ซุปเปอร์เจ้าสําราญ

บทที่ 3 ออกจากภูเขา



บทที่ 3 ออกจากภูเขา
บ้านของ จาง โม่ อยู่เขต ชุมชนเจียงฉือ เป็นตึกอาคารสร้างเมื่อสิบปีที่แล้ว จึงเก่าแก่อย่างเห็นได้ชัด

ซึ่งหากเปรียบเทียบกับตระกูลจาง ที่สูงศักดิ์ของเมืองสิงห ยูนแล้วไม่ค่อยเหมาะสมสักเท่าไหร่

เมื่อกลับถึงบ้านพบว่า จางซิ่วเฟิง และ พ่อตา แม่ยายของ หลินกำลังนั่งบนโซฟาด้วยท่าทาง เคร่งเครียดอยู่

“เห่อ!” ลู่หย่าสุ่ย พูดประชดประชันขึ้นว่า “หลินนิ่ง นายยัง มีหน้ากลับบ้านหลังนี้อีกหรอ?

“เรื่องที่เกิดขึ้นในงานแต่งงานวันนี้พวกเรารู้กันหมดแล้ว หลินนิ่ง นายนี่มันตัวซวยจริงๆ! เรื่องดีๆถูกแกทำลายจนหมด ” ลู่หย่าฮุย ลุกขึ้นยืนพร้อมด่าทอ ! สิ้นแล้ว

“ช่างเถอะ แม่ ไม่ต้องพูดแล้ว เรื่องนี้อย่าโทษ หลินเลย อันที่จริงคุณลุงก็ไม่อยากช่วยพวกเราอยู่แล้ว เกลี้ยกล่อมขึ้น ” จางฉีโม่ พูด

เมื่อ ลู่ได้ยินแบบนี้ก็อารมณ์ขึ้นทันที เลยตะโกน ด้วยน้ำเสียงขุ่นเคืองว่า “ลูกสาวหน้าโง่ แกยังคิดช่วยพูด แทนมันอีกหรอ? มันทำลายชีวิตแกยังไม่พออีกหรอ? หากไม่ใช่มัน ตอนนี้แกจะตกอยู่ในสภาพจนตรอกแบบนี้หรอ? ทั้งที่แกควรแต่งงานกับคนตระกูลสูงส่ง

“แม่ ท่าไมแม่ชอบพึ่งพาคนอื่นด้วย? เราพึ่งพาตัวเองไม่ ได้หรอ?” จาง โม่ พูดขึ้น

“พึ่งพาตัวเองหรอ? เออ พูดได้ดี” ลู่หย่าฮุย ยิ้มประชา พร้อมจ้องมอง จางซิ่วเฟิง ด้วยสีหน้าไม่พอใจ “ลูกสาวยอม เหนื่อยยอมอับอายเพื่อคุณ แล้วคุณล่ะ? สามารถทำอะไรได้

บ้าง?”

จางซิ่วเฟิง ถอนหายใจยาวๆหนึ่งเชือก พร้อมเผยสีหน้า

กังวล

หลินยิ่ง คาดเดาสถานการณ์ที่บ้านตั้งนานแล้ว เขาเลย เดินเข้าไปในห้องครัวอย่างเงียบๆ

“กินข้าวกันเถอะครับ”

หลัง หลินนิ่ง ทำกับข้าว และจัดเตรียมอุปกรณ์กินข้าวเสร็จ ทุกคนก็เดินเข้ามานั่งที่โต๊ะอย่างนิ่งเงียบอยู่สักพัก

“หลินจิ่ง คำพูดของ จางหนึ่ง ในวันนี้ นายได้ยินแล้วใช่ ไหม…” ลู่หย่าฮุย จ้องมอง หลินนิ่ง ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

“แม่!” จางจีโม่ วางตะเกียบลง “หนูจะไม่หย่ากับ หลินยิ่ง เพราะถูกคนอื่นบีบบังคับหรอกค่ะ”
ทำไมหรอ? หรือว่าแกชอบมันไปแล้ว?” ลู่หย่าฮุย จ้อง มองลูกสาวอย่างไม่ละสายตา “สถานการณ์โรงงานของพ่อ แก แกไม่รู้เลยหรอ? พวกเราค้างเงินเดือนพนักงานที่เดือน แล้ว จนจะล้มละลายแล้ว แกยังไม่รู้อีกหรอ?”

“อีกอย่าง หลินอึ่ง ทำให้สามีของ จางหนึ่ง ไม่พอใจแบบ นี้ แถมยังทำร้าย จางเถียนให้อีก แกคิดว่าทุกอย่างจะ ง่ายดายขนาดนั้นหรอ?” ลู่หย่าสุ่ย พูดด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง ต่อว่า “พวกเขาคงต้องเล่นงานบ้านเราแน่ การหย่าเป็นทาง เลือกที่ดีที่สุดแล้ว อย่าอยู่กับคนไร้ประโยชน์อย่างมันอีก เลย!”

จาง โม่ กัดริมฝีปากเล็กน้อย โดยไม่พูดอะไร

เมื่อเห็นลูกสาวมีท่าทางแบบนี้ หย่าฮุย ก็อารมณ์ขึ้น และ พูดว่า “จางซิ่วเฟิง คุณนั่งนิ่งทำอะไรอยู่? ช่วยกันเกลี้ย กล่อมลูกสาวกันสิ!”

จางซิ่วเฟิง เผยสีหน้าจนปัญญา และนิ่งเงียบ

หลังจากที่ หลินยิ่ง กินข้าวจานเล็ก และเก็บตะเกียบเสร็จ ก็รีบเดินกลับห้องของตัวเอง

เขาเดินมานั่งบนเตียงด้วยท่านั่งสมาธิ

นี่เป็นอุปนิสัยที่เขาปฏิบัติมาตลอดสิบกว่าปี

ไม่ว่าเกิดอุปสรรคอะไรขึ้น หรือได้รับการกระทบกระเทือนจากจิตใจจากโลกภายนอกยังไง เขาก็ไม่รู้สึกหวั่นไหวกับสิ่งเหล่านั้น

นี่เป็นเทคนิคสงบสติอารมณ์ให้สภาพจิตใจนิ่งเหมือนดั่ง น้ำนิ่งที่อยู่ในถ้วย ขณะเดียวกันก็สลัดความขุ่นข้องหมองใจ ออกไปด้วย

สิบห้านาทีต่อมา

จู่ๆ หลินวิ่ง ก็ยื่นมือจับกรวดหินไข่ห่านสีดำก้อนหนึ่ง ที่อยู่ หัวเตียง จากนั้นวินาทีต่อมากรวดหินไข่ห่านก็สลายกลาย เป็นผงบนฝ่ามือของเขา…….

“สําเร็จกำลังภายในแล้ว” หลินถึง บ่นพึมพำขึ้น พร้อม เปล่งสายตาตื่นเต้นขึ้น

ท่านอาจารย์เคยกล่าวไว้ว่า ในวันที่ตัวเองสามารถสำเร็จ กำลังภายใน จะถือว่าเขาเป็นคนของผู้สืบทอดของแก๊งมังกร จริงๆ

ในตอนั้นจึงจะออกจากภูเขาได้ ได้พกป้ายหยกตามหาคน ของบ้าน ตระกุลนิ่งของจิง ยาโบราณ เงินทอง กำลังพล

จวน แก๊งมังกร มีศัตรูมากมาย ดังนั้นตัวเองไม่สามารถ เปิดเผยทุกอย่าง ไม่เช่นนั้นมีอันตรายถึงชีวิต!

กำลังภายในมั่นคงสำเร็จ ในที่สุดก็สามารถออกจาก ภูเขาได้แล้ว” ในมือของ หลินยิ่ง ถือป้ายหยกสีเขียวอยู่ ขณะเดียวกันก็เผยสายตามันมั่นขึ้น

วันต่อมา

หลินอิ่ง เพิ่งเดินออกจากเขต ชุมชนเจียงฉือ ก็ถูกรถยนต์ Bentley Motors Limited มาสกัดกั้น

“ต้องให้ฉันมาด้วยตัวเอง แกถึงจะยอมคุยเรื่องตระกูล

ใช่ไหม?”

จากนั้นก็มีชายกลางคนสวมชุดสูทสีน้ำเงินเข้มคนหนึ่งเดิน ลงมาจากรถยนต์ พร้อมกับจ้องมอง หลินนิ่ง ด้วยสีหน้า

จริงจัง

ชายหนุ่มวัยกลางคนนี้มีรูปร่างผอมสูง หน้าตาหล่อเหลา พร้อมเผยสายตาเคร่งขรึม ซึ่งดูภาพรวมแล้วน่าเกรงขาม

มาก

เขามีใบหน้าคล้ายคลึงกับ หลินนิ่ง อยู่พอสมควร

“เห้อ คิดไม่ถึงจริงๆว่า คุณจะมาหาผมด้วยตัวเอง” หลิน วิ่ง ปรากฏรอยยิ้มเย็นชาขึ้น

สิบกว่าปีผ่านมา เขายังคงจำผู้ชายเบื้องหน้าได้อยู่ เขาคือ เหอ พ่อแท้ๆของเขาเอง

“ฉันรู้ว่าแกไม่อยากเจอฉัน ก็ได้ แต่แกไม่คิดอยากเห็นหน้าคุณปู่ของแกเป็นครั้งสุดท้ายเลยหรอ?” ฉีเหอ ซักถาม

หลินนิ่ง นิ่งเงียบอยู่สักพัก ในบรรดาคนของตระกูล แล้ว มีเพียงคุณเพียงคนเดียวที่ดีต่อเขาในช่วงวัยเด็ก คุณมี สีหน้ามีเมตตามาก

เหอ พูดขึ้นว่า “หาสถานที่เงียบๆคุยกันไหม

ยี่สิบนาทีต่อมา โรงแรมชิงหยูน ชั้น 26

ภายในห้องประชุมอันกว้างใหญ่ มีเพียง เหอถูกับ หลิน ยิ่ง ที่นั่งต่อหน้ากัน

“คุณปู่ของแกป่วยหนักติดเตียงมาสองปีแล้ว ซึ่งอาการ นับวันยิ่งทรุดหนัก เขาใคร่ครวญอยากเจอแต่แก อยากตาม หาแกกลับมา” ฉีเหอ พูดต่อมา “คุณลุงใหญ่ และคุณลุง สามของแก มีเพียงลูกสาวสองคน และได้แต่งงานกันหมด แล้ว ซึ่งตอนนี้แกเป็นสายเลือดเพียงคนเดียวของคนรุ่นหลัง ของตระกูลฉี แล้ว ”

“เป็นสายเลือดเพียงคนเดียวของคนรุ่นหลังของตระกูล ……” หลินนิ่ง เผยรอยยิ้มประชดประชันออกมา แล้วยังไง ต่อ คุณเลยอยากให้ผมเป็นเครื่องมือแย่งชิงสมบัติของ ตระกูลหรอ?”
แกคิดง่ายดายเกินไปแล้ว” เหอ พูดต่อว่า “ธุรกิจของ ตระกูลฉีของเมืองจิง เราใหญ่โตมโหฬารมาก แถมยังมี สาขาอีกนับไม่ถ้วน หากยึดตามกฎเกณฑ์แล้ว หากหัวหน้า ตระกูลเสียชีวิต แล้วคนรุ่นสามไม่มีคนสืบทอด ก็ต้องให้อีก คนรุ่นหนึ่งสืบทอดแทน ซึ่งในตอนนี้หัวหน้าของตระกูล คง หนีไม่พ้นพวกเราแน่!”

ทำไมผมต้องเป็นคนสืบทอดด้วยล่ะ?” หลินยิ่ง พูดขึ้น

“คุณปู่ของแกป่วยหนักมาหลายปีแล้ว ซึ่งขณะเดียวกัน คุณปู่สาม คุณปู่ห้าพวกเขาก็ได้เริ่มแสดงสิทธิ์แย่งชิงมรดก แล้ว หรือว่าแกยอมให้คนอื่นแย่งชิงมรดกของคุณปู่แก เพียง เพราะว่าแกพอใจกับชีวิตที่เป็นอยู่ของแก?” ฉีเหอ ซักถาม ด้วยน้ำเสียงจริงจัง

หลินยิ่ง ขมวดคิ้ว พร้อมหัวเราะประชดเล็กน้อย

เขาค่อนข้างรู้จักดีว่า เหอ เป็นคนแบบไหน เพื่ออำนาจ เขายอมทำทุกวิถีทาง โดยไม่สนใจความรู้สึกและความถูก

ต้อง

ถ้าหากไม่ใช่เพราะคุณปู่ป่วยหนัก และตำแหน่งของเขา ในตระกูลฉี เริ่มสั่นคลอน เขาคงไม่มีทางยอมลดตัวมาหาตัว เองถึงเมืองชิงหยูนแน่?

“หลินอึ่ง หรือว่าแกคิดอยากอยู่ในบ้านตระกูลจาง ที่เล็ก เหมือนรังหนูแบบนี้ตลอดชีวิต แถมยังถูกดูถูกเหยียดหยามด้วยหรอ?” ฉีเหอ พูดขึ้น เห็นได้ชัดว่าหลังจากที่ตามหา หลินจิ่ง พบ เขาได้สืบประวัติชีวิตของเขาเรียบร้อยแล้ว

“เมื่อวาน ตอนที่แกอยู่ในงานแต่งงานของคนตระกูลจาง ได้ยินว่าแกถูกกลั่นแกล้งหนักเลย จนแทบไม่มีความสามารถ ต่อต้านได้เลย” ฉีเหอ พูดต่อว่า “แกไม่อยากควบคุม อำนาจบ้างหรอ? ไม่อยากแก้แค้นพวกเขาบ้างหรอ?”

“ขอเพียงแกยินยอม ก็จะสามารถทำให้คนของตระกูลจาง ทุกคนคุกเข่าต่อหน้าแก!” ฉีเหอ พูดขึ้น

หลินยิ่ง ส่ายหน้าเล็กน้อย

เหอ กระแอมหนึ่งที และพูดว่า “ตอนนี้แกยังอายุน้อย อยู่ และอย่าโกรธจนหน้ามืดตามัว จนทำให้ตัวเองพลาด โอกาสร่ำรวยในครึ่งชีวิตหลัง แกแทบจะยังไม่เคยลิ้มรสชาติ ของอำานาจมาก่อนเลย รอให้แกสามารถทำให้คนของ ตระกูลจาง ทุกคนคุกเข่าต่อหน้าแก แกก็จะรู้เองว่า มันรู้สึก สาแก่ใจมากแค่ไหน!”

“ฉันรู้ว่าแกโกรธเกลียดฉัน แกสามารถโกรธเกลียดฉันได้ ตลอดชีวิต หรือจะไม่นับฉันคนนี้เป็นพ่อก็ได้” เหอ พูด ด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “สิ่งที่แกต้องทำคือ กลับตระกูลฉี และ ไปเยี่ยมคุณปู่ จากนั้นก็ไปเอาสิ่งที่เป็นของแกคืน และทำใน สิ่งที่แกอยากทําทั้งหมด แค่นี้เอง”

“ง่ายดายขนาดนี้เลย สำหรับโอกาสในการปีนป่ายขึ้นฟากฟ้า หรือว่าแกไม่ต้องการหรอ?’

หลินยิ่ง พูดขึ้นว่า “ผมไม่ต้องการความช่วยเหลือจาก

คุณ”

เหอ ขมวดคิ้ว และถอนหายใจออกมา แล้วพูดว่า “อัน ที่จริงฉันรู้สึกผิดต่อพวกเธอสองแม่ลูกมาก แต่ถ้าหากแกอยู่ ตรงตำแหน่งเดียวกับฉัน แกก็คงทําแบบนั้นเหมือนกัน”

สำหรับผู้ชายคนหนึ่งแล้ว สามารถสูญเสียสิ่งของทุก ” อย่าง! มีเพียงอย่างเดียวที่ไม่สามารถสูญเสียได้คือ อำนาจ ใน เมือ!”

เห่อ….” หลินอิ่ง ส่ายหน้าเล็กน้อย จนกระทั่งตอนนี้ เหอ ถู แทบไม่รู้สึกละอายใจและรู้สึกผิดเลย เขายังคงคิดว่าเขาไม่ผิดอยู่ ก็จริง คนประเภทนี้อย่างเขา ไม่ต้องการความรักหรอก เพราะในสายตามีเพียงอำนาจ

เท่านั้น

“ผมจะหาเวลากลับไปเยี่ยมคุณปู่ครับ แต่เรื่องของตระกูล ไม่เกี่ยวข้องกับผม” หลังจากพูดจบ หลินอิ่ง ก็เดินจากไป

“นี่แก! ” ฉีเหอ เผยสายตาแหลมคมจ้องมอง หลินยิ่ง

“ได้ แกไปเถอะ เงื่อนไขทุกอย่างฉันบอกแกแล้ว ฉันจะรอ แก ฉันเชื่อว่าแกต้องกลับมาขอร้องฉัน” เหอ พูดขึ้น ด้วย สายตาที่เชื่อมั่นอย่างแกร่งกล้า
เขาค่อนข้างเข้าใจสภาพแวดล้อมของ หลินนิ่ง ในตอนนี้ เขาแทบไม่เชื่อเลยว่า หลินนิ่ง จะสามารถปฏิเสธเงื่อนไขของ เขาได้

คนไร้ประโยชน์ที่มาเป็นลูกเขยในตระกูลสูงส่งมาสองปี ไม่มีทางปฏิเสธ โอกาสที่จะปีนป่ายขึ้นฟากฟ้าแน่นอน!

ไม่มีใครไม่อยากมีหน้ามีตาหรอก?

“อืม งั้นคุณก็ค่อยๆรอละกัน”

หลินอิ่ง หัวเราะประชดหนึ่งที โดยไม่หันหน้ากลับมาจาก นั้นก็เดินจากโรงแรมชิงหยูน ไป


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ