บทที่ 12 มื้อดึก
บทที่ 12 มื้อดึก
หยิ่นยืน พูดพึมพำ : “แค่ไอดอลวัยใสที่กำลังดังเท่านั้น อายุเพิ่งจะเต็ม 20 เมื่อเร็วๆนี้พวกเราเพิ่งจะให้เขาเป็นรับ บทนําในภาพยนตร์
“มีรูปไหม? ผมอยากดูว่าน้องสาวตัวน้อยชอบผู้ชายแบบ ไหนกัน” เฉียวสวนผู่ ไม่มีความคิดจะกินแล้ว เขาถาม ภรรยาที่รักด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม ใบหน้าของ แม่ยายก็เปล่งปลั่ง
หยื่นยิน เหลือบมองเขา และหยิบโทรศัพท์แล้วบ่น พึมพำ : “ขี้เม้าท์จริงๆเลย”
หลังจากนั้นจึงเปิดรูปถ่ายที่หน้าจอส่งให้เฉียวสวน
เฉียวสวนผู่ มองดูรูปถ่าย แล้วคิ้วของเขาขมวดเป็นวง สีหน้าก็เปลี่ยนไป เขาดันแว่นตาออกอย่างไม่เชื่อสายตา แล้วพึมพำ : “น้องสาวตัวน้อยมีสายตาแบบไหนกัน? ถึง ได้ชอบผู้ชายประเภทนี้ได้? ผอมยิ่งกว่าผม แค่ลมพัดก็ ปลิวแล้ว ใบหน้ารูปแตงเรียวยาวเป็นสาวสวยเลย ผมยาว จนผมนึกว่าเป็นผู้หญิงเสียอีก”
หยิ่นยืน หัวเราะเยาะแล้วตะคอก : “เฮ้ ตอนนี้พวกเด็ก สาวๆชอบหนุ่มน้อยวัยใสกันทั้งนั้น”
เฉียวสวนผู่ มอง หยิ่นยืน อย่างจริงจังเป็นอันมาก : “งั้น แล้วคุณล่ะ?”
หยิ่นยิน ไม่ได้หลบเลี่ยงแม้แต่น้อย : “ในแง่ของ บุคลิกภาพ ฉันชอบคุณมากที่สุดค่ะ ในแง่ของรูปลักษณ์ แบบน้องสามที่จะเรียกว่าชายแท้…”
พูดแล้ว สายตาของ หยิ่นยิน กับเฉียวสวนผู่มองไปยังฝั่ง ตรงข้าม ผลลัพธ์คือคนไปแล้วมีแต่เก้าอี้ว่างเปล่า น้ำซุป ยังเหลืออีกครึ่งชามยังดื่มไม่หมด
“น้องสามล่ะ?” เฉียวสวนผู่ ตกใจ
เฉียวอีชวน ชี้ไปที่ชั้นสอง : “เดินหน้าดำออกไปแล้ว” ทุกคนมองหน้ากัน
และไม่มีข้อสรุป
ทุกคนกินไปพลางพร้อมกับพากันถกเถียงถึงคำ สรรพนามใหม่ที่เรียกว่า “ไอดอลวัยใส” ไปพลาง
ตั้งแต่เกิดมา ครั้งนี้ ป๋ายโร่ซี เพิ่งจะได้สัมผัสสิ่งที่เรียกว่าการไล่ตามดารา ที่แท้ก็คือพวกโรคจิตที่คอยสะกด รอยตาม ในที่สุดก็ลงจากรถ ผลสุดท้ายก็ถูกพวกร่วม ชั้นคนนั้นลากเข้าไปดูคอนเสิร์ตของไอดอลคนนั้นอย่าง กระตือรือร้น
หลังจากจ่ายเงินเดือนครึ่งเดือนของเธอแล้ว ก็ได้เข้าไป ฟังเสียงร่ำไห้ของผีสางและหมาป่าตลอดทั้งคืน และมอง ดูการเต้นรำของกลุ่มปีศาจ เธอไม่รู้จริงๆว่าจะชื่นชมการ เต้นที่บ้าบอแบบนั้นได้อย่างไร และยิ่งไม่อาจจะชมเชย เพลงที่ราวกับบทสวดและสไตล์ฮิปฮอปพวกนั้นด้วย
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือสาวรอบๆตัวเธอได้หลุดโลกไปแล้ว เสียงกรีดร้องนั้นทําให้แก้วหูเกือบจะทะลุ
ทั้งเหนื่อยทั้งหิวเมื่อกลับไปถึงบ้านกลางดึก ลากสังขาร ที่เหนื่อยล้า จนถึงห้องครัวอันมืดมิด แล้วเปิดตู้เย็น
ภายในตู้เย็นมีทุกอย่างที่ต้องการ
เธอหยิบขนมปังออกมาสองแผ่นแล้วยัดเข้าไปในปาก จากนั้นกระแทกปิดตู้เย็นลง
เมื่อหันหลังกลับ ก็ชนเข้ากับกำแพงที่เป็นเนื้อ “โอ๊ย?” ความเจ็บปวดทําให้เธอเปล่งเสียงแหลมออกมาจากลำคอ หัวใจเต้นแรงด้วยความตกใจ พร้อมกับยืนแนบชิดตู้ เย็นด้วยความหวาดกลัว แล้วเงยหน้ามองว่าเป็นผีแบบ ไหนกัน
แสงจันทร์ด้านนอกส่องสว่าง แสงไฟจากด้านนอกทำให้ เห็นโครงสร้างของห้องครัว แต่ว่ามีแผ่นหลังเงาดำยืนกั้น ไว้ ปิดกั้นแสงทั้งหมด
เธอมองไม่เห็นใบหน้าของอีกฝ่าย แต่สามารถวิเคราะห์ ได้ว่าร่างสูงหนึ่งร้อยแปดสิบเซนในบ้านนี้มีสามคน แต่ ว่าร่างกายที่แข็งแรงและสวยงามและยังมีกล้ามอกที่แข็ง แรงราวกับหินมีเพียงคนเดียว
นั่นคือผู้ชายที่เธอกลัวมากที่สุด–เฉียวสวนโส้
เธอมองเห็นเขาในตอนกลางวันก็ตื่นตระหนก ตอนกลาง คืนยิ่งรู้สึกน่ากลัวและอันตรายอย่างยิ่ง
ป่ายโร่ซีรู้สึกสยองจนเท้าอ่อนยวบ แต่ทั้งตัวแข็งทื่อ ขยับไม่ได้ เธอกัดขนมปัง ดวงตาเบิกกว้างจ้องมองเงานี้ เหมือนกับเสือดาวที่ออกล่าสัตว์ยามค่ำคืน เพียงแค่เธอ ขยับเพียงเล็กน้อยก็จะถูกคมเขี้ยวขย้ำที่คอ กลายเป็น อาหาร
ทันใดนั้นเงาดำที่มองเธออยู่สักพักเอื้อมมือออกมา
ป่ายโร่ซีสะดุ้งตกใจหลับตาปี่ หดคอลงแล้วกลัวตัวสั่น อยากจะร้องตะโกนแต่ในปากก็มีขนมปัง
ในใจต่อสู้ดิ้นรน : เขาคิดจะทําอะไร? เขาจะทำอะไร กันแน่? ฆ่าแล้วหั่นศพ? หรือว่าจะทุบตีเธอในความมืด? เพราะรู้ว่าเธอสะกดรอยตามถังลี่เต๋อ จึงต้องการลงโทษ เธอ?
ในเสี้ยววินาทีที่ชายหนุ่มเอามือแตะไหล่เธอนั้นราวกับ ถูกสายฟ้าฟาด แต่ยังไม่ทันที่เธอจะมีปฏิกิริยาตอบสนอง ตัวที่แข็งทื่อของเธอถูกผลักออกอย่างรุนแรง ชายหนุ่ม พ่นคำพูดออกมาอย่างเย็นชา
“อย่ามาขวาง”
ป้ายโร่ซี ถูกชายหนุ่มที่หยาบคายผลักออกไปข้างหน้า สองสามก้าว จนคว่ำลงบนโต๊ะในครัว ท้องถูกฟาดจนรู้สึก เจ็บ เห็นได้ชัดเจนว่าหยาบคายกับเธอมากกว่าเดิมจนผิด ปกติ
แต่เธอก็โล่งใจเช่นกัน
ที่แท้เขาเพียงแค่จะเปิดตู้เย็น
ป้ายโร่ซีหยิบขนมปังแล้วลงมายืนอย่างมั่นคงก็หันกลับ มา มืออีกข้างถูท้องไปด้วย พลางมองไปที่เฉียวสวนโส้ที่กำลังเปิดตู้เย็น
ไฟของตู้เย็นส่องสว่างขึ้นมา เขาสวมเสื้อผ้าสบายๆ ดู เท่ห์และหล่อเหลา ความน่าเกรงขามลดลงไปเล็กน้อย แต่มีความสบายๆมากขึ้น แต่ยังคงไม่สามารถเปลี่ยนท่าที อันเย็นชาของเขาได้
“พี่สาม ทำไมคุณถึงไม่เปิดไฟล่ะ?” ป้ายโร่ซี พูดด้วยน้ำ เสียงข้องใจ
“ทำไมเธอไม่เปิดล่ะ?” เฉียวสวนโส้หยิบของบางอย่าง ออกมาโดยไม่แม้แต่จะหันไปมองเธอ
ป้ายโร่ซี เอามือถูท้องด้วยความโกรธ ถ้าเขาเห็นเข้าจะ เป็นยังไง? ผู้ชายคนนี้ไม่ลดตัวลงมาขอโทษหรอก เธอไม่ จำเป็นต้องปิดบังก็ได้
ถึงจะไม่เต็มใจอย่างมาก แต่เธอก็ยอมรับในชะตากรรม ของตัวเอง มาถึงตำแหน่งของปลั๊กไฟแล้วเปิดไฟ
ห้องครัวขนาดใหญ่สว่างไปทั่วในพริบตา
ป้ายโร่ซีหมุนตัวหนีไปอย่างคนอยู่เป็น ไม่กล้ายั่วยุเขา และทำไม่ได้ด้วย
ทันใดนั้นชายหนุ่มก็ส่งเสียงออกคำสั่ง : “หม้ออยู่ตรง ไหน? หามา “”
ป้ายโร่ซี ตกใจและหันกลับมา พบว่า เฉียวสวนโส้ ปิด ตู้เย็นเรียบร้อยแล้ว และยืนหันหลังให้กับเตาไฟ เผชิญ หน้ากับเธอโดยไม่ขยับ
ที่นี่มีแค่พวกเขาสองคน ป้ายโร่ซี รู้ว่าเขาถามเธอ
เพียงแต่ว่าตำแหน่งที่หม้ออยู่ก็เห็นได้อย่างชัดเจน แล้ว ยังจะถามเธออีกทำไม?
ป้ายโร่ซี เอาขนมปังเข้าไปในปาก แล้วเดินไปหยิบหม้อ ผัดให้กับเขา
“ตะหลิว” หลังจากที่ชายหนุ่มได้หม้อแล้วก็ยังออกสั่ง
อย่างเย็นชา
ป๋ายโร่ซี หันไปหยิบตะหลิวอีกรอบ
“มีด เขียง”
“น้ำมัน”
“เกลือ”
ทุกครั้งที่เธอต้องการจะเดินออกไป เป็นอันต้องถูกเรียก กลับมาตลอด
ป่ายโร่ซี โกรธจนโยนขนมปังครึ่งชิ้นที่เหลืออยู่ในปาก หายเข้าไปในถังขยะ แล้วหอบเล็กน้อยถามเขาว่า : “คุณ เองก็มีมือกับตา ทำไมถึงสั่งฉันอยู่เรื่อย? เป็นคนชอบ เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาแบบนี้งั้นเหรอ? ต้องการอะไรกรุณา พูดให้จบในครั้งเดียวได้หรือเปล่าคะ?”
เฉียวสวนโส้ ไม่ได้เอาคำพูดของเธอใส่เข้ามาในหูเลย ราวกับเป็นลมพัดผ่านไปแล้วพูดออกเรียบๆว่า : “จาน”
“คุณ…”
ป้ายโร่ซี โกรธจนกัดฟันกรอด มากเกินไปแล้ว…ถึงแม้จะ มีปืนจ่อที่หัวของเธอ เธอก็จะไม่ช่วยเขาอีกแล้ว เขาจะมา ทำตัวคอยควบคุมอย่างไม่ถูกต้องแบบนี้ไม่ได้
ฝาหม้อเปิดออก แล้วมีกลิ่นหอมโชยออกมา ป่ายโร่ซี เพิ่งจะตัดสินใจ แต่ท้องกลับส่งเสียงร้องออกมาอย่างผิด หวัง
เธอรีบหาจานและส่งให้เขา ดวงตาจ้องมองเข้าไปใน หม้อ
ในหม้อเป็นก๋วยเตี๋ยวธรรมดาเท่านั้น แต่มีสีสันที่ดึงดูด ใจ และกลิ่นหอมอบอวล มีไข่ดาวที่เธอรักมากที่สุดอย่าง น้อยเจ็ดหรือแปดฟอง ไข่ดาวม้วนเป็นครีมซุปสีขาว มีทั้ง เนื้อ ทั้งผักและเส้นบะหมี่
เธอไม่มีอารมณ์ไปในชั่วพริบตา และกลืนน้ำลายลงท้อง
“พี่สาม คุณทำมื้อดึกมากมายขนาดนี้เลย จะกินหมดเห รอ?” เธอหิว แรงก็ไม่มี ไม่ต้องพูดถึงเรื่องความทระนงตัว เลย
กินไม่หมดหรอก” เฉียวสวนโส้ หยิบออกมาแล้วนั่งลง ข้างๆโต๊ะกินข้าวเล็กๆ
ครั้งนี้ป่ายโร่ซี ไม่รอฟังคำสั่งของเขา หาตะเกียบได้แล้ว ก็ส่งให้ทั้งสองมือ น้ำเสียงก็นุ่มนวลลง : “ถ้าหากคุณกิน ไม่หมด ให้ฉันได้หรือเปล่า?”
เฉียวสวนโส้ รับตะเกียบจากเธอ เย็นชาราวกับนั่งอยู่บน ภูเขาน้ำแข็ง ก้มหน้าก้มตากินก๋วยเตี๋ยวบนโต๊ะไม่สนใจ เธอ
เธอเป็นคนที่อ่อนโยนขนาดนี้แล้วก็ยังไม่เห็นว่าเขาจะ สงสารสักนิดเลย
เจ็บปวดมาก เจ็บปวดเหลือเกิน
หลายคนในครอบครัวบ้านตระกูลเฉียว รักและ ทะนุถนอมเธอ และมีหลายคนไม่ชอบเธอ แต่ไม่มีใครที่ เย็นชาและไร้ความรู้สึกเหมือนเขา ปฏิเสธคนอื่นได้ถึง เพียงนี้
เธอสูดหายใจลึก รู้สึกหดหู่อย่างมาก แล้วพูดพึมพำว่า : “ถ้าไม่พูด ฉันถือว่าพี่อนุญาตแล้วนะ”
เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ