ตอนที่ 3 แดนสุขาวดีอยู่แห่งหนใด
ชายในชุดสีเข้มจูงมั่วซิงเฉินไว้ เพียงขยับตัวเล็กน้อยกลอย ออกไปไกลหลายจัง [1] พริบตาเดียวก็มาถึงนอกประตูลานบ้าน แล้ว
ชาวบ้านที่มุงดูรวมทั้งนางหลิ่วหยางต่างตกตะลึงแน่นิ่ง ลืมแม้กระทั่งการพูด มองดูชายในชุดสีเข้มจูงมั่วชิงเฉินยิ่งเดิน ยิ่งไกลออกไปต่อหน้าต่อตา
หลิงจือเหมือนเพิ่งตื่นจากความฝัน นางวิ่งไปตามทิศที่ พวกเขาจากไป ตะโกนเสียงดังว่า “สาวน้อย สาวน้อย เจ้าจะไป ไหน จะกลับมาอีกไหม
มั่วชิงเฉินขยับตัวเล็กน้อย ชายในชุดสีเข้มกลับเหมือนไม่ ได้ยินยังคงจูงนางเดินต่อไป
มั่วชิงเฉินได้แต่หันศีรษะ เดินไปตะโกนไปว่า “พี่หญิงคือ พี่
ต้องรักษาตัวนะ…”
ไม่นานนัก ร่างหนึ่ง ใหญ่หนึ่งเล็กสองร่างก็หายไปจาก สายตาของชาวบ้าน
ผ่านไปพักใหญ่ พวกชาวบ้านถึงเริ่มถูกกันขึ้นมาอย่างอื่น
“เห็นหรือไม่ นั่นจะต้องเป็นเทพเซียนแน่ๆ ข้าบอกแล้วว่าเทพเซียนมีอยู่จริง พวกเจ้ายังไม่เชื่อ” จางเอ้อร์หมาจ่อยิ้มปาก กว้างกล่าว
“ร้าย ถ้าเช่นนั้น บิดาของนางหนูก็เป็นเทพเซียนน่ะสิ มิน่า ล่ะ นึกถึงตอนนั้นที่ข้าเห็นเขาแวบแรกก็รู้สึกว่าเขาเป็นดั่งเทพ เซียน” หญิงมีเสน่ห์คนหนึ่งพูดอย่างตื่นเต้น
“ๆ ข้าออกตั้งนานแล้วว่านางหนูไม่ธรรมดา เด็กตัว เล็กๆ ขนาดนั้นแต่ตากลับเป็นประกายแวววับ เหมือนเข้าใจ อะไรไปเสียทุกอย่าง เห็นไหมล่ะไปเป็นเทพเซียนเสียแล้ว” หญิงที่แต่งงานแล้วอายุยี่สิบกว่าคนหนึ่งพูดพลางสะบัด ผ้าเช็ดหน้า
“ก็นั่นน่ะสิ ก็ว่าหน้าตาของนางหนูไม่ใช่คนบนโลกนี้จะพึง มีได้นะ ที่นี่รั้งนางไว้ไม่อยู่หรอก” ตาแก่ผมหงอกลูบหนวดเครา พลางว่า
มีเพียงนางหลิ่วหยางที่สีหน้าเขียวคล้ำ นั่งงงๆ อยู่ตรงนั้น ไม่ลุกขึ้นมา ในใจคิดซ้ำไปซ้ำมาเพียงอย่างเดียว นางหนูจะ เป็นเซียนแล้ว นางจะกลับมาเอาข้าลงกระทะทองแดงหรือไม่
มั่วชิงเฉินไม่รู้เลยว่าการปรากฏตัวของชายในชุดสีเข้ม สร้างความโกลาหลเพียงใดให้กับหมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้ นาง เพียงแต่กระวนกระวายใจและตั้งตารอถึงสถานที่ที่จะได้ไป
ชายในชุดสีเข้มไม่ชอบพูดคุยนัก เขามัวสนใจแต่จูงมั่วชิง เฉินมุ่งไปข้างหน้า ทิวทัศน์รอบข้างถอยหลังไปอย่างรวดเร็ว มั่ว ชิงเฉินมีความรู้สึกเหมือนนั่งชมวิวอยู่บนรถยนต์
“ท่านอาสิบสี่ นี่ท่านกำลังพาช้ากลับบ้านหรือเจ้าคะ” ใน ที่สุดมั่วชิงเฉินก็ทนไม่ไหวจนต้องถามออกมา
นางรู้ว่าระหว่างคนกับคนมีเพียงการติดต่อสื่อสารเท่านั้น
ถึงจะสร้างความประทับใจให้เกิดขึ้นได้
“นางหนู อย่าเพิ่งพูดตอนนี้” ชายในชุดสีเข้มเอ่ย
มั่วชิงเฉินเม้มปาก ปล่อยให้ชายในชุดสีเข้มจูงนางมุ่งไป ข้างหน้า จนกระทั่งผ่านเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งจึงได้หยุดลง
ชายในชุดสีเข้มจูงนางมาถึงร้านเหล้าเล็กๆ แห่งหนึ่งและ เข้าไปในห้องส่วนตัว เกี่ยวเอ้อร์ซึ่งห้อยผ้าซับเหงื่อไว้บนคอผู้ คล่องแคล่วว่องไวรีบเดินมาบอกชื่ออาหาร
ชายในชุดสีเข้มโบกมือกล่าวว่า “เลือกที่ขึ้นชื่อมาสัก หลายๆ อย่างแล้วรีบยกขึ้นมา
เสี่ยวเอ้อ โค้งตัวถอยออกไป ในห้องจึงเหลือเพียงชายใน ชุดสีเข้มและมั่วซิงเฉินเพียงสองคน
ขณะที่มั่วชิงเฉินกำลังคิดอยู่ว่าจะเปิดปากพูดก่อนดีหรือ ไม่ ชายในชุดสีเข้มก็พูดขึ้นมาว่า “นางหนู เจ้าไม่ต้องเกรงนะ เจ้าพูดไม่ผิดหรอก อาสิบสี่มาครั้งนี้ก็เพื่อพาเจ้ากลับบ้าน
“ท่านพ่อของข้า ก็อยู่ที่บ้านหรือ” มั่วชิงเฉินถามเสียงเบา
ชายในชุดสีเข้มชะงักครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวว่า “เขาก็อยู่
มั่วซึ่งเป็นคิดในใจ ถ้าอย่างนั้นทำไมบิดาของนางถึงไม่มา
บ้าน”รับนางเอง แต่กลับให้ท่านอาสิบสี่มาล่ะ แน่นอนนางไม่มีทาง ถามออกมาเด็ดขาด จึงถามว่า “ท่านอาสิบสี่ เราต้องเดินทาง อีกนานไหมกว่าจะถึงบ้าน
ชายในชุดสีเข้มยิ้มว่า “นางหนู รอเจ้ากินอิ่ม อาบน้ำเสร็จ ฟ้ายังไม่ทันมืดเราก็ถึงบ้านแล้ว
เพียงครู่เดียวเสี่ยวเอ้อร์ก็ยกข้าวปลาอาหารร้อนกรุ่นเข้า มาแล้ววางลงบนโต๊ะทีละอย่างๆ “นายท่านเชิญขอรับ” พูดจบก็ จะถอยออกไป
ชายในชุดสีเข้มกลับกล่าวว่า “น้องชายท่านนี้ รบกวนเจ้า ช่วยซื้อเสื้อผ้าที่หลานสาวข้าใส่ได้มาสักสองชุด นี่ ไม่ต้องทอน นะ” จากนั้นโยนเศษก้อนเงินสีขาวโพลนออกมา
เสี่ยวเอ้อร์รับเงินไว้ในมือ ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ว่า “วางใจ เถอะท่าน ข้าน้อยจะรีบส่งมา”
มั่วซิงเฉินเบิกตากว้าง นางมาได้หนึ่งปีแล้วย่อมรู้ราคา ค่างวดของเศษก้อนเงินเล็กๆ นี้ดี นี่สามารถทำให้ชาวบ้าน ธรรมดานํารงชีวิตไปได้ครึ่งปีแล้ว
จากนั้นก็ยิ้มเยาะตนเอง ดูจากความมือเติบของท่านอาสิบ สี่แล้ว เป็นไปได้มากที่พวกเขาคือนักบำเพ็ญเซียนในตำนาน คาดว่าคงไม่ใส่ใจเงินทองของทางโลกสินะ
คิดได้เช่นนี้ จึงยิ่งตั้งตารอบ้านที่ไม่รู้ว่าอยู่แห่งหนใดขึ้น
มา
“กินเถอะ นางหนู” ชายในชุดสีเข้มพูดพลางคับน้องไก่ให้
มั่วซิงเฉินหนึ่งข้าง
มั่วซิงเฉินที่ไม่ได้ลิ้มลองรสชาติเนื้อมาหนึ่งปี พยายามข่ม ใจตนเองไม่ให้เสียกิริยา นางแอบรู้สึกโชคดีที่ก่อนหน้านี้ หลังจือให้ขนมวัววัว โถวก้อนนั้นแก่นางไว้ ให้นางได้รองท้องไว้ บ้าง มิเช่นนั้นคงจะอับอายน่าดู
โดยที่ไม่รู้ว่าชายในชุดสีเข้มมองดูท่ากินอันเรียบร้อยของ มั่วชิงเฉินแล้วก็แอบประหลาดใจนัก ณ เวลานั้นสิ่งที่ผู้หญิงคน นั้นกระทำต่อนางหนูในลานบ้าน เขาล้วนเห็นกับตา คิดว่า ความเป็นอยู่ของนางหนูน้อยในหลายปีนี้คงจะลำบากมาก กระนั้นต่อหน้าอาหารเลิศรสเต็ม โต๊ะเช่นนี้นางยังสามารถ บังคับตนเองได้ หรือว่านางจะมีพรสวรรค์เก่งกล้ามาแต่กำเนิด
พอคิดอีกทีในตัวนางหนูน้อยมีสายเลือดตระกูลมั่วไหลอยู่ ครึ่งหนึ่ง ใช่ว่าคนธรรมดาเหล่านั้นจะเทียบเคียงได้
และเมื่อนึกถึงคำพูดกระแนะกระแหนของพี่สะใภ้แปดก่อน จะออกจากบ้านมา ชายในชุดสีเข้มก็วางใจลง สายตาที่มองมั่ว ซึ่งเป็นยิ่งเพิ่มความชื่นชมมากขึ้น
ไม่นานนักเสี่ยวเอ้อร์ก็ถือห่อผ้าเดินเข้ามา ชายในชุดสี เข้มให้เขาหาผู้หญิงมีอายุสักหน่อยเพื่อช่วยมั่วซิงเฉินอาบน้ำ เมื่อมั่วชิงเฉินใส่เสื้อผ้าที่ซื้อมาใหม่เดินออกมาก
ชายในชุดสีเข้มเห็นนางหนูน้อยที่เปลี่ยนไปเป็นคนละคน แล้วก็อดตะลึงงันไม่ได้
เห็นนางสวมชุดกระโปรงสีชมพู ผมทรงซาลาเปาคู่รัก ดอกไม้ประดิษฐ์เป็นทรงพวงดอกท้อข้างละหนึ่งพวง ดวงตา ทรงดอกท้ออันมีชีวิตชีวาบนใบหน้าขาวเนียนอมยิ้มหันมองมา ทางเขา
ทันใดนั้นเองชายในชุดสีเข้มจึงเข้าใจขึ้นมาโดยพลันว่า เพราะเหตุใดพี่เจ็ดถึงได้แต่งหญิงสาวสามัญเป็นภรรยา นาง หนูน้อยที่ขาดสารอาหารยังสวยได้ถึงเพียงนี้ เช่นนั้นมารดา ของนางนั้นจะงดงามเพียงใด
“ท่านอาสิบสี่ ท่านเป็นอะไรไปหรือ” มั่วชิงเฉินแหงนหน้า ถาม ผู้หญิงล้วนรักสวยรักงาม ครั้งแรกที่ได้ใส่เสื้อผ้าสวยเช่นนี้ ในใจนางก็แอบตื่นเต้นเช่นกัน
ชายในชุดสีเข้มยิ้มแล้วกล่าวว่า “นางหนูสวยจริงๆ พวก เราไปกันเถอะ”
ครั้งนี้ชายในชุดสีเข้มจูงมั่วชิงเฉินเดินออกจากตัวเมือง ด้วยความเร็วเหมือนคนธรรมดาเดินเท้า มาจนถึงสถานที่ เปลี่ยวนอกเมืองจึงได้หยุดลงกะทันหัน
มั่วชิงเฉินใจหายวาบ โดยไม่รู้ตัว
ชายในชุดสีเข้มเห็นท่าทางตื่นเต้นของมั่วชิงเฉินแล้วกลับ หัวเราะคิกคัก โก่งเอวอุ้มนางขึ้นมา
มั่วซิงเฉินหน้าแดง ไม่ว่าภายนอกจะอายุสักเท่าไรแต่ ภายในของนางก็คือดวงวิญญาณของหญิงสาวอายุยี่สิบกว่า อยู่ดี
นางหนู จับแน่นๆ นะ” ชายในชุดสีเข้มพูดเสียงต่ำ
มั่วชิงเฉินแม้จะหน้าร้อนผ่าว แต่ก็ยังกอดชายในชุดสีเข้ม แน่นอย่างว่าง่าย
เห็นชายในชุดสีเข้มหยิบกระดาษประหลาดออกมาแผ่น หนึ่งแปะไว้บนเท้า
โม่ชิงเฉินร้อง “ว้าย” ออกมา
นางซุกตัวในอ้อมกอดของชายในชุดสีเข้ม ทิวทัศน์รอบ ข้างถอยหลังไปอย่างรวดเร็วดั่งสายน้ำ รู้สึกเหมือนดั่งเหาะเหิน เดินอากาศได้ ข้างหูล้วนเป็นเสียงลมพัดๆ
ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไร ในที่สุดชายในชุดสีเข้มก็หยุดลงที่ หน้าประตูจวนแห่งหนึ่ง
มั่วซิงเฉินขยี้ตาที่พร่ามัว นางรู้จักตัวหนังสือสองตัวที่อยู่ บนแผ่นป้าย จวน ว
มั่วชิงเฉินมองดูรอบๆ พบว่าทิวทัศน์รอบข้างแท้จริงคือ เมืองที่เฟื่องฟูแห่งหนึ่ง ในใจอดผิดหวังไม่ได้ นางยังคิดว่าจะ ถูกพาไปบนภูเขาเซียนโน่นแน่ะ
ชายในชุดสีเข้มไม่รู้ความในใจของนางหนูน้อย ได้แต่ลูบ ศีรษะนางว่า “นางหนู ถึงแล้ว”
(1) จัง หน่วยวัดโบราณของจีน
1
ทั้งยาวประมาณ 3.33
เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ