ชีวิตจักรพรรดิของข้า

บทที่ 16 ทหารม้าหู่เป้า



บทที่ 16 ทหารม้าหู่เป้า

ในห้องทรงงาน มู่ฉุนเฟิงไปที่แผนที่บนโต๊ะ กราบทูลอย่าง ระมัดระวัง สายตาแอบมองฮ่องเต้เป็นระยะๆ สังเกตสีหน้าที่อยู่ บนใบหน้าของเขา แม้ว่าฮ่องเต้เคยพูดไปแล้วว่าไม่โทษเขา อย่างไรก็ตาม ทำให้ฮ่องเต้ทรงกริ้ว ที่อาศัยอยู่บนบ่าอาจจะต้อง ถูกตัดได้ทุกเวลา

ตาของเยเทียนเคลื่อนย้ายตามนิ้วของฉุนเฟิง จ้องมองแผนที่ กองทัพที่วางอยู่บนโต๊ะไม่คาดสายตา ตั้งใจฟังมฉุนเพิ่งอธิบาย ฟังได้เข้าใจแล้วบางส่วน

ประเทศจีน มีบางส่วนคล้ายกับหลังราชวงศ์จินของประเทศจีน โบราณ โบราณ ประกอบด้วยหลายสิบชนเผ่า ทั้งหมดเป็นชนเผ่า เร่ร่อน ชายหญิงล้วนเชี่ยวชาญการขี่ม้ายิงธนู พลังต่อสู้แข็งแกร่ง มาก มีนามว่าผู้ที่ควบคุมธนูร้อยล้าน

แท้จริงแล้วมีหรือไม่มีผู้ที่ควบคุมธนูร้อยล้านเยเทียนไม่รู้ แต่ที่ แน่ๆก็คือ กองทัพม้าที่ดีที่สุดในใต้หล้าออกจากทุ่งหญ้าของประ เทศจีน ฮ่องเต้แต่ละสมัยของประเทศโจวล้วนแต่ฝันว่าจะสำเร็จ ผลงานที่ดีในการปกครองแผ่นดินทั่วหล้า จำนวนหลายสิบครั้งที่ ยกทัพจับศึกประเทศจีนส่วนมากแพ้มากกว่าชนะ ทำให้ประเทศ โจวเจ็บปวดสาหัส สูญเสียพลัง มาถึงรุ่นเย่เทียนนี้ ประเทศโจ วหายนะหมดสิ้นแล้ว ระดับการสู้และป้องกันกลับตาลปัตรหมด ประเทศจีนที่ค่อยๆแข็งแกร่งขึ้น ในแต่ละวันปัจจุบันนี้เป็นฝ่ายรุกประเทศ โจวเพียงป้องกันได้อย่างเดียว

แน่นอน ประเทศจีนก็ไม่ใช่ไม่มีจุดอ่อน เนื่องเพราะภูมิอากาศ สิ่งแวดล้อม โดยกำเนิดเสบียงของประเทศจีนขาดแคลนอย่าง หนัก ดังนั้น ประเทศจีนจับตามองประเทศประเทศโจวที่อุดม สมบูรณ์ ฝันตลอดว่าจะเข้าครอบครองศูนย์กลางประเทศ

ด่านหยินหยาง ด่านหยุนอู่เป็นมุมเอียงซึ่งกันและกัน คือ ประเทศประเทศโจวที่ติดอยู่คอขวดจุดสำคัญของประเทศจีน กองทัพใหญ่ของประเทศโจวสามารถออกรุกจากสองท่านนี้ได้ ทุกเวลา ดังนั้น ประเทศจีนคิดแผนการร้อยพันหมื่นมาตลอดที่จะ แย่งชิงกลับมา

อยู่ในเวลาที่ประเทศโจวรุ่งเรืองแข็งแกร่งที่สุด สองเมืองนี้ สำคัญมากจริงๆ แต่ประเทศประเทศโจวในปัจจุบันนี้ค่อยๆเสื่อม ถอยลงทุกวันแล้ว ไม่มีเรี่ยวแรง ยกทัพจับศึกทางเหนือ ทั้งสอง เมืองนี้กลับกลายเป็นซี่โครงไก่ไร้ค่า ทอดทิ้งชั่วคราวดีกว่า ทุ่ม พลังทั้งหมดไปป้องกันด่านเจิ้งหยางที่มีนามว่าด่านอันตราย อันดับหนึ่งในใต้หล้า ต้านกองทัพใหญ่สิบล้านของประเทศจีนอ นอกด่าน รอจนเวลาที่ประเทศประเทศโจวค่อยฟื้นฟูพลังแล้ว ค่อยๆรุกอีก

แน่นอน นอกด่านยังมีราษฎรของประเทศโจวอาศัยอยู่ มากมายต้องย้ายพวกเขาเข้ามาด่านในหมด ยังต้องใช้เวลาพอ สมควร ตามแนวคิดการรุกของฉุนเฟิง ทหารกองทัพใหญ่แยก เป็นสองทาง ทางหนึ่งไปช่วยด่านหยุน ในเวลาเดียวกันก็ คุ้มครองราษฎรย้ายเข้ามาด่านใน อีกทางหนึ่งกองทัพใหญ่แกล้งทําเป็นจู่โจมด่านหยุนหยาง ได้ลดความกดดันของทหารที่ เฝ้าด่านหนอู่ ทำการยืดเวลาให้กับแม่ทัพเฝ้าด่านและอพยพ ราษฎร

เยเทียนลูบจมูกตนเองหนึ่งครั้งตามนิสัย คิดไม่ถึงว่าฉันเพิ่ง ยังเป็นแม่ทัพผู้สามารถคนหนึ่ง ถ้าหากไม่ใช่ที่จะรีบก่อตั้งค่าย องครักษ์ที่จงรักภักดีต่อตนเอง ก็จะสามารถส่งเขาไปเฝ้าด่าน อันตรายด่านเจิ้งหยางได้

ด่านเจิ้งหยางสร้างพิงภูเขา ภูมิประเทศอันตราย เฝ้าง่ายรุก ยาก เป็นเช่นนี้จึงมีนามว่าด่านอันตรายอันดับหนึ่งในใต้หล้า คือ ฉากกั้นอ้ายเหนือของประเทศประเทศโจว ประเทศจีนคิดอยาก จะครอบครองประเทศกลาง ก็จะต้องยึดคลุมด่านอันตรายด่าน เจิ้งหยางก่อน หลายสิบปีที่ผ่านมานี้ แม่ทัพยอดเยี่ยมของกอง ทัพประเทศจีนรุกเข้ามาตายใต้ด่านอันตรายด่านเจิ้งหยางนับไม่ ถ้วน

ด่านอันตรายด่านเจิ้งหยางป้องกันง่ายรุกยาก แค่มีจำนวน ทหารเพียงพอ อาวุธเสบียงเพียงพอ แม่ทัพหลักไม่รุกลุ่มบ่าม ปิดประตูเมืองให้แน่นและป้องกันก็พอที่จะต้านกองทัพใหญ่สิบ ล้านของประเทศจีนไว้นอกด่านได้

ยังพูดได้ว่า ผู้บัญชาการกองทัพสูงสุดที่เฝ้าปกครองด่านเจิ้ง หยางจะต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญในการเฝ้าปกครองเมืองคนหนึ่ง ดำเนินการเรื่องต่างๆเพียงขอแค่มั่นคง แม่ทัพอาวุโสที่ไม่โลภ ผลงานก็เพียงพอแล้ว
แน่นอน การโจมตีเกิดขึ้นอย่างกะทันหันของไม่เปีย อาณาจักรใกล้เคียงหลายแห่งเช่นประเทศ ประเทศเย็น ประ เทศเป็นเหยียนรวบรวมกองทัพใหญ่ที่ชายแดน กำลัง เคลื่อนไหวที่จะก่อการร้าย ก็ต้องส่งกองทัพใหญ่ไปรับมือ เสริม การปกครองให้แข็งแกร่ง ป้องกันกรณีฉุกเฉิน

ฟังการอธิบายของฉุนเฟิง เย่เทียนกระจ่างแจ้งอย่างฉับพลัน เขาอารมณ์ดีมาก ตบไหล่ของฉุนเฟิง “ผู้บังคับบัญชาม ใช้ได้ นะ”

“แบกรับแทนฝ่าบาท คือหน้าที่เดิมของกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ” ม ฉุนเพิ่งได้รับความโปรดปรานอย่างไม่คาดฝันจนรู้สึกประหลาด ใจยิ่ง แม้ว่าฮ่องเต้ไม่ได้พูดอะไร แต่หนึ่งตบนั้นเพียงพอที่จะ อธิบายว่า ใบหน้ามังกรของฮ่องเต้เต็มไปด้วยความสุข เขาอย่างมากเลยนะ ชื่นชม

แน่นอนล่ะะเขาสูงกว่าฮ่องเต้หนึ่งเท่า เพื่อจะทำให้ฮ่องเต้ตบ ไหล่เขาได้ เขาไม่ทิ้งร่องรอยก้มตัวลงทำให้ฮ่องเต้ตบไหล่เขา

เย่เทียนเสด็จกลับไปที่พระตำหนักในหลวน ขุนนางใหญ่ฝ่าย ปุ่นและกลุ่มนั้นยังเชื่อว่าเรื่องจะออกรุกหรือสงบศึกพ่นน้ำลาย ใหญ่อยู่เหมือนเดิม เถียงจนหน้าหน้าแดง แค่ขาดว่ายังไม่ได้ ลงไม้ลงมือ pk เท่านั้น

ทั้งสองฝ่ายล้วนพูดอย่างมีหลักการ เย่เทียนที่ได้ตัดสินใจแล้ว มองดูขุนนางใหญ่ฝ่ายบันและที่ทะเลาะกันอยู่ทั้งหมด สายตา ตกอยู่บนกายแม่ทัพหนุ่มคนหนึ่งที่ยืนอยู่ท้ายสุด
จากต้นถึงปลาย แม่ทัพหนุ่มคนนี้เพียงแค่ยืนอยู่มุมห้องอย่าง เงียบๆไม่เอ่ยสักคำ ทำให้คนมองข้ามการคงอยู่ของเขา

อาจจะเป็นเพราะว่าบุ๋นและทั้งหมดในราชสำนัก นับได้ว่า

ตำแหน่งของเขาต่ำที่สุดและไม่กล้าเอ่ยอะไรเลยล่ะ? สาเหตุที่เย่เทียนรู้สึกสนใจเขา ก็เพราะว่าแม่ทัพหนุ่มคนนี้สีห น้าซื่อๆ ท่าทางที่สบายๆแม้แต่ฟ้าจะถล่มก็ไม่สะเทือน

“ผู้เฒ่าชู ผู้นั้นชื่ออะไรหรือ?” เขาสอบถามซูจื่อหลุนที่รับใช้อยู่ ข้างๆเสียงเบาๆ ในความทรงจำที่รางเลื่อนของฮ่องเต้ผีตายโหง ไม่มีภาพแห่งความทรงจำของแม่ทัพหนุ่มคนนี้สักนิดจริงๆ

ซูจื่อหลุน โน้มตัวกราบทูลเบาๆว่า “ทูลฝ่าบาท เขาคือรองผู้ บังคับบัญชากองทัพม้าเป้า หูเซียวหยุนพ่ะย่ะค่ะ

แซ่หูหรือ? แช่นี้ไม่เคยได้ยินเลย รู้สึกถึงความแปลกใหม่มาก

โลกนี้อะไรก็เป็นไปได้ มีบางอย่าง ยิ่งไม่สามารถอธิบายด้วย

วิทยาศาสตร์ แซ่หูก็ไม่แปลกประหลาดอะไรเท่าไร

กองทัพม้าคู่เป้าหรือ? นี่เป็นของเล่นอะไรอีกล่ะ? ฟังดูเหมือน กองทัพม้า ชื่อก็รู้สึกแข็งแกร่งจริงนะ

เย่เทียนฟังคำอธิบายของซูจื่อหลุนแล้ว จึงเข้าใจที่มาที่ไป ของกองทัพม้าหู่เป้า

กองทัพม้าสู่เป้าคือม้าเหล็กคล่องแคล่วที่สุดก่อตั้งขึ้นจาก ฮ่องเต้องค์ก่อน ค่ายหนึ่งก่อตั้งเพียงห้าร้อยกองทัพม้า ผ่านการ รบหลายสนาม สร้างผลงานการรบที่น่าเกรงขาม แต่ฮ่องเต้หลายรุ่นที่ตามมามีแค่อุดมคติยิ่งใหญ่ที่จะปกครองแผ่นดินทั่ว หน้าอย่างกลวงเปล่า กับความโง่เขลาไร้ความสามารถ ย กองทัพม้าเหล็กเป้าที่มีพลังรบแข็งแกร่งที่สุดของประเทศประ เทศโจวจนดูไม่ได้ สืบทอดมาถึงรุ่นเย่เทียน กองทัพม้าสู่เป้ายิ่ง เหมือนก่อตั้งแบบจอมปลอม มีแต่ชื่อมานานแล้ว

หูเซียวหยุนฐานะยากจน อายุสิบกว่าปีก็เป็นทหารแล้ว เคย เข้าร่วมการรบใหญ่เล็กร้อยกว่าสนาม มักจะใช้กำลังน้อยชนะ เยอะ เนื่องเพราะผลงานการรบโดดเด่นยกตำแหน่งกลายเป็น รองผู้บังคับบัญชาขั้นที่สี่ บัญชาการกองทัพม้าสู่เป้า

ขุนนางรองขั้นที่สี่ เดิมทีไม่มีสิทธิเข้าเฝ้าฮ่องเต้ แต่กองทัพม้า เป้าคือก่อตั้งขึ้นจากฮ่องเต้องค์ก่อน โดยสถานการณ์พิเศษ เซียวหยุนจึงสามารถเข้าเฝ้าฮ่องเต้ได้ เป็นแม่ทัพเรียงอยู่แถว สุดท้าย อีกทั้งเขาก็ไม่ออกเสียง ง่ายจริงๆ ที่จะทำให้คนอื่นมอง ข้ามการคงอยู่ของเขา

ไอ้ห่า ยังหนุ่มเช่นนี้ก็เข้าร่วมการสู้รบใหญ่เล็กร้อยกว่าสนาม

แล้ว อาศัยผลงานโดดเด่นขึ้นตำแหน่งเป็นรองผู้บังคับ

บัญชาการ น่าจะเป็นคนถูกคนหนึ่งนะ แต่น่าเสียดายไม่มีโอกาส ที่ให้แสดงความสามารถ เย่เทียนสนใจต่อหูเซียวหยุนมาก กล่าวกับซูจื่อหลุนว่า “ผู้เฒ่า

ซูหาเอกสารของเขามาให้ข้าให้ได้ ยิ่งละเอียดยิ่งดี คำสั่งฮ่องเต้หนึ่งคำ ทำให้คนกลุ่มหนึ่งยุ่งมาก ซูจื่อหลุนส่งคำ สั่งให้วันทีน้อย วันทีน้อยรับราชโองการ ส่งแฟ้มเอกสารทั้งหมดของหูเซียวหยุนจากกองทหาร ทูลถวายอย่างรวดเร็ว ประสิทธิภาพการทำงานทำให้คนพอใจมากเลย

เยเทียน ทำปากเซด ต่อจื่อหลุน ซูจื่อหลุนเข้าใจ ร้องเสียง สูงว่า “สงบ!”

พระตำหนักในหลวนที่อีกทึกครึกโครมทั้งห้องเงียบสงบไป ทันที ขุนนางปุ่นและที่เถียงกันจนหน้าดำหน้าแดงเข้าแถวตัว ตรง รอการตัดสินใจสุดท้ายจากฮ่องเต้

“หูเชียวหยุน” เสียงที่มีพลังเต็มเปี่ยมของเยเทียนต้องสะท้อน ทั่วพระตำหนักจินหลวนที่กว้างใหญ่ไพศาล เสียงไพเราะทำให้ คนมึนเมา

ฮ่องเต้เรียกกระหม่อมหรือ? หูเซียวหยุนที่ยืนอยู่ในแถวแม่ทัพ คนสุดท้ายทิ้งไป รีบออกจากแถว โน้มตัวทูลว่า “กระหม่อมพ่ะย่ะ

จู่ๆฮ่องเต้ก็เรียกชื่อเขา ไม่ต้องพูดถึงว่าเขาอึ้งไปสักพักโดยตั้ง ตัวไม่ทัน แม้แต่พวกขุนนางบุ๋นและที่เป็นขุนนางอยู่ในราช สำนักเดียวกันสีหน้าก็ยังอึ้งไปหมด ในเวลานี้พวกเขาถึงจำได้ว่า

ในพระตำหนักจินหลวนยังมีคนคนนี้คงอยู่


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ