บทที่ 6 ดวงของเจ้าไม่เลว
บทที่ 6 ดวงของเจ้าไม่เลว
อาหารกลางวันของตระกูลหรงสุดท้ายก็ไม่ได้ทาน จูน เจ๋วเมื่อสั่งสอนพวกหรงเพ่ยแล้ว ก็จูงมืองั่งเย่เดินจากไป ทั้งสองได้นั่งเสลี่ยงที่จะกลับตำหนัก ทันใดนั้นจูนเจ๋วก็ หมดแรงจนนอนอยู่บนก้าอี้
“ยังดีที่พระชายาฉลาด บอกท่านอ๋องก่อนว่าจะต้อง จัดการกับพวกตระกูลหรงยังไง ไม่เช่นนั้นวันนี้คงจะ อึดอัดแทบตาย” หลิงเอ๋อที่อยู่ข้างๆหัวเราะแล้วพูด วันนี้ ได้เห็นท่าทางที่สง่าผ่าเผยของท่านอ๋องนางดีใจมาก ถึง จะเป็นแค่การแสดง แต่ก็ได้ความน่าเกรงขามของต่าหนัก อ๋องโยวกลับคืนมา
“ข้าจะไม่ไปที่ตระกูลหรงอีก ข้าเหนื่อยจนจะตายอยู่ แล้ว” จูนเจ๋วพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนแรง
วั่งเย่ขยับมุมปากแล้วมองไปด้านนอกของเสลี่ยง ตระ กูลหรงที่โง่เง่าอยากสู้กับนาง ไปฝึกมาสักร้อยพันปีแล้ว ค่อยมาพูด
จูนเจ๋วหันหน้ามาแล้วมองหน้าด้านข้างของวิ่งเก๋ แล้วพูด ด้วยเสียงที่เบาว่า “ภรรยาชั่ว ตอนที่เจ้าอยู่ในตระกูลหรง ถูกกลั่นแกล้งแบบนี้ตลอดเลยเหรอ?”
“ประมาณนั้นแหละ ไม่มีใครรักใคร่ ถูกกลั่นแกล้งก็เป็น เรื่องธรรมดา มีแต่ทำให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้น คนพวกนั้น ถึงจะไม่กล้ารังแกอีก” วิ่งเก๋พูดด้วยเสียงที่เบา เมื่อก่อน ตอนที่นางเป็นมือสังหารที่โหดเหี้ยม ทุกคนในกลุ่มต่าง เกรงกลัวนางเป็นอย่างมาก ต่างหวังทุกวันว่าขอให้สัตว์ ประหลาดตนนี้ตายไปเร็วๆ ถ้าไม่ใช่ว่านางนั้นแข็งแกร่ง พอ เขาคงจะถูกฝังไว้ตรงไหนก็ไม่รู้
สายตาของวั่งเย่นั้นช่างว่างเปล่า จูนเจ๋วเห็นแล้วก็เห็นใจ ในใจก็อ่อนโยนลง ถึงแม้ว่านางจะดุไปหน่อย แต่นางก็ ช่างน่าสงสารจริงๆ แม้แต่พ่อแท้ๆของตนก็ไม่รักนาง หลัง จากนี้ข้าจะปฏิบัติตัวดีๆต่อนางหน่อยละกัน
หลังจากนั้นผ่านไปหนึ่งเดือน ช่วงเวลาที่อยู่ในตำหนัก อ๋องโยวก็สงบเป็นอย่างมาก จูนเจ๋วก็ไม่ได้สร้างปัญหา อะไร คนรับใช้ในตำหนักก็สงบลงไม่ใช่น้อย แต่สิ่งที่ สำคัญที่สุดคือตระกูลหรงไม่ได้มาหาเรื่องนางเลย นางก็ สามารถฝึกฝนเพลงยุทธอยู่ในตำหนักอ๋องโยวได้อย่าง เงียบสงบ ในตอนนี้ร่างกายของนางนั้นก็ได้ฟื้นฟูเสร็จ หมดแล้ว และเพลงยุทธถึงจะไม่เทียบเท่าเหมือนเมื่อก่อน แต่คนที่นี่อยากจะทำอะไรนางมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ
วันนี้ตั้งแต่เช้า วึ่งเย่ก็อยู่ในลานเพื่อฝึกเพลงยุทธ แต่ ทันใดนั้น ที่ประตูหน้าตำหนักก็เสียงดังขึ้น วิ่งเก๋กระดิกคิ้ว แล้วไม่ได้สนใจอะไร
“โย่ ดูท่าทางตำหนักอ่องโยวจะดูแลเจ้าเป็นอย่างดีเลย รูปร่างที่ขาวๆอ้วนๆนี่ข้าเกือบจะจำไม่ได้”
ไม่นาน ชายหนุ่มที่ใส่ชุดสีฟ้าก็เดินเข้ามาอย่างหน้าตา เฉย นั่งเย่เหลือบมองเขา นางจำเขาได้ เขาเป็นหลานชาย ของฮ่องเต้ปัจจุบัน ลูกชายเพียงคนเดียวของอ๋องจี้นาม ว่าฉีหยั่นโม่ เป็นท่านอ๋องที่มีตำแหน่องสูง เป็นคนที่ชอบ โอ้อวด ชอบเล่นสนุกไปวันๆ และเข้ากันได้ดีกับชายหนุ่ม ที่อยู่ในชนชั้นสูง
แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเข้าชื่นชมจูนเจ๋วมาก และเป็นไอ ดอลของเขา แต่เมื่อได้ยินว่าไอดอลของตนได้แต่งงาน กับ หญิงสาวที่มีชื่อเสียงไม่ดีและงี่เง่า ในใจน่าจะโกรธน่า
วั่งเย็ไม่ได้สนใจเขา แต่ฉีหยั่นโม่ก็ไม่ปล่อยเรื่องนี้ไว้ แบบนี้ แล้วพูดต่อว่า “ข้าจะบอกอะไรกับเจ้า การที่เจ้าได้ แต่งงานแล้วเข้ามาอยู่ในตำหนักอ๋องโยว ไม่ได้แปลว่าเจ้า จะเป็นพระชายาที่แท้จริง ผู้หญิงอย่างเจ้า เป็นเมียน้อย ก็ไม่มีใครเอา พี่จูนเจ๋วก็แค่ไม่มีทางเลือกเลยแต่งงาน กับเจ้า แต่ถ้าเจ้าอยู่ดีๆก็ว่าไปอย่าง ถ้าเกิดท่าอะไรเกิน เลยระหว่างที่พี่จูนเจ๋วยังไม่ฟื้นตัว ข้าจะเป็นคนแรกที่ไม่ ปล่อยเจ้าไว้ ”
วิ่งเก๋ก็ยังคงไม่สนใจเขาอยู่ดี ฉีหยั่นโม่รู้สึกถูกมองข้าม ในใจอึดอัดไม่น้อย แล้วพูดด้วยความโกรธว่า “เจ้าหู หนวกหรือเป็นใบ้! ข้ากำลังพูดอยู่กับเจ้า! ”
“โอ้ พูดเสร็จยัง? ”
“เจ้า! ท่าทางอะไรของเจ้า! ฮึง เป็นผู้หญิงที่ไม่มีการสั่ง สอนจริงๆด้วย ไม่รู้ว่าหรงแม่ทัพปกติสั่งสอนเจ้ายังไง ”
โทษที หรงแม่ทัพท่านนั้นก็คงไม่เคยสั่งสอนนางจริงๆ
เมื่อเห็นวิ่งเย่ไม่มีปฏิกิริยาอะไร ในใจของ หยั่นไม่ยิ่ง โกรธเข้าไปใหญ่ แล้วพูดต่อว่า “ข้าได้ยินมาว่าเจ้าชอบ อ๋องหลิง? เป็นค้างคกอยากกินเนื้อหงส์จริงๆ ก็ไม่ดู ตำแหน่งของตัวเองหน่อย ในเมื่อในใจของเจ้ามีอ๋องหลิง แต่กลับมาแต่งงานกับอ๋องโยว เกิดมาเป็นหญิงสาวทำไม ช่างหลายใจยิ่งนัก? เจ้าคนเดียวที่ทำให้ชื่อเสียงของ อ๋องหลิงแปดเปื้อนยังไม่พอ แล้วยังทำให้อ๋องโยวกลาย เป็นตัวตลกของทุกคนอีก ถ้าเกิดไม่ใช่ว่าข้ามีเรื่องยุ่ง วัน ที่เจ้าแต่งงานแล้วเข้ามาอยู่ในตำหนักอ๋องโยว ข้าคงจะ จัดการเจ้าไปแล้ว จะได้ไม่สามารถมาทำร้ายอ๋องโยวอีก”
“ในเมื่อเจ้าแต่งงานเข้ามาแล้วก็ช่างเถิด แต่จงจำไว้ ตลอดว่าเจ้าเป็นคนของตำหนักอ๋องโยว ถ้าเกิดให้ข้ารู้ เรื่องว่าเจ้าไปมีอะไรกับอ๋องหลิงอีก ข้าจะเป็นคนฉีกเจ้า ด้วยมือของข้าเอง! ”
ฉีหยั่นโม่พูดจนไม่รู้จักจบ นั่งเก๋ก็ไม่หยุดฝึกท่าเพลงยุทธ นางมองเขาแว๊บเดียวอย่างช้าๆ แล้วยิ้มเหมือนไม่มี อะไรเกิดขึ้น แล้วพูดด้วยเสียงที่เบาว่า “ดวงของเจ้าไม่ เลว”
“อะไรนะ? ” ฉีหยั่นโม่ไม่เข้าใจ
วิ่งเก๋ขยับมุมปาก แล้วรวบรวมพลังภายในไว้บนฝ่ามือ จากนั้นก็ปล่อยออกไป ทันใดนั้น ต้นไม้ที่อยู่ตรงหน้านาง ที่คล้ายกับชายหนุ่มที่มีรูปร่างสูงใหญ่ถูกเจาะเป็นรู มือ ของวังเย่ต่อยต้นไม้จนโค่น แล้วสามารถมองเห็นหมอก ควันอันน้อยนิดที่ลอยอยู่บนอากาศได้
“ถ้าเป็นเมื่อก่อน สภาพของเจ้าก็เป็นเหมือนต้นไม้นี้” วั่งเย่เก็บมือกลับไปไว้ที่เดิม แล้วพูดด้วยเสียงที่เฉยชาว่า
“ซือ
ฉีหยั่นโม่สูดหายใจ แล้วมองหญิงสาวผอมเล็กที่อยู่ตรง หน้าด้วยความตื่นตกใจ เขาจําได้ว่าหรงวิ่งเก๋ไม่เป็นศิลปะ การต่อสู้ไม่ใช่? ท่าที่ใช้มือต่อยต้นไม้นี่ฝึกมาจากไหน กัน?
“พี่……พี่สะใภ้ อย่าโกรธเลย! ” ฉีหยั่นโม่รีบกอดท้อง ของตัวเองไว้ กลัวว่าจะถูกต่อยท้องจนทะลุ
วั่งเย่หันหลังมองเขา แล้วยิ้มด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยน “วางใจเถิด อาชีพฆ่าคนข้าเลิกไปแล้ว”
“ฮ~ งั้นก็ดี” ฉีหยั่นโม่ตบหน้าอกตัวเอง
“แต่ถ้าเกิดว่าข้าอารมณ์ไม่ดีละก็ ข้าก็จะไม่สามารถ ควบคุมมือของข้าได้ ถ้าเกิดควบคุมไม่ได้ก็จะชอบฆ่าคน” พูดจบวิ่งเย่ยิ้มจนตาเล็ก แล้วพูดอย่างช้าๆว่า “ดังนั้น ทาง ที่ดีเจ้าควรจะปิดปากของเจ้าซะ”
ข้าปิด! ข้าปิดแล้วยังไม่ได้เหรอ!
“ท่านยังมีคำแนะนำอะไรไหม?” นั่งเย่ยิ้มแล้วกล่าว
ฉีหยั่นโม่ส่ายหัว แล้วไม่กล้าพูดอะไร
“ไม่มีอะไรแล้ว? งั้นก็ไสหัวไปสิ”
ฉีหยั่นโม่อึดอัดจนเบะปาก พี่สะใภ้คนนี้ดุจัง อ๋องโยว แต่งงานกับหญิงสาวเช่นนี้คงต้องถูกรังแกตายแน่เลย? น่าสงสารจริงๆ
“ข้า ข้าก็แค่มาหาพี่จูนเจ๋ว” ฉีหยั่นโม่พูดอย่างระมัดระวัง
วั่งเย่เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ยักคิ้ว กำลังจะพูด หลิงเอ๋อก็วิ่ง มาอย่างกะทันหัน สีหน้าที่อยู่บนใบหน้ามีความวิตกกังวล มาก
“พระชายา! ท่านอ๋องไม่รู้ว่าหายไปไหนตั้งแต่เช้า พวก ข้าหาทั้งตำหนักอ๋องก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของเขา น่าเป็นห่วง จริงๆ” หลิงเอ๋อพูดด้วยความกังวล
“ในเมื่อในตำหนักหาไม่เจอ งั้นน่าจะอยู่บนถนนใหญ่”
วิ่งเย้กล่าว
หลิงเอ๋อเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ยิ่งกังวลเข้าไปอีก “ถ้าเป็น เช่นนั้นก็ไม่ดีเลย คนในหลินฉี่ไม่มีใครชอบท่านอ๋องของ พวกข้าเลย ตอนที่ท่านอ๋องยังไม่โง่ คนพวกนั้นก็ไม่กล้า ทำอะไร แต่ตอนนี้ไม่เหมือนแต่ก่อน ถ้าท่านอ๋องออกไปที่ ถนนใหญ่จริงๆ น่าจะเกิดเรื่องแน่”
วั่งเย่ขมวดคิ้ว แสดงออกถึงว่าเขาช่างสร้างปัญหาจริงๆ แต่เมื่อคิดถึงสถานการณ์ในตอนนี้ ถ้าเกิดอยู่บนถนน ใหญ่จริงๆ น่าจะเกิดเรื่องแน่ ถ้าจูนเจ๋วเป็นอะไรขึ้นมา นางก็จะมีปัญหาเช่นกัน
“ข้าจะออกไปหาดู”
เมื่อพูดจบวิ่งเย่ก็เดินออกจากตำหนักอ๋องโยวไป ฉีห ยั่นโม่ยืนตกใจอยู่ที่เดิมสักพัก แล้วรีบเดินตามไป “รอข้า ด้วย! ข้าจะไปกับเจ้าด้วย!
วิ่งเก๋มองดูถนนที่มีแต่ความวุ่นวายดีๆ ต่างแต่นางข้าม ภพมายังไม่เคยได้ดู ถนนที่เก่าแก่และโบราณแบบนี้ดีๆ เลย แต่เมื่อลองมองดูมันช่างงดงามจริงๆ
นางมองไปรอบๆอย่างช้าๆ จูนเจ๋วถึงจะเป็นคนโง่ แต่ก็ ฉลาดกว่าคนโง่ทั่วไป น่าจะไปไหนได้ไม่ไกล ไม่นานนั่งเย็ ก็เห็นข้างหน้าไม่ไกลนักมีคนจํานวนมาก เหมือนพวกเขา กำลังมองดูอะไรกันอยู่ ทันใดนั้นวิ่งเย่ก็รีบเดินเข้าไป
ภายในร้านเหล้า จูนเจ๋วนั่งอยู่ตรงมุม รอบๆมีคนล้อม รอบเป็นจำนวนมาก มีชายคนหนึ่งใส่ชุดหรูหรายืนอยู่ตรง หน้าเขา ในมือถือดาบที่มีมูลค่าไม่น้อย เห็นเขาหัวเราะ อย่างโอ้อวด แล้วยกเท้าเหยียบบนเก้าอี้
“ข้าก็นึกว่าเป็นลูกชายบ้านใคร นี่คือท่านอ๋องโยวของ พวกข้าไม่ใช่! ได้ข่าวว่าเจ้าได้แต่งงานเมื่อหลายวันก่อน แล้วคนที่เจ้าแต่งงานด้วย ก็เป็นลูกสาวคนโง่ของตระกูลห รง นามว่าหรงวิ่งเก๋ เจ้าทำไมไม่อยู่ในตำหนัก แล้วมีความ สุขกับเรือนหอของเจ้า มีเวลาว่างมากเลยออกมางั้นเห รอ?” ชายที่ใส่ชุดหรูหราหัวเราะแล้วกล่าว
“เจ้าหลี่ เจ้าลืมไปแล้วเหรอ ท่านอ๋องโยวของพวกข้าเป็น คนโง่ จะรู้เรื่องความสุขของเรือนหอได้อย่างไร แล้วหรง วั่งเย่ที่ผอมเหลืองนั้นอีก เป็นคนที่ได้ขึ้นชื่อว่าอัปลักษณ์ มองหน้านั้นทุกวัน คงจะตกใจตาย ” คนข้างๆกล่าว
“ฮ่าฮ่าฮ่า ที่พูดมาก็ถูก อ๋องโง่คู่กับคนอัปลักษณ์ ช่าง เหมาะกันจริงๆ ท่านอ๋องโยวเป็นคนที่โชคดีจริงๆ
จูนเจ๋วเหลือบมองพวกเขาอย่างช้าๆ แล้วพูดว่า “ถ้าเจ้า อยากมีโชค เดียวข้าจะบอกฮ่องเต้ให้เองว่า ให้มอบคน อัปลักษณ์ให้เจ้าเหมือนกัน”
เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ