จอมยุทธ์กบฏโลก

บทที่8 อะไรที่เรียกว่าฐานะ



บทที่8 อะไรที่เรียกว่าฐานะ

คนที่สามารถเข้าออกธนาคารชัวรุ่ยได้ แน่นอนว่าต้องเป็นเศรษฐี ที่รวยมากๆ

การ์ดธรรมดาเริ่มต้นของที่นี่ ต้องมีจำนวนเงินฝากประจำหนึ่ง ล้าน บัตรVIPธรรมดาจะต้องมีเงินฝากถึงสิบล้าน

เพราะฉะนั้นตอนนี้คนที่รออยู่ในห้องโถง ส่วนมากต่างพากัน มองไปที่อู่เทียนเจียงพร้อมกับส่ายหัวไปมา ฐานะของพวกเขา ไม่ จําเป็นจะต้องไปเอ่ยปากถากถางหรอก คนระดับล่างอย่าง เทียนเจียงเป็นพวกคนบ้าสติไม่ดี เห็นมาไม่น้อยแล้ว

คุณผู้หญิงหลีใช้มือข้างซ้ายลูบไปที่มือที่ถูกห่อหุ้มเอาไว้ของ ตัวเอง สายตายังคงเย็นยะเยือก

ไอ้บัดซบ นี่มันแค่ก้าวแรกของการดูถูกแกต่อหน้าคนอื่น เท่านั้น รอแกถูกไล่ออกไปจากธนาคารชัวรุ่ยขึ้นมา ฉันจะทำให้ แกไม่มีทางลุกขึ้นมาจากวิวแชร์ได้อีก กล้าแหย็มกับคนอย่างหลี่ เหม่ย นี่เป็นจุดจบของแก

“พนักงานต้อนรับคนหนึ่ง แม้แต่หน้าที่ขั้นพื้นฐานยังลืมงั้นเห รอ การ์ด ใบนี้ เธอคิดว่าไม่ใช่บัตรเอทีเอ็ม ก็คิดจะไล่ฉันออกไป แล้ว? แม้แต่เวลาตรวจสอบยังไม่เหลือให้งั้นเหรอ? ”

“แต่ว่านะ เธอยังพอเหลือที่ในการเลือกปฏิบัติของเธออยู่บ้าง”
ฉู่เทียนเจียงพูดกับพนักงานสาวต้อนรับจบ ก็เดินไปหยิบการ์ต สีม่วงประหลาดๆ ใบนั้นไป หลังจากนั้นก็ก้าวเท้าอย่างรวดเร็ว เดินเบี่ยงออกไป

ที่นั่น มีประตูกระจกใสกันอยู่ ราวกับลูกค้าของธนาคารชัวรุ่ย จะรู้กันดีอยู่แล้ว คนที่สามารถรูดการ์ดผ่านประตูกระจกนี้ไปได้ ล้วนเป็นลูกค้าระดับสูงหรือระดับVIPขึ้นไป ต้องเป็นเศรษฐีที่ด้าน ในบัตรมีเงินฝากหนึ่งร้อยล้านขึ้นไปเท่านั้น

เพราะฉะนั้นพอเห็นฉากนี้แล้ว คนทุกผู้ต่างพากันหัวเราะอย่าง กลั้นไว้ไม่ได้ คิดว่าสมองของเทียนเจียง มีปัญญาจริงๆ

“ขวางเขาไว้!

หนักงานสาวต้อนรับตะลึงอยู่กับที่ คิดไม่ถึงว่าสมองของ เทียนเจียงจะมีปัญหาหนักขนาดนี้ จึงรีบเรียกรปภ.เข้ามาทันที

“หยุดนะ!

ในขณะที่รปภ.กำลังตามขึ้นไปนั้น หลี่เหม่ยก็หัวเราะ กล้าก่อ เรื่อง ในธนาคารฮวย คงไม่ต้องถึงมือเธอหรอก

ในสายตาของคนทุกผู้ที่กำลังมองดูเหตุการณ์นี้อย่างตลก ขบขัน ก่อนที่จู่เทียนเจียงจะถูกรปภ.เข้ามารวบตัวนั้น เขาได้เอา บัตรใบนั้นแนบไปกับเครื่องสแกนบัตรตรงด้านข้างของประตูที่ เป็นกระจกใส

ต่อมา ตามมาด้วยเสียงติ๊ดดังขึ้น กลไกของประตูกระจกถูก เปิดออก ในทันที
ทันใดนั้นเอง ทั่วทั้งห้องโถง ในธนาคารต่างพากันเงียบกริบ ทุกคนตกตะลึงจนอ้าปากค้างไปตามๆ กัน ยิ่งไปกว่านั้น ยัง มีรปภ.หลายคนพากันขยี้ตาอย่างไม่อยากจะเชื่อ ราวกับเมื่อครู่ เห็นเข้ากับภาพลวงตา

เมื่อประตูบาน…..กเปิดออกจริงๆ

จนกระทั่งฉู่เทียนเจียงเดินเข้าไปด้านใน ทุกคนถึงได้ตื่นจาก ภวังค์ คนพวกนั้นที่นั่งรอพนักงานเข้ามาบริการนั้น ต่างพาโล่ง อกอย่างโชคดี ยังดีที่ไม่มีใครเข้าร่วมกับเหตุการณ์นี้ ไม่อย่าง นั้นคงแย่แน่

ล้อเล่นหนา คนที่มีเงินในบัตรถึงหนึ่งร้อยล้าน นั่นเป็นกองทุน ที่ไม่ได้ใช้งาน เงินทุนมากมายขนาดนั้นของเขา ตำแหน่งหน้าที่ การงานในเมืองหนึ่งจะไปธรรมดาได้ยังไง?

สิ่งที่พวกเขาสามารถคิดได้ แน่นอนว่าพนักงานสาวต้อนรับ ต้องคิดได้อยู่แล้ว สองขาของเธออ่อนระทวยแทบจะกองกับพื้น เธอร้องไม่ออก นึกเสียใจกับการกระทําของตัวเองเป็นอย่างมาก

คนที่เป็นหนักยิ่งกว่าก็คือหลี่เหม่ย เธออ้าปากจนแทบจะยัดไข่ เป็นเข้าปากได้ทั้งใบ เธอที่ถือได้ว่าปะทะกับเทียนเจียงมาสอง รอบแล้ว เป็นคนที่ไม่อยากจะเชื่อสายตามากที่สุด

หลังจากดึงสติกลับมาได้ สีหน้าของเธอก็เคร่งขรึมลง หลัง จากนั้น เธอก็เดินหนีออกจากธนาคารไป

คนที่สามารถเป็นลูกค้าVIPระดับสูงของธนาคารฮัวรุ่ยได้ อย่างน้อยเท่าที่เห็นในตอนนี้ เธอไม่สามารถแหยมได้ อาศัยในตอนที่ยังไม่ได้ตามสืบสาวราวเรื่องอะไร รีบเดินออกไปเป็นวิธีที่ดี ที่สุด

หลังจากเดินเข้าไปในประตูกระจก ด้านในมีพนักงานสาว ต้อนรับเหมือนกัน

“คุณผู้ชายคะสวัสดีค่ะ กรุณาเข้าไปรอในห้องรับรองแขก หมายเลขหนึ่งค่ะ”

พนักงานสาวต้อนรับที่อยู่หลังประตูกระจกบานนี้ ไม่ว่าจะเป็น รูปร่างหรือความสวยงาม ต่างสวยกว่าข้างนอกหลายเท่า สวม เสื้อสีแดงหุ้มไหลที่มีผลต่อการมองเห็น กระโปรงสั้นที่สวมใส่อยู่ ในระดับที่สายงานอาชีพนี้สามารถรับได้

ผู้ที่สามารถผ่านประตูบานนี้เข้ามาได้ ต่างเป็นบุคคลที่มีฐานะ จริงๆ เพราะฉะนั้นพนักงานต้อนรับที่เวียนกันเข้ากะ ขอเพียงแค่ ยังไม่ได้แต่งงานหรือมีคู่ครอง แน่นอนว่าต่างพากันฝันอยากจะ แต่งงานกับผู้ชายหล่อพันล้าน พุ่งเป้ามองไปที่เงิน ไม่มองอายุ หน้าตาหรืออื่นๆ

โดยเฉพาะตอนนี้ใบหน้าอันหล่อเหลาคมกริบของฉู่เทียนเจียง ลำพังแค่ออร่า พนักงานสาวต้อนรับคนนี้จะไปชอบได้อย่างไร

แต่เธอที่ทำท่าทำทางสะดีดสะดิ้งไปมา ในสายตาของเทียน เจียง มีค่าเท่ากับอากาศเท่านั้น

ถ้าหากอยากได้ผู้หญิงจริงๆ เขาแค่กระดิกนิ้วเรียกก็พอแล้ว จนเดินมาถึงห้องรับรองแขกหมายเลขหนึ่ง ด้านในมีชายหัวล้านวัยกลางคนรีบลุกสวบขึ้นมาอย่างรวดเร็ว จนทำให้พนักงาน สาวต้อนรับตะลึงงันอยู่กับที่

“ผู้จัดการธนาคาร ท่าน…….

เป็นไปได้ยังไงกัน! ไม่เคยมีลูกค้าVIPคนไหนต้องการรับการ บริการจากผู้จัดการธนาคารเลย แต่มาวันนี้…….กลับมีคนคนหนึ่ง ปรากฏขึ้น

เขาทำการปิดประตู หลังจากนั้นชายหัวล้านวัยกลางคนก็พูด ขึ้นมาอย่างนอบน้อม

“คุณ ครับ มีโอกาสต้อนรับท่าน เป็นความภาคภูมิใจของ กระผมเลยครับ ผมชื่อสวูเฟย นี่คือนามบัตรของผมครับ จากนี้ไป ขอเพียงแค่คุณมีเรื่องอะไรให้ช่วย ก็ให้โทรศัพท์หาผมได้เลย นะครับ ท่านไม่จําเป็นต้องมาด้วยตัวเองก็ได้ครับ”

ฉู่เทียนเจียงไม่ได้นั่งลง เขาพูดเปิดประเด็นอย่างตรงไปตรง

มา

“เตรียมการ์ดสำหรับใช้ชั่วคราวให้ผมใบหนึ่ง จํานวนเงิน เตรียมไว้หนึ่งร้อยล้าน นอกจากนี้ ช่วยจัดการเรื่อง

หลังจากผ่านไปสิบนาที บานประตูกระจกก็ถูกเปิดออกอีกครั้ง วินาทีนั้น สายตาทุกผู้มองไปยังจุดหมายเดียวกัน รวมไปถึง พนักงานสาวต้อนรับที่จะไล่เทียนเจียงออกไปด้วย

เป็นไปตามคาด ฉู่เทียนเจียงออกมาแล้ว แต่ในวินาทีนั้น คนต่างพากันสูดหายใจเข้า เพราะว่าคนที่เดินคู่กันอยู่ข้างๆ ทุกใบหน้ายิ้มแย้ม กลับเป็นสาเฟียผู้จัดการธนาคารของธนาคารชั่ว

รุ่ยแห่งเมืองหนึ่ง โอ้โห สวูเฟยอยู่ในเมืองหนึ่ง ถือได้ว่าเป็นคนไม่ธรรมดาเลย

กลับส่งชายหนุ่มคนนั้นออกไปด้วยตัวเอง นี่มัน

พนักงานสาวต้อนรับคนนั้น ก้มหัวลงตัวสั่นงันงกไม่หยุด เธอรู้ ชะตาชีวิตของตัวเองดีว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น

หลังจากที่ฉู่เทียนเจียงเดินออกไปแล้ว ไม่ได้พูดอะไรแม้แต่คำ เดียว เธอค่อยๆเงยหน้าขึ้นมา สายตาเต็มไปด้วยความเจ็บปวด

ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่า อะไรคือบุคคลสำคัญผู้เย่อหยิ่ง จองหอง

เขายืนอยู่ตรงหน้าประตู สวูเฟย ใช้มือขวารีบผายมือเปิดประตู คันหนึ่งอย่างกุลีกุจอ ในขณะเดียวกันเขารู้สึกแปลกใจเป็นอย่าง มาก

คุณท่านนี้ถ่อมตัวเกินไปแล้วมั้ง มีอภิสิทธิ์ครอบครองบัตรที่ ออกโดยสำนักใหญ่ของธนาคารชัวรุ่ย นั่นหมายความว่าการ์ด ทองสีม่วงนั่นเป็นเครื่องการันตีถึงตำแหน่งฐานะทางสังคม กลับ……โบกรถเนี่ยนะ ไม่มีใครนอกจากเขาแล้ว

พอกลับมาถึงบ้าน ฉู่เทียนเจียงที่พึ่งเข้ามาถึงสวนหน้าบ้าน เมื่อเปิดประตูเข้าไป ฮัวว่านางก็เดินออกมาจากด้านใน ปากของ เขายังคงสบถด่าไม่หยุด

“ฮัวจิ๋นถึงถ้าแกแน่จริง!

มีปัญญาปกป้องไอ้สวะฉู่เทียนเจียงนั่นทั้งชาติก็ลองดู ไม่ขอโทษใช่ไหม รอก่อนเถอะ จะต้องมีวันที่ พวกแกร้องไห้น้ำตานองหน้าสักวัน การยกเลิกสัญญาของ โรงงานอิฐเป็นแค่ก้าวแรกเท่านั้นแหละ

“ยังมีอาสามกับอาสะใภ้สามอีก พวกอาแกจนเลอะเลือนแล้ว ใช่ไหม เทียนเจียไอ้สวะนั่น เข้ากองทัพไปสู่ปีพึ่งกลับมายังไง เขาก็เป็นแค่สวะอยู่วันยังค่ำ พวกอานะ…..ก! ”

ฮัวว่านางที่กำลังด่ากราดอยู่นั้น ใบหน้าเปลี่ยนไปครั้งแล้วครั้ง เล่า ท้ายทอยของเขามีใครบางคนใช้แรง ทำให้เขากระเด็นปลิว ออกไป ล้มจนปากแตก

พอเห็นฉู่เทียนเจียงกลับมา อีกทั้งไม่พูดอะไรสักคำก็ตรงเข้า ปิดประตูทันที ฮัวว่านางค่อยๆยืนขึ้น รีบวิ่งหนีออกไปอย่าง ทุลักทุเล

“กูจะปล่อยให้มึงหยิ่งยโสโอหังอีกไม่กี่วันหรอก แกเตรียมตัว รอตายได้เลย”

พอเข้ามาในบ้านแล้ว เทียนเจียงก็ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิด ขึ้น ตรงเข้าไปอุ้มขึ้นมาทันที

“อีอีครับ คุณพ่อเล่นเป็นเพื่อนหนูนะครับ”

อีอีใช้มือสองข้างหยิบของบางอย่างออกมาจากด้านหลัง เป็น รถถังของเล่นคันหนึ่งขนาดประมาณครึ่งกำปั้นเห็นจะได้

“หึ! อาเล็กเป็นคนไม่ดี แต่…..เขาคืออาเล็ก หนูเอารถถังคัน ใหญ่ตีเขาไม่ได้ แต่ถ้าไม่ได้ ก็ปกป้องคุณแม่ไม่ได้”
“เขาเลย พ่อสนับสนุนหนูเต็มที่เลย

พอได้ยินคำพูดนี้แล้ว ฮัวจิ๋นถึงก็รีบแย่งตัวออกจากเขา ทันที แล้วกล่าวตำหนิ

“มีใครสอนลูกอย่างนี้นะ? คุณพึ่งออกมาจากกองทัพ ก็รู้จัก ใช้กำลังแล้วหรอ? ยังคิดว่าตัวว่านถึงทำกับครอบครัวของเราไม่ โหดร้ายพอใช่ไหม? ”

เรื่องการสอนลูกสาว เทียนเจียงพึ่งรู้สึกตัวว่าเป็นจุดด้อยของ

ตัวเอง เขาจึงไม่อาจตอกกลับไปได้

แต่ตัวว่านถุงยังกล้าเข้ามาได้ แน่นอนว่าเขาไม่มีทางนิ่ง นอนใจเป็นแน่ หลังจากมองอยู่ครู่หนึ่ง ถึงพูดขึ้นมาว่า

“คุณพ่อคุณแม่ครับ เมียจ๋า พรุ่งนี้เวลาสิบโมงเช้า อารอ งกับฮัวว่านางจะต้องเข้ามาขอร้องอ้อนวอนให้พวกเรากลับไป ร่วมงานด้วยแน่นอนครับ”

ทั้งสามถอนหายใจออกมา ขี้เกียจพูดแล้วจริงๆ จึงต่างแยก

ย้ายไปทําภารกิจของตัวเอง

ให้ครอบครัวนั้นมาขอร้องอ้อนวอนพวกเราเนี่ยนะ? ชาตินี้ก็ ไม่มีทางเป็นไปได้หรอก


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ