ซุปเปอร์เจ้าสําราญ

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย



บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชาย คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆ หรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออก จากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูล ก็ไม่มีอะไร เกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเยี่ยเจียง ในเมืองที่ชสมุน วุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่ง รถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อ เหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้ง คำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขา กําลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่อง ในตอนนั้นนายท่านเองก็ ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรม ต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ.
“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่าน เลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้น สายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบ อย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูง ศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูล หรือ ครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระ กูลฉี นะ….. ”

หลินนิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระ กูล มายุ่ง และเรื่องของตระกูล ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเยี่ย

เจียง ไป

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินยิ่ง โดย ไม่ได้เดินตามไป ทําได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูล หรือ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเยี่ยเจียง หลินยิ่งก็หัวเราะประชด เบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลัง นึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวน มากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลนี้ แม้เพียงเล็ก น้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูล คือบาดแผลอันเจ็บปวด ภายในใจที่ยากจะลบล้างได้

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองจิง เป็นหลานชายที่ถูก ต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูล เขาเกิดมาในตระกูล ที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า เหอ ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถม ยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกัน ด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูซิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูซิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอ เป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจาก ตระกูลฉี เลย ส่วน หลินนิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนี ไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจ อุปสรรคจากตระกูลนี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจาก สายตาของคนตระกูล แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความ สุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย
สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะ โรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอน นั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูล ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินยิ่งก็ไม่ คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลิน

หลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซุน ตระกูลที่ สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อ เชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของ ตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขย ในตระกูลจาง คงไม่ สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตา สะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลัง จ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอึ่ง มีชื่อว่า จางไม่ เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตั้งติ้ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินยิ่ง ก็แต่งงาน เข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียง ในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่าน จาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้า ที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็น คนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมี คุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินยิ่ง ที่ ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินนิ่ง กับ จางซึ้งยิ่ง ที่ทราบ เหตุผลที่แท้จริง……

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตึ้งยิ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่

สำคัญมีเพียง หลินนิ่ง คนเดียวที่ทราบ ส่วนภรรยาของเขา จางนีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่

ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายัง ไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางติ้งดิ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อ เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของหลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลย ถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอึ้ง ที่ เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความ สามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเป็น เฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินนิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญ ชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงาน ของพ่อจะสําเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือ หรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มี คฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวน ดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้ง ยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย
“โธ่ น้อง นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทําแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของ ตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจาก รถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อม กับจ้องมอง จางนีโม่ กับ หลินนิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางนีโม กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับ มากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ ทํางานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงาน แปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับ สถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทํางานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถ ซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางนีโม่ ได้เลย

“น้อง เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลชน ให้กับเธอ แต่เธอ กลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแตกดัน มากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจหลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วย แนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสีย มารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำ เสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธโธโธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็ รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะ อุตส่าห์มีน้ำใจอยาก ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมี ชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ! ด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น ” จางเรียนไห พูด

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลย หันหน้ามอง หลินยิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินนิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงาน แต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชัน ขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้ว หรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือ

ให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?” หลิน ง เอาแต่จ้องมอง จางเขียนได้ โดยไม่พูดอะไร
จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางนีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จาง

เถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อ กรุ๊ป แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงาน เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความ โกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินยิ่งว่า “อดทนไว้ไม่ต้องไปสนใจ เขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ

หลินนิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดิน เข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทน ได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินยิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับ ตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสี แดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่ง เรียบร้อยแล้ว

จาง โม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้า สาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนึ่ง ขอให้มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ

จาง หนึ่ง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จาง โม่ แล้ว ยัง บกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางนีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ และพูดขึ้น ” จางนีโม่ ยิ้ม

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมี เป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางนีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจน ไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกําหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตา และเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูล จาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่หนึ่ง ก็ เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย….

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองซิงหยูน นั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลฮุน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดง ความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางไม่นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบาก ของพ่อตัวเอง ในตอนนี้ จากนั้นเธอก็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดิน ตาม จางจี้หนิง จากไป………

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก……


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ