สามีข้า ข้าปกป้องเอง

บทที่ 12 ข่าวลือ



บทที่ 12 ข่าวลือ

บทที่ 12 ข่าวลือ

“พระชายา ท่านไม่จำเป็นต้องดูถูกหลี่อี้ขนาดนี้ ที่จริง ตามกำลังของอ๋องโยวตอนนี้ ล่วงเกินตระกูลใหญ่ไม่ใช่ ทางเลือกที่ฉลาดนัก”

ในห้อง หวงเย่าปรากฏตัวขึ้นมาข้างกายทันใด เรื่อง วุ่นวายที่เกิดขึ้นในจวนเมื่อครู่เขาแอบดูอยู่ในที่ลับ ใน ใจทั้งโมโหทั้งร้อนใจ แม้ว่ามีพระชายาให้การช่วยเหลือ ตำหนักอ๋องโยวเป็นเรื่องที่ดี แต่ยังไงนางก็ยังเยาว์วัยอยู่ นัก ทนกับเรื่องแบบนี้ไม่ได้ หากคราวนี้ล่วงเกินทำให้ตระ กูลหลี่โกรธแค้นขึ้นมา อ๋องยังไม่หายดี กองทัพหวงเย่วก็ ไม่สามารถปรากฏต่อหน้าผู้คนได้ หากตระกูลหลี่จงใจที่ จะบีบเราลําบากอีก ตำหนักอ๋องโยวจะรับมือได้อย่างไร กัน

วั่งเย่นั่งอยู่ด้านหน้าหน้าต่าง ในมือปอกเปลือกส้มอยู่ เห็นหวงเย่าพูดจบแล้วจึงเงยหน้าขึ้นมามองเขา แล้ว พูดว่า “ข้าไม่รู้ว่าอ๋องโยวของพวกเจ้าเมื่อก่อนมีความ สามารถมากขนาดนี้ แต่วันนี้เขากลายเป็นคนที่ไม่มีอะไร ไปแล้ว เรื่องเล็กใหญ่ในจวนก็ต้องเป็นคนรับใช้และพวก เจ้าที่เป็นองครักษ์รับผิดชอบ หากจูนเจ๋วไม่รู้สึกตัวตื่น ตลอดไป พวกเจ้าก็ต้องทนรับใช้คนอื่นชั่วชีวิตหรือ
“ก็เพราะอ๋องไม่รู้สึกตัวสักที พวกเราจึงจำเป็นจะต้อง จัดการอย่างละมุนละม่อม” หวงเย่าพูดด้วยความร้อนใจ

“จัดการอย่างละมุนละม่อม หลังจากนั้นล่ะ ต้องทนถูก คนดูถูกใส่ร้ายทั้งชีวิตหรือ? ข้าดูออกว่าคนในจวนล้วน จงรักภักดีต่อจูนเจ๋ว ตอนที่เขายังไม่รู้สึกตัวก็ควรเป็น พวกเจ้าที่ปกป้องเขา ล่วงเกินตระกูลใหญ่แล้วเป็นเช่นไร หรือ หากถูกคนกลั่นแกล้ง มาหนึ่งคนก็ฆ่าหนึ่งคน มาก องทัพหนึ่งก็ฆ่าทั้งกองทัพ เมื่อเจอปัญหาอะไรก็อย่าคิดที่ จะทำตัวเองให้แข็งแกร่ง แต่ต้องเก็บหัวเก็บหางให้ดี อ๋อง ของพวกเจ้าก็อบรมพวกเจ้าเช่นนี้ในทุกวันมิใช่หรือ

เสียงของวังเย่เย็นชาขึ้นมาโดยทันใด หวงเย่าได้บินแล้ว อึ้งไปชั่วครู่ มองคนที่อยู่ตรงหน้าอย่างใจจดใจจ่อ กลับ ถูกดวงตาเย็นชาแน่วแน่คู่นั้นเหลือบมามอง จนไม่รู้ว่าจะ ตอบโต้อย่างไรในชั่วขณะ

นั่งเก๋พูดต่อไปว่า “เข้าใจถึงการรักษาเอาตัวรอดเป็น เรื่องที่ไม่ได้เลวร้าย แต่การรักษาเอาตัวรอดกับเรื่องขึ้ ขลาดมันเป็นคนละเรื่องกัน เจ้าช่วยดูคนใต้บังคับบัญชา ในจวน ไม่ว่าจะเป็นเจ้านายหรือลูกน้องแม้แต่ประตูจวน ก็ไม่กล้ารักษา เจ้าว่านี่เรียกว่าการรักษาเอาตัวรอดไหม? ความกล้าหาญของตำหนักอ๋องโยวก็ให้สุนัขกินไปเลยไม่ ดีกว่าหรือ”

หวงเย่าเคาะหัว ตั้งแต่อ๋องไม่รู้สึกตัวตื่นขึ้นมา หลังจากนั้นเขาก็ปกป้องดูแลแบบเงียบๆ อย่างระมัดระวัง อยู่ตลอด อาจเพราะว่าระวังจนเกินไป เขาก็เลยลืม อุดมการณ์เดิมของตำหนักอ๋องโยว ยังดีที่เป็นองครักษ์ ติดตามตัวอ๋องมาสิบกว่าปี มุมมองในการมองเรื่องต่างๆ ยังเทียบไม่ได้กับหญิงสาวคนหนึ่ง เพียงแค่เขินอายจนไม่ กล้าเงยหน้า

“คำพูดเมื่อครู่เพียงแค่พูดให้ผู้ใต้บังคับบัญชาฟัง และก็ พูดให้คนนอกฟังเช่นกัน ชื่อเสียงของตำหนักอ๋องโยวไม่ ได้จะทำให้คนนอกหวาดกลัว รวมไปถึงทุกคนที่กล้าบุก เข้ามาด่าว่าในจวนแห่งนี้โดยตรง เพียงแค่สร้างกฎเกณฑ์ ให้คนได้รู้ความร้ายกาจของตำหนักอ๋องโยว ถึงจะทำให้ ความหวาดกลัวในใจของพวกเขาไม่กล้าที่จะขึ้นๆ ลงๆ ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นห่วงจูนเจ๋ว แต่ข้ารับปากเจ้าแล้ว แค่ข้ามี ชีวิตอยู่ก็จะต้องปกป้องเขาแน่นอน ก่อนถึงจุดนั้น ใคร ก็ตามล้วนอย่าคิดที่จะแตะต้องตำหนักอ๋องโยว

เสียงที่เย็นชาราวกับน้ำแข็งในฤดูหนาวของวิ่งเก๋ ใจ ของหวงเย่าสั่นไปมา เขาเหลือบตาขึ้น สายตาที่นิ่งสงบ อยู่เป็นเวลานานในที่สุดก็มีแสงประหลาดเปล่งประกาย ออกมา เห็นแค่เขาคุกเข่าอยู่บนพื้นดังตุบ กำปั้นขวาทุบ ไปที่หัวใจ “ข้าน้อยขอฟังคำสั่งของพระชายาจนชีวิตนี้จะ หาไม่”

วั่งเก๋มองเขาอยู่ชั่วครู่แล้วไม่พูดอีก ตอนนั้นจูนเจ๋ววิ่งเข้า มาพอดี เขาโผเข้ามาที่ข้างกายวิ่งเก๋ มีเหงื่อเม็ดเล็กๆ ไหล เต็มไปหมด แขนเสื้อเต็มไปด้วยดินโคลนแล้วสกปรกยิ่งนัก

“ข้าเด็ดมาให้ท่าน สวยไหม” จูนเจ๋านำดอกไม้ป่าที่เด็ด มาอยู่ในมือมอบให้ต่อหน้าวิ่งเก๋ ยิ้มจนตาหยีไปหมดทั้งคู่

วั่งเย่มองไปที่เขา ที่บอกว่าเป็นดอกไม้ป่า แม้แต่รากก็ ดึงขึ้นมาด้วย ทำให้มีดินโคลนสกปรกมากมายติดมาด้วย มองดูว่ากลับเหมือนต้นหญ้าป่ามากกว่า วังเย่ยกมุมปาก ขึ้น เอาส้มที่ปอกเปลือกเรียบร้อยแล้วยัดใส่ปากของเขา

“ให้หลิงเอ๋อไปจัดวางใส่แจกันหยกเถอะ” นั่งเก๋พูด

จูนเจ๋วพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม มองดูหวงเย่าที่อยู่ข้างกาย ถามขึ้นอีกกว่า “เมื่อครู่ข้าได้ยินเสียงดังมาจากด้านหน้า เกิดอะไรขึ้นหรือ”

“ไม่มีอะไรนี่ มีหมาตัวหนึ่งหลุดมาจะกัดคน ตอนนี้ไล่มัน ไปแล้ว”

“งั้นก็ดี เมียข้าเก่งที่สุดอยู่แล้ว แค่มีเมียข้าอยู่ ข้าไม่กลัว อะไรทั้งนั้นแหละ”

วั่งเย่ได้ฟังก็อึ้งไปชั่วครู่ มองดูสายตาของเขาที่เต็มไป ด้วยความหมายลึกซึ้งที่ซ่อนอยู่มากมาย
ผ่านไปอีกสองสามวัน ในจวนกลับเข้าสู่ความสงบที่ หาได้ยากนักมาระยะเวลาหนึ่ง วิ่งเย่ฝึกเพลงดาบอยู่ใน สวน ตอนที่เดินผ่านสวนด้านหน้า กลับพบว่าบ่าวรับใช้ หลายคนมุงกันอยู่ที่หน้าประตูจวนไม่รู้ว่าทำอะไรกัน อีก ทั้งประตูบานใหญ่ของจวนอ๋องก็ถูกปิดตายสนิทอีก นั่งเย่ เลิกคิ้วไปมา เดินขึ้นมาด้านหน้า

“เจ้ากำลังทำอะไร

วั่งเย่ออกเสียงขึ้นทันใด ทำให้บ่าวไพร่ตกใจกลัวกัน หมด ผู้คนรีบหันตัวกลับมา ก้มหน้าลง มองดูพระชายา ด้วยความระมัดระวัง พูดว่า “เรียนพระชายา หลายวัน นี้ข้างนอกจวนอ๋องมักจะมีคนจ้องมองเข้ามาที่พวกเรา ตลอด ข้าน้อยรู้สึกว่ารบกวนสายตา จึงปิดประตูจวน”

วิ่งเก๋ได้ฟังก็ค่อยๆ ขมวดคิ้วขึ้น “ผู้ใดกันที่จ้องมอง กําหนักอ๋องโยวตลอดเวลา”

“ก็คงจะเป็นพวกคนทั่วไป หลายวันก่อนท่านเอานาย ท่านหลี่มัดแล้วโยนกลับไปที่จวนตระกูลหลี่ ตลอดระยะ ทางถูกคนไม่น้อยให้ความสนใจ ข้างนอกก็คงจะมีคนเอา ไปพูดกัน ดังนั้นมักจะมีคนมาสอดส่องสอบถามพวกเราที่ นี่” พวกบ่าวรับใช้ตอบอย่างซื่อสัตย์จริงใจ
“อ่อ ข้างนอกพูดกันยังไงหรือ” วิ่งเย่เกิดความสนใจขึ้น

มา

พวกบ่าวไพร่หัวหดลงมองหน้ากันเลิ่กลั่กไปมา ไม่มีใคร เปิดปากพูดในทันที นั่งเย่เห็นสภาพแล้วจึงกะพริบตา พูด ด้วยรอยยิ้มว่า “ดูพวกเจ้าไม่มีใครพูด หรือว่าลิ้นของพวก เจ้าหายไปแล้ว ไม่เช่นนั้นก็ดึงออกมาให้สุนัขกินเถอะ”

“พระชายาให้อภัยด้วยเถิด ข้างนอก…….ข้างนอกพูดกัน ว่าพระชายาจองหองหยาบคาย เอาตำแหน่งพระชายา รังแกนายท่านตระกูลใหญ่ต่อหน้าสาธารณะ เป็นผู้ที่คิด ว่าตนเองอยู่เหนือคนอื่นอย่างเหลือเชื่อ” พวกบ่าวไพร่พูด ไปด้วยความสั่น

วั่งเย่ได้ฟังก็ค่อยๆ เลิกคิ้วขึ้น ปรายตาแผงไว้ด้วยความ ล้อเล่น นางกวาดสายตามองไปที่บ่าวไพร่รอบๆ เดินก้าว ใหญ่ๆ ขึ้นมาด้านหน้าเปิดประตูจวนอ๋องออก ข้างนอกมี ผู้คนที่อึกทึกครึกโครมไม่น้อยที่จ้องมองมาด้านนี้จริงๆ

วั่งเย่หัวเราะอย่างเบาๆ พูดด้วยความหนักแน่นเต็มปอด ว่า “วันนี้ข้าพระชายาอารมณ์ดี อยากจะกินอะไรอร่อยๆ สักหน่อย”

ผู้คนได้ฟังต่างพากันอึ้งไปชั่วขณะ พวกบ่าวไพร่ถามขึ้นด้วยความระมัดระวัง “พระชายาอยากกินอะไรเพคะ”

“ข้าเห็นว่าที่นี่มีดวงตาหลายคู่มากมาย วางไว้ตรงนี้ก็น่า เสียดายแย่ สู้เอามาตุ๋นกินไม่ดีกว่าหรือ ทหาร ควักดวงตา ของคนพวกนี้มาให้ข้าให้หมด”

วั่งเย่พูดด้วยเสียงที่เย็นชา ผู้คนต่างพากันอึ้งไปชั่วครู่ ก่อน หลังจากนั้นก็ตกใจ ไม่พูดอะไรรีบดึงขาแล้ววิ่งไป เลย เพียงชั่วพริบตาเดียวผู้คนที่มุงกันอยู่ด้านนอกก็หาย วับไปราวกับโดนพายุซัดกระหน่ำอย่างนั้น นั่งเก๋กระแอม ออกมาอย่างเหยียดหยาม หันมามองดูพวกบ่าวไพร่ที่เต็ม ไปด้วยสีหน้าตกใจ แล้วพูดว่า “อยากไล่คน นี่ไม่ใช่ว่าทำ สำเร็จแล้วหรือ”

“เยี่ยม ท่านช่างฝีมือเยี่ยมยอดจริงๆ

วั่งเย่ปัดมือไปมา ภายใต้แววตาที่เคารพเลื่อมใสของ พวกบ่าวไพร่กลับเข้าไปในจวน นางบิดคอไปมา เดิมทีคิด จะกลับไปเย้าแหย่เด็กบ้าคนนั้นสักหน่อย แต่ทันใดนั้น กลับมีเสียงที่ไม่เป็นมิตรดังจากด้านหลัง

“นานแล้วไม่ได้พบกัน นั่งเก๋เปลี่ยนไปมากเลยนะ”

วั่งเย่ได้ยินแล้วอึ้งไปครู่หนึ่ง หันกลับไปดู พบว่าอ๋องหลิ งกำลังยืนยิ้มกับตนเองอยู่ที่นอกจวน วิ่งเยือดไม่ได้ที่จะเลิกคิ้วขึ้น แล้วพูดว่า “ลมอะไรพัดอ่องหลิงมาที่นี่ได้” “หลายวันนี้ข้างนอกลือกันให้ทั่ว ข้าไม่ค่อยวางใจก็เลย

มาดูสักหน่อย”

ชุดคลุมสีม่วงทั้งตัวของอ๋องหลิงดูเหมือนว่าจะสูงค่ามาก พัดกระดาษหนึ่งเล่มจับอยู่ในมือ ที่ช่วงเอวมีหยกสีเลือด ชั้นดีหนึ่งชิ้นห้อยอยู่ โหงวเฮ้งที่คมชัดราวกับเดินออก มาจากภาพวาด วิ่งเก๋มองฝ่ายตรงข้ามอย่างสนใจด้วย ท่าทางที่สง่าผ่าเผย ยกมุมปากโค้งสวยงามขึ้น


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ