๆ


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ