สามีข้า ข้าปกป้องเอง

บทที่ 13 วาทศิลป์



บทที่ 13 วาทศิลป์

บทที่ 13 วาทศิลป์

ข่าวลือที่ข้างนอกพูดกัน ข้าไม่เอามาใส่ใจหรอก

คงไม่ต้องรบกวนให้อ๋องหลิงเป็นห่วง” วิ่งเย่พูดไปหนึ่ง ประโยคอย่างเรียบเฉย นางไม่เชื่อเลยว่าอ๋องหลิงผู้นี้จะ มีจิตใจมาเป็นห่วงนาง ต้องเป็นเพราะว่าสืบหาเจออะไร แล้วมาสืบหาข้อมูลอะไรบางอย่างจากนางเป็นแน่ อ๋อง หลิงเห็นท่าทางของฝ่ายตรงข้ามที่ยังไม่หยุดแปลกใจ ด้วยใบหน้าที่เรียบเฉย หวนคิดถึงเมื่อก่อนที่คนผู้นี้ไล่ ตามตนเองมาโดยตลอด ซึ่งแตกต่างจากบัดนี้ที่ดูท่าที เรียบเฉย ในใจอดไม่ได้ที่จะเคว้งคว้างว่างเปล่า

“นั่งเย่ ข้ารู้ดีว่าเจ้าแต่งงานแล้ว ก็ได้แต่ตัดใจจากเรื่องที่ เคยผ่านมาให้ขาด แต่พวกเรายังไงก็เคยรู้จักกันมา แม้ว่า จะไม่สามารถ….ป็นเพื่อนกันไม่ได้หรือ” สีหน้าของ อ๋องหลิงอ่อนลง โดยธรรมชาติเขาก็ดูดีอยู่แล้ว ท่าทาง ที่สุภาพเมตตาของเขาในทุกๆ วันก็ดึงดูดสติของหญิง สาวไม่น้อยเลยทีเดียว บัดนี้สีหน้าอ่อนแอ ยิ่งทำให้คนที่ พบเห็นรู้สึกอดใจไม่ได้ที่จะสงสารเห็นใจ

วั่งเย่ตวัดตาไปที่เขาทันที ในใจไม่หยุดที่จะยิ้มเย็นชา นางขี้เกียจที่จะไปพูดอธิบายถึงความดีงามของคนอื่น แค่ นางรังเกียจคนที่โกหกหลอกลวงความรู้สึกของคนอื่นมา ตลอดอยู่แล้ว
อ๋องหลิงผู้นี้รู้ว่าร่างกายนี้เมื่อก่อนดื่มฉ่ำอยู่กับเขา บัดนี้ เพื่อให้บรรลุถึงเป้าหมายจึงต้องมาหว่านเสน่ห์ต่อ รอให้ ได้สิ่งที่เขาอยากได้ หลังจากนั้นก็ไม่รู้ว่าจะโยนทิ้งไป ที่ไหนอีก ปากก็พูดว่าอยากจะเป็นเพื่อน แต่ไม่เคยคิดที่ จะใช้ร่างกายนี้ใกล้ชิดด้วยเลย

“คนอย่างข้าไปไหนมาไหนตามลำพังจนชินแล้ว ไม่ชอบ ที่จะมีเพื่อน หากฝ่าบาทยังมีธุระอะไรอีกก็รีบพูดมาเร็วๆ หากไม่มีธุระ ข้าก็ไม่ขอส่งฝ่าบาทแล้วละกัน” นั่งเก๋พูด อย่างเย็นชา

อ๋องหลิงได้ยินแล้วสีหน้าขรึมขึ้นมา เขาเป็นองค์ชายที่ ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันรักเอ็นดูมากที่สุด เสด็จแม่ก็เป็นที่รัก ใครอีกด้วย ที่ประเทศหลิงฉี่ใครไม่มองเขาสูงบ้าง หญิง แพศยาผู้นี้กลับกล้าใช้วาจาเช่นนี้พูดกับเขา

“ได้ยินมาว่าหลายวันก่อนนางจัดการดูถูกเหยียดหยาม นายท่านหลี่ แม้ว่านายท่านหลี่จะวรยุทธ์ไม่สูง แต่ก็เป็น วิชาเอาไว้ป้องกันตัวเองเล็กน้อย อีกทั้งวันนั้นยังพาทหาร ในจวนมาอีกตั้งมากมาย ข้าจำได้ว่าเจ้าไม่เป็นวรยุทธ์ เจ้า จัดการได้อย่างไรกัน หรือมีใครแอบช่วยเจ้าอยู่

วั่งเย่หลับตาทั้งคู่ลง ในดวงตาแฝงไว้ด้วยแสงลึกลับ ปรากฏขึ้น คิดว่าในวังหลวงต้องสงสัยว่ากองทัพหวงเย่ วอยู่ที่ตำหนักอ๋องโยวเป็นแน่ ดังนั้นจึงให้อ๋องหลิงมาสืบดู ล่วงหน้าก่อน
“ฝ่าบาทนี่กำลังพูดอะไรกัน สถานการณ์ในวันนั้นเป็น อย่างไร ทหารจานตระกูลหลี่ไม่ใช่ว่าเห็นกับตาทุกคน แล้วหรือ หากฝ่าบาทมีข้อสงสัยอันใดไปถามพวกเขาไม่ดี กว่าหรือ ไม่จําเป็นต้องมาถึงตำหนักอ๋องโยวที่ไกลขนาด นี้” นั่งเก๋พูดด้วยรอยยิ้ม

“บางคำพูดข้าอยากฟังจากปากเจ้าด้วยตัวเอง เจ้าน่า จะชัดเจนอยู่แล้ว ตระกูลหลี่ที่ประเทศหลิงฉี่ไม่ได้อยู่ใน ตำแหน่งที่ต่ำ แม้ว่าเจ้าจะเป็นพระชายาอ๋องโยวก็ไม่ควร ที่จะดูถูกเหยียดหยามเขา บัดนี้ตำหนักอ๋องโยวเป็นศัตรู กับตระกูลหลี่ หากเจ้ายอมที่จะเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ ข้าฟัง ข้าก็จะสามารถปกป้องเจ้าได้ หากเจ้าปิดบังความ จริงทั้งหมด เรื่องยุ่งๆ ต่อจากนี้จะมีไม่น้อยเลยทีเดียว”

อ๋องหลิงพูดอย่างจริงจังมาก ก่อนที่เขาจะมาที่นี่ได้ ไต่ถามจากคนของตระกูลหลี่เรียบร้อยแล้ว จากปากของ พวกเขาฟังไม่ได้ความถึงอะไรที่มีประโยชน์เลยสักนิด แต่เขาไม่เชื่อว่าหรงวิ่งเย่ตัวเล็กๆ จะสามารถจัดการกับ นายท่านหลี่จนได้รับบาดเจ็บหนักขนาดนั้นต่อหน้าทหาร ทั้งมวล ต้องเป็นกองทัพหวงเย่วที่คอยช่วยนางอยู่เบื้อง หลังแน่นอน ดังนั้นเขาก็เลยต้องมาไต่ถามด้วยตนเอง ตามความหลงใหลที่หรงวิ่งเก๋มีต่อเขา อยากจะหลอกถาม ถึงร่องรอยของกองทัพหวงเย่วมันก็ช่างเป็นเรื่องง่ายยิ่ง กว่าพลิกฝ่ามือเสียอีก

แต่เขากลับคิดไม่ถึงเลย วิ่งเก๋ตอนนี้ไม่ใช่คนที่โง่เขลาวิ่งไล่ตามเหมือนเมื่อก่อนแล้ว อีกทั้งกองทัพหวงเย่วก็ไม่ ได้ยื่นมือมาช่วยเลย วิ่งเย่ค่อยๆ ตวัดสายตาไปที่เขาชั่ว ครู ปรายตาปรากฏความมีเลศนัยขึ้นมาอย่างเย็นชา

“แม้ว่าฝ่าบาทจะพูดถึงขนาดนี้แล้ว หากข้าจะไม่พูด อะไรก็คงจะไม่ได้แล้ว ฝ่าบาทก็รู้ดีว่านายท่านหลี่นำพา ทหารในจวนมากมายบุกเข้ามาที่ตำหนักอ๋องโยว ตระกูล หลี่ของเขาแม้ว่าอานาจจะมากล้น แต่ก็เป็นได้แค่นาย ท่านตระกูลใหญ่ จูนเจ๋วก็นับไม่ได้ว่าแซ่ฉี แต่บนร่างกาย ของเขามีเลือดของฮ่องเต้ไหลอยู่ในตัว นายท่านตระกูล ใหญ่คนหนึ่งกล้าพาทหารบุกเข้ามาที่ตำหนักอ๋องโยว นี่ มันเป็นโทษที่หนักหนาเลยทีเดียว ยังพูดอีกว่าจะตีข้าให้ ตาย นี่มันเป็นคำพูดที่โหดร้ายไม่มีมารยาทเลย ข้าดูแล้ว ขัดตาก็เลยออกแรงสั่งสอนเขา มีปัญหาอะไรไหม

“หรงวิ่งเย่ ยังไงเขาก็เป็นนายท่านของตระกูลหลี่ อีกทั้ง จูนเจ๋วก็เอ๋อไปแล้ว ตำหนักอ๋องโยวเหลือเพียงบ่าวไพร่ ไม่กี่คน หากอาศัยแค่พวกเจ้าจะทำให้นายท่านหลี่ได้รับ บาดเจ็บขนาดนี้ได้อย่างไรกัน ต้องมีใครอยู่เบื้องหลังเจ้า เป็นแน่”

“มีหรือไม่มีคนคอยช่วยข้า มันเกี่ยวกับเจ้าตรงไหนหรือ”
อ๋องหลิงจ้องมองวิ่งเย่อย่างร้ายๆ คนผู้นี้ถึงจะตีให้ตายก็ ต้องไม่ยอมพูดถึงข่าวคราวของกองทัพหวงเย่วเป็นแน่

ดวงตาของวิ่งเย่เย็นชา บนใบหน้าปรากฏร่องรอยสีหน้า ของความไม่อดทนอีกต่อไปออกมา พูดขึ้นว่า “ฝ่าบาท ความสัมพันธ์ระหว่างท่านกับข้า พวกเราล้วนรู้ดี ก็ไม่ จำเป็นจะต้องมาพูดอ้อมไปอ้อมมาตรงนี้ให้เสียเวลาของ ข้าเลย ยิ่งไม่ต้องพูดคำพูดสวยหรูดูดีอะไรพวกนั้นที่ใช้ ในวัง นายท่านตระกูลหลี่ข้าเป็นคนทำร้ายเขาเอง เขาไม่ เคารพต่อตำหนักอ๋องโยวก็ควรจะมีจุดจบเช่นนี้ แม้ว่าเขา จะมาอีกกี่ร้อยครั้ง ข้าก็จะโยนเขาออกไปเช่นเดิม รับมือ กับพวกของที่ไร้ประโยชน์ ข้าไม้จําเป็นจะต้องหาผู้ช่วย ให้เสียเวลา หากท่านอ๋องไม่มีเรื่องอันใดแล้ว เชิญท่าน กลับไปเถิด ข้ารู้สึกอยากพักผ่อนแล้วล่ะ”

อ๋องหลิงได้ฟังดังนั้นสีหน้ายิ่งแย่มากขึ้นกว่าเดิม อีกทั้ง คำพูดของฝ่ายตรงข้ามยังพูดออกจากปากมาแล้วด้วย หากเขายังอยู่ต่อไปก็เท่ากับว่าไร้ยางอายแล้ว ได้เพียง แค่ใช้สายตาตวัดไปที่ฝ่ายตรงข้ามอย่างร้ายๆ พูดอย่าง เย็นชาว่า “อีกสองสามวันจะมีการท่องเที่ยวของคนในวัง บรรดาขุนนางทั้งหลายก็จะมากันพร้อมหน้า เจ้าก็อย่าลืม ซะล่ะ”

ดวงตาของนั่งเย่สั่นไหวเล็กน้อย นางจำได้ว่าช่วงฟดู ร้อนของทุกปีในวังจะมีการจัดงานครื้นเครง ผู้มียศถา บรรดาศักดิ์ทั้งหลายก็จะพากันเข้าวัง เมื่อก่อนหรงวิ่งเก๋ ไม่ได้รับการโปรดปรานก็เลยไม่เคยไปสักครั้ง ได้เพียงแค่เที่ยวเล่นอยู่นอกวังแอบมองดูอยู่ บัดนี้นางกลายเป็น พระชายาอ่องโยวก็คงจะไม่ไปไม่ได้แล้ว

“ข้าเข้าใจแล้ว ขอบคุณอ๋องหลิงมากที่เตือน อ๋องหลิงยัง มีธุระอื่นอีกหรือไม่”

ฟังคำพูดที่ราวกับว่าจะไล่คนอย่างเด่นชัดเช่นนี้ อ๋อง หลิงใช้แรงสะบัดแขนเสื้อชั่วครู่ แล้วพูดด้วยสีหน้าเรียบ เฉยว่า “ไม่มีแล้วล่ะ ข้าขอลา”

พูดจบ อ๋องหลิงหันหลังแล้วจากไปทันที วิ่งเย้มองตาม เงาของคนผู้นั้นจนลับตาแล้วหลับตาทั้งสองข้างลง ใต้ตา เต็มไปด้วยแสงหม่นๆ ที่สั่นไหวเย็นชาอยู่

เดือนเจ็ด เป็นช่วงเวลาที่ประเทศหลิงฉี่ร้อนกำลังดีที่สุด ช่วงเวลานี้เป็นเวลาที่ดอกไม้ต่างๆ เบ่งบานกันงามที่สุด ฮ่องเต้จึงกำหนดให้จัดงานครื้นเครงขึ้น ให้พวกขุนนาง ทั้งหลายเข้าวังพร้อมกัน เป็นวันที่ดีในการเที่ยวเล่นชม ดอกไม้ แต่ในความเป็นจริงนั้นเพื่ออะไรกัน ในใจของ พวกเขาแจ่มแจ้งเป็นที่สุด พวกคนที่มีอำนาจบารมีรวมตัว อยู่ด้วยกัน โดยธรรมชาติแล้วพวกเขาต้องหยิบฉวยเอา โอกาสนี้บรรลุถึงเป้าหมายของตนเองให้ได้แน่นอน
รุ่งเช้า รถม้าที่เข้าวังก็เตรียมพร้อมอย่างดี นั่งเย่และจู นเจ๋าอยู่ในชุดสีน้ำเงิน จูนเจ๋วยังง่วงอยู่ พิงอยู่ข้างรถม้า อย่างไม่ได้สติเท่าใดนัก เดิมทีแล้วเขาก็ไม่ชอบเรื่องที่ ยุ่งยากซับซ้อนมากพิธีอะไรแบบนี้อยู่แล้ว อีกทั้งคนพวก นั้นก็ไม่ได้อยากเห็นเขา วันนี้เข้าวังยังไม่รู้ว่าจะปั้นหน้า อย่างไร

“เมียข้า อีกประเดี๋ยวเจ้าต้องจำว่าต้องเดินอยู่ด้านหลัง ข้า วันนี้คนเข้าวังเยอะ แน่นอนว่าต้องมีพวกที่ปากมาก ข้า จะปกป้องเจ้าเอง” จูนเจ๋วเบิกตากว้างพูดอย่างแน่วแน่

หลิงเอ๋อที่อยู่ด้านข้างอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาแล้ว พูดว่า “ท่านอ๋อง ท่านน่าจะอยู่ข้างกายของพระชายา มากกว่านะ อย่าวิ่งไปส่งเดชให้ใครรังแกได้อีก พระชายา จะปกป้องท่านอย่างดีเอง”

“ข้าเป็นผู้ชาย ข้าไม่จำเป็นต้องให้ผู้หญิงมาปกป้อง อีก ทั้งนางเป็นเมียข้า ตามหลักแล้วข้าต้องปกป้องนาง หลิง เอ๋อเจ้าอย่าพูดมากเลย” จูนเจ๋วกิ่วปากพูด

หลิงเอ๋อหัวเราะอย่างไม่มีคำพูดใด มือข้างหนึ่งของวิ่งเก๋ เท้าคางอยู่ ผมที่กระจัดกระจายยาวอยู่บนไหล่ นางขยิบ ตาลงมองดูคนโง่ที่อยู่ตรงหน้า มุมปากแฝงไว้ด้วยรอยยิ้ม ที่ทั้งดีและร้าย พูดอย่างเบาๆ ว่า “ดี ข้าจะอยู่ข้างกายท่าน ท่านต้องปกป้องข้าให้ดีล่ะ”


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ