บทที่ 3 เก็บเด็กน้อยมาหนึ่งคน
สามนาทีผ่านไป
เฉียวเมิ่งเยวมองดูเด็กตัวน้อยที่นั่งอยู่บนตักของตัวเอง ไม่ ได้เลยว่าเธอกับหยางเสว่หลินนั้นมานั่งอยู่ในรถมาเซราติของเห อลั่วได้ยังไง
และเสี่ยวเป่าก็เหมือนจะติดกับตัวของเธอ ไม่ยอมห่างเลย แม้แต่นาทีเดียว
เฉียวเมิ่งเยวสังเกตเห็นสายตาที่สับสนของหยางเสร่หลิน ไม่ อยากจะคุยเรื่องซุบซิบกับเธอตอนนี้เลยจริงๆ
ไม่นานเมื่อใกล้จะถึงที่พักของหยางเสาหลิน เฉียวเมิ่งเยว่ก็ยก สิ่งที่อยู่บนตักของตัวเองมาวางลงตรงที่นั่งข้างๆ เตรียมที่จะลง รถไปพร้อมกับหยางเสาหลิน
หยางเสาหลินกลับชิงปิดประตูรถก่อน “บ้านฉันไม่มีห้องว่าง สักหน่อย เธอจะตามลงมาด้วยทําไม?”
ในตอนนั้น เธออยากจะบีบคอคนโง่ที่ไม่สมเหตุสมผลคนนี้ให้
ตายจริงๆ
ไอคิวกับอีคิวโดนหมากินไปหมดแล้วหรือไง?!
เธอมองไปทางด้านเห้อ ถั่ว พบว่าเห้ออี้ลัวก็กำลังมองมาที่
เธอ
ในสายตาที่มองมาบ่งบอกถึงความเศร้า
“กลัวผมหรอ?” เห้อลั่วถามขึ้นเสียงเบา
“คุณคิดมากไปแล้ว”
“ที่อยู่บ้านคุณ?”
เฉียวเมิ่งเยวก็ขี้เกียจอ้อมค้อม หลังจากบอกที่อยู่เสร็จ ก็หันหัว
มองออกไปทางนอกหน้าต่าง
หัวของเสี่ยวเป่าหมอนลงบนตักของเธอ และนอนหลับต่อไป
หลังจากที่เฉียวเมิ่งเยวกลับมาถึงบ้าน ในหัวของเธอก็ฉาย ภาพสายตาของเห้อลั่วขึ้นโดยอัตโนมัติราวกับเป็นเครื่องฉาย ภาพ น่ารําคาญและหัวใจก็เต้นแรงขึ้นแบบผิดปกติ
เรื่องที่เจอกับเห้ออลั่ว และเสี่ยวเป่าเมื่อตอนเย็น คงจะเป็น เรื่องบังเอิญแหละ?
แต่ความจริงพิสูจน์ให้เห็นว่าไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
**
ในวันหยุดสุดสัปดาห์ เป็นโอกาสหายากที่เฉียวเมิ่งเยวจะได้ นอนตื่นสาย กลับถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาด้วยเสียงเคาะประตูที่ดัง อย่างต่อเนื่อง
เฉียวเมิ่งเยว่เลยผมสองสามที เปิดผ้าห่มลุกขึ้นมาอย่าง
เปิดประตูบ้านออก ก็พบว่าคนที่ยืนอยู่ก็คือป้าหวางที่พักอยู่ฝั่ง ตรงข้าม
“ไม่ใช่ฉันอยากจะว่าคุณหรอกนะ คุณเป็นแม่ประสาอะไรกัน? ไม่ว่าเด็กจะทําผิดอะไรไป ก็ไม่ควรไล่เด็กออกมาจากบ้านในวัน อากาศหนาวแบบนี้ หากเกิดอะไรขึ้นมา คุณจะมาเสียใจทีหลัง ก็สายเกินไปแล้วนะ!” เมื่อป้าหวางเห็นเฉียวเมิ่งเยวก็อดไม่ได้ที่ จะนําหนิเธอ
เฉียวเมิ่งเยวในหัวมืดสนิท “ป้าหวาง คุณพูดช้าลงหน่อย เด็ก อะไร มีเด็กมาจาไหนกัน?
ป้าหว่างมองเฉียวเพิ่งเยวอย่างดูถูก ขยับไปด้านข้างหนึ่งก้าว เผยให้เห็นเด็กที่ยืนอยู่ด้านหลัง
แน่ว่าว่าเด็กคนนั้นก็คือเสี่ยวเป่า
เขาสวมแค่ชุดที่ใส่อยู่ในบ้านตัวบางๆ ที่เท้าก็สวมรองเท้า สลิปเปอร์
แก้มทั้งสองกับจมูกเย็นแดงเป็นสีชมพู ทั้งดูน่ารักและน่า
สงสาร
เฉียวเพิ่งเยว่เห็นว่าป้าหวางกำลังจะพูดต่อ ก็รีบอุ้มเดี่ยวเป่า เข้าบ้านไป “ขอบคุณนะคะป้าหวาง ลำบากคุณแล้วจริงๆ
พูดจบ เฉียวเมิ่งเยว่ก็รีบปิดประตูอย่างเรียบร้อย
หลังจากนั้นก็มองไปที่ประตูใหญ่แล้วหายใจเข้าลึกๆไปสอง
สามครั้ง
จนกระทั่งมีรอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเธออีกครั้ง จึงจะ หันกลับมาถามด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง “เด็กน้อย เธอมาทีนี้คน เตียวหรอ?”
เสียวเป่ามือไปมาอย่างชั่งใจ ก้มหน้าลง และไม่มีการตอบ สนองอะไร
เฉียวเมิ่งเยวมองดูท่าทางน้อยๆของเขา ก็นึกถึงตัวเองในอดีต ขึ้นมา
เธอก้มลงไปอุ้มร่างเล็กของเขาขึ้นมา วางลงบนโซฟา และใช้ ผ้าห่มผืนเล็กห่อตัวเขาไว้
เสียวเป่าก็ลืมตาสีดำราวกับลูกองุ่นคริสตัลมองไปที่เฉียว เพิ่งเยว่ ปล่อยให้เธอทำอยู่อย่างนั้น เหมือนกับตุ๊กตาพอร์ซเลน
ท่าทางที่น่ารักนั้น ราวกับสามารถละลายหัวใจคนอื่นได้เลย จริงๆแล้วเฉียวเมิ่งเยว่อยากจะถามเขามากว่ารู้จักที่อยู่ของ
เธอได้ยังไง และมาถึงที่นี่ได้ยังไง
หลังจากจับแก้มเย็นๆทั้งสองข้างของเขาแล้ว ก็ไม่อยากที่จะ ถามอะไรอีกเลย
หลังจากเฉียวเมิ่งเยวมั่นใจแล้วว่าไม่มีแขน และขาของเขา เล็ดลอดออกมาอีก ก็ยิ้มแล้วพูดขึ้น “หิวหรือยัง? คุณน้าทำ อาหารเช้าให้กิน ดีไหม?”
เสียวเบาพยักหน้าตอบ
“อยากกินอะไรดี ?
มือเล็กของเสียวเป่าขยับไปมาในผ้าห่มผืนเล็ก
เฉียวเมิ่งเยว่รู้ว่าเขาต้องการหาอะไร ดังนั้นเธอจึงหยิบสมุด บันทึกกับปากกาออกมาจากลิ้นชัก แล้ววางไปที่มือเล็กๆของ เสียวเป่า
เสี่ยวเป่าตั้งใจวาดเขียนลงบนกระดาษ แล้วยืนกลับไปให้ เฉียวเมิ่งเยว่
เฉียวเมิ่งเยว่เห็นข้อความที่ยื่นมาให้ตรงหน้า
อักษรบนข้อความง่ายมาก
มะเขือเทศผัดไข่ ปลาหอมผัดหมูหยอง
ตัวอักษรเล็กๆ ยึกยัก แต่เรียบร้อย
จากตัวอักษรเหล่านี้ยืนยันได้ว่า สติปัญญาของเสียวเป่าไม่มี ความบกพร่องแต่อย่างใด แม้แต่ไอคิวของเขาก็เยอะกว่าเด็กใน รุ่นเดียวกันอีกด้วย
เด็กอายุห้าขวบไม่สามารถรู้จักคำเหล่านี้ได้แน่ ยิ่งไม่ต้องพูด
ถึงการเขียนด้วยมือเลย
แล้วทำไมเขาถึงไม่พูดหละ?
เพราะไม่อยากพูดหรือว่าพูดไม่ได้กัน?
เฉียวเมิ่งเยว่เรียกกลับความคิด ยิ้มแล้วพูดขึ้น: “คุณน้าไม่ แน่ใจว่าในตู้เย็นจะมีวัตถุดิบครบไหม เธอรอก่อนนะ”
เสียวเป่าพยักหน้าอีก
เฉียวเมิ่งเยวขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วลงมาที่ครัว
ผักสองอย่างกับน้ำซุปอีกหนึ่งถ้วยก็ว่าลงบนโต๊ะอย่างรวดเร็ว และเธอยังอุ่นนมร้อนๆไว้ให้เสี่ยวเป่าอีกหนึ่งแก้ว
แววตาของเสี่ยวเป่าเปล่งประกายออกมาเมื่อเห็นอาหารที่วาง บนโต๊ะ ไม่ต้องรอให้เฉียวเมิ่งเยว่เรียกเขา
เขาก็รีบมานั่งที่โต๊ะอาหารอย่างเชื่อฟัง มองเฉียวเมิ่งเยวที่
กำลังยุ่ง
เฉียวเมิ่งเยวตักข้าวให้เขาน้อยๆหนึ่งจาน แล้วยังตักซุปให้อีก หนึ่งถ้วยเล็กๆ
เสี่ยวเป่าหยิบซ้อนขึ้นมาแล้วเริ่มกินอย่างเงียบๆ
เฉียวเมิ่งเยวมองท่าทางขณะที่เขาจดจ่ออยู่กับการกินข้าว ใน ใจก็เกิดความรู้สึกขึ้นหลายอย่างมาก
จนกระทั่งเสี่ยวเป่ากินข้าวจนอิ่ม เฉียวเพิ่งเยวก็พูดขึ้น “เด็ก น้อย คุณน้าขอเบอร์โทรศัพท์ของคุณพ่อหรือของคุณพ่อบ้าน หน่อยได้ไหม?”
จากสีหน้าที่ผ่อนคลายของเสี่ยวเป่าก็เปลี่ยนเป็นสีหน้าที่ มืดมนขึ้นมา
ในดวงตาสีดำที่เปล่งประกาย ที่เอ่อล้นไปด้วยน้ำตา
เฉียวเมิ่งเยวยืนมองรถมาเซลาดเคลื่อนออกไปไกลขึ้นเรื่อยๆ จากบนระเบียงของบ้าน ในใจไม่มีความรู้สึกผ่อนคลาย เมื่อนึกถึงสีหน้าของเสี่ยวเป่าเมื่อกี้นี้แล้ว เธอรู้สึกเหมือนตัว
เองได้ทำในสิ่งที่ไม่น่าให้อภัยลงไป ความรู้สึกผิดในใจก็เอ่อล้น
ออกมา
แต่เธอก็คิดว่าสิ่งที่เธอนั้นก็ไม่ได้เป็นเรื่องที่ผิดอะไร
เธอชอบความสัมพันธ์ระหว่างแพทยกับคนไข้ที่เรียบง่าย
คนไข้เข้ารักษาในโรงพยาบาล เธอก็จะเป็นแพทย์ที่มีความมือ อาชีพและมีความสามารถ เมื่อคนไข้ออกจากโรงพยาบาลไป แล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างเธอและเขาก็จบลง
เธอไม่ต้องการที่จะเป็นเพื่อนกับผู้ป่วย
และเธอก็คิดว่าไม่มีเหตุผลที่จะต้องไปเป็นเพื่อนกับพวกเขา
น้ำตาของเสี่ยวเป่าทำให้เธอรู้สึกผิด
ในตอนที่เสี่ยวเป่าได้ยินเธอขอเบอร์โทรศัพท์ของเห้อลั่ว เขา ได้โยนกระดาษให้เธอหนึ่งแผ่นแล้วก็วิ่งออกไปเลย
จนกระทั่ง โทรหาเห้ออี้ลัวเสร็จแล้ว เธอถึงจะลงลึกไป แอบมองแผ่นหลังที่โดดเดี่ยวของเสี่ยวเป่าจากในมุมอย่าง
เงียบๆ
มีหลายครั้ง ที่เธออยากเดินไปโอบกอดร่างเล็กๆของเขาไว้
แต่สุดท้ายเธอก็ไม่ได้ทำ
เธอไม่อยากให้เสี่ยวเป่ามาปรากฏตัวในชีวิตของเธอบ่อยๆ เพราะเธอไม่มีความรักและความอดทนมากพอที่จะแสดงความ อบอุ่นกับเด็กแปลกหน้าหลังเลิกงาน
โดยเฉพาะกับเด็กที่จะต้องใช้พลังงานอย่างมากไปดูแลอย่าง เสี่ยวเป่า
เฉียวเมิ่งเยวส่ายหน้าแล้วเดินกลับไปที่ห้องรับแขก หยิบ หนังสือ (ปิ้งหลี่เสวีย) ขึ้นมาอ่าน
หลังจากนั้นไม่นานโทรศัพท์ที่วางอยู่ข้างๆ ก็ดังขึ้น
เฉียวเมิ่งเยวหยิบขึ้นมาดูก็พบว่ามีคนเพิ่มเธอเป็นเพื่อนใน
แซท
เมื่อเฉียวเมิ่งเยว่เห็น “โจวจื่อหยาง” สามคำนี้มือของเธอก็สั่น
เทา ไม่มีการกดยอมรับ
เธอเอาหน้าจ่อไปที่โซฟา ตั้งสติแล้วโฟกัสไปที่หนังสือ แต่ก็ไม่ สามารถอ่านต่อไปได้อีก
โจวจื่อหยางอยากจะเพิ่มเพื่อนเธอไปทำไมกัน?
พอเรียนจบกลับมาเลยอยากจะพบเพื่อนเก่า หรือว่าอยากดู ว่าที่ผ่านมาเธอใช้ชีวิตได้น่าสมเพชแค่ไหน
ภายในรถมาเซราติ
ตัวใหญ่และตัวเล็กสองคน คนหนึ่งนั่งอยู่ด้านหน้าอีกคนก็นั่งอยู่ด้านหลัง
อากาศภายในรถถูกแทนที่ด้วยแรงกดดันจากทั้งสองคน บรรยากาศตึงเครียดซะจนราวกับว่าจะระเบิดใต้ภายในอีกไม่กี่ วินาที
เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ