Chapter 7 : อีกมุมหนึ่งของกันและกัน
ฉันรีบมาตามนัดที่คุณ แซมบอก และตอนนี้ฉันก็มายืน อยู่หน้าโรงแรม H แล้ว…
“หวังว่าเขาคงไม่ได้ให้ฉันมาเจอใครอีกหรอกนะ ไม่ได้ แต่งตัวมาด้วยสิ” ฉันพึมพำกับตัวเองเบาๆ แล้วก้มดูสภาพ ตัวเอง เสื้อผ้าธรรมดาๆ แบบนี้แหละ…มะลิตัวจริง
ฉันได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจ สองขาก้าวเข้าไปยัง อาณาจักรหรูหราของโรงแรมตระกูลดัง ฉันเดินไปขึ้น ลิฟต์อย่างรู้งาน พนักงานที่คุณดีแซมบอกคงจะรอฉันอยู่ ชั้นบนสุดของโรงแรมแล้ว
ฉันกดปุ่มชั้นที่ต้องการแล้วกดปิดประตูลิฟต์เมื่อแน่ใจ แล้วว่าไม่มีใครเข้ามาด้วยกันแล้ว ในใจนึกภาวนาขอให้ มีคนขึ้นลิฟต์เป็นเพื่อนฉันสักคนก็ยังดี ยืนอยู่ในลิฟต์คน เดียวแบบนี้ภาพผีในลิฟต์จากหนังเรื่องหนึ่งก็แวบเข้ามา ในหัวพาลเอาฉันต้องยืนหลังชิดผนังด้วยความกลัว
ฮึยยยย~ ขนลุกอ่ะ
ความจริงแล้วฉันไม่ใช่คนกลัวผีหรอก ตั้งแต่เรียน พยาบาลมาพวกรุ่นพี่ก็เล่าเรื่องผีให้ฟังตลอด จนบางครั้ง ฉันอยู่คนเดียวเรื่องผีมันก็แล่นเข้ามาในหัวขึ้นมาดื้อๆ เป็น แบบนี้บ่อย ๆ มันก็ต้องมีหวั่นกันบ้างแหละน่า
ฉันยืนมองหมายเลขลิฟต์เลื่อนขั้นตามชั้นต่าง ๆ อย่าง ใจจดใจจ่อ ความรู้สึกตอนนี้สำหรับฉันแล้วการวิ่งขึ้น บันไดหนีไฟอาจจะเร็วกว่าด้วยซ้ำ
และแล้วฉันก็ขึ้นมาถึงชั้นบนสุดของโรงแรมแล้ว…
พอประตูลิฟต์เปิดออกเท่านั้นแหละ ฉันก็วิ่งพรวดพราด ออกจากลิฟต์ไปจนพนังงานชายคนหนึ่งที่ยืนรออยู่ใกล้ๆ ประตูลิฟต์ยังตกใจไปตามๆกัน
“สะ…สวัสดีค่ะ ^^” ฉันเอ่ยทักทายคนตรงหน้าแก้เก้อ พลางก้มหัวให้เขานิดๆ
“สวัสดีครับ ^^” บริกรคนนั้นยกมือไหว้ฉันพร้อมรอยยิ้ม
เป็นมิตร
“ฉันมาหาคุณดีแซมค่ะ”
“เชิญทางนี้ครับ”
บริกรเดินนำไป ฉันจึงเดินตามเขาไปอย่างว่าง่าย ชั้นสี่สิบคือชั้นสูงสุดของโรงแรมนี้ บนชั้นนี้ไม่มีคนพลุกพล่านเหมือนชั้นอื่น ๆ ซึ่งถูกจัดตกแต่งอย่างหรูหรา ของแตกแต่งต่าง ๆ ทั้งนำเข้าจากต่างประเทศและใน ประเทศดูมีราคาจนฉันทำได้เพียง แค่เชยชมความงาม ของมันไกล ๆเท่านั้น เกิดฉันซุ่มซ่ามทำของเขาพังมา อีกคราวนี้คงต้องไปนอนเล่นในตารางอยู่เป็น เพื่อนคุณ ตำรวจแน่ ชั้นนี้เลิศหรูอลังการราวกับว่าคนกระเป๋าหนัก เท่านั้นถึงจะสามารถขึ้นมา เหยียบบนนี้ได้
ฉันเดินตามพนังงานคนนั้นไปเงียบๆจนกระทั่งเขามาส่ง ฉันถึงที่หมาย…
ห้องอาหารชั้นบนสุดของโรงแรมที่ฉันเคยเห็นในทีวียัง สวยไม่เท่ากับสิ่งที่ฉันเห็น ตอนนี้เลยสักนิด…ฉันสามารถ มองเห็นวิวกรุงเทพฯยามค่ำคืนได้สามร้อยหกสิบองศา จากตรงนี้
บริกรคนเดิมผายมือไปทางใครบางคนซึ่งกำลังนั่งรอ ฉันอยู่ที่โต๊ะอาหาร…บนนี้ไม่มีใครนอกจากคุณดีแซม ฉัน และบริกรอีกห้าคนที่ยืนรอรับคำสั่งอยู่ไม่ไกล
“ขอบคุณนะคะ” ฉันบอกบริกรก่อนจะเดินเข้าไปหาคุณ ดีแซมท่ามกลางสายตาคมที่มองมา ฉันไม่รู้ว่าเขาโกรธ เปล่าที่ฉันมาช้า แต่ฉันก็รีบที่สุดแล้วนะ
“เธอมาช้าครึ่งชั่วโมง” คุณดีแซมเอ่ยเสียงนิ่งเมื่อฉันเดิน ไปหยุดอยู่ตรงหน้าเขา
“ขอโทษค่ะ ฉันรีบแล้ว” ฉันก้มหน้าหงุดอย่างรู้สึกผิด ฉัน รีบแล้วจริง ๆ นะ ก็เขาไม่บอกก่อนว่าวันนี้จะนัดฉันมาที่นี่ นี่นา ไม่งั้นฉันก็คงมาทันแน่
“เธอเถียงฉันอยู่ในใจแน่ ๆ” คุณดีแซมดักคอทัน
“ไม่ใช่ซะหน่อยค่ะ (-0-);”
“ฉันรู้ทันหรอกน่า ใช่มั้ยล่ะ?”
“ก็…ถ้าคุณบอกก่อนฉันคงจะเตรียมตัวมาดีกว่านี้ คุณ บอกกะทันหันเกินไปฉันก็เลย…” ฉันยอมรับตามตรง ไม่ ว่ายังไงคุณดีแซมก็จับไต๋ได้แล้วมันคงไม่มีประโยชน์จะ ปฏิเสธ ฉันเว้นประโยคไว้แค่นั้น ฉันรู้ว่าคุณดีแซมก็รู้ว่า ฉันหมายถึงเรื่องอะไร
“วันนี้ฉันโทรเรียกมะลิมาเจอ ไม่ใช่จัสมิน”
คุณดีแซมเน้นชื่อฉันให้ได้ยินกันชัดๆ นั่นทำให้ฉันรู้สึก ดีขึ้นมาทันทีเพราะรู้ว่าวันนี้เขาไม่ได้โทรเรียกฉันมาพบ ใคร เฮ้ออออ~ โล่งอก ฉันไม่อยากทำเรื่องงามหน้าให้ใคร เชยชมอีกแล้ว แค่กับคุณดริกสันฉันก็อายจนอยากเอา หน้ามุดดิน ความรู้สึกผิดมันคงติดใจฉันไปจนตายโน่น แหละ T_T จะว่าไปแล้วฉันยังโชคดีนะที่คุณดริกสันไม่ โกรธนะ
“คุณเรียกฉันมาเจอที่นี่มีอะไรหรือเปล่าคะ?”
“นั่งลงก่อนสิ” คุณดีแซมไม่ตอบ เขามองไปยังเก้าอี้ตรง ข้ามกับเขาเป็นการบอกให้ฉันนั่งลงตรงหน้า “วันก่อนเธอ ทำเรื่องแสบๆไว้กับพ่อฉัน ฉันก็เลยนึกได้ว่ามันเป็นความ ผิดฉันเองที่ลืมสอนเธอเรื่องมารยาทบนโต๊ะอาหาร
“ฉันต้องขอโทษคุณเรื่องนั้นด้วยนะคะ เป็นเพราะฉัน ซุ่มซ่ามเอง คุณพ่อคุณก็เลยซวยไปด้วย TT;;”
พูดแล้วอยากจะร้องไห้ ช่างขายขี้หน้าชาวบ้านซะจริง
“พ่อฉันชอบเธอมากนะรู้มั้ย”
“ไม่หรอกมั้งคะ” ฉันไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่คุณดีแซมพูดสัก เท่าไหร่
“จริง ๆ”
คุณดีแซมยืนยันเสียงหนักแน่น ฟังแล้วฉันก็รู้สึกดีนะ อย่างน้อยการพบผู้ใหญ่ครั้งแรกก็ทำให้ฉันรู้ว่าตัวเองยัง มีดวงอยู่บ้าง –
“งั้นเหรอคะ ฉันอยากทำขนมให้คุณพ่อคุณชิมจังอยากจะขอบคุณท่านน่ะค่ะที่ไม่โกรธฉัน ^^”
ฉันพูดจริงนะ สำหรับฉันแล้วการได้ทำอะไรให้คนอื่น ด้วยความตั้งใจไม่ว่าอะไรก็ตามเท่าที่คนอย่างฉันจะ ทําได้ ไม่จําเป็นต้องเป็นอะไรที่แพง ขอเพียงแค่เราทำ ด้วยใจจริงมันก็เป็นน้ำใจอย่างหนึ่งนะ ยายฉันสอนไว้
“พ่อฉันกลับอเมริกาไปแล้ว อีกไม่นานก็คงกลับมาเธอก็ ลองทำขนมไปให้เขาชิมดูก็ได้”
“จริงนะคะ *O*?” ฉันดีใจมากเลยที่คุณดีแซมไม่รังเกียจ
“อื้อ” คุณดีแซมพยักหน้านิดๆ “เอาล่ะมาเข้าเรื่องกันดี กว่า อีกไม่นานก็จะถึงงานเลี้ยงฉลองวันแก่วันแก่คืนของ แม่ฉันแล้ว”
“วะ…วันแก่วันแก่คืน หมายถึงวันคล้ายวันเกิดน่ะเหรอ
คะ?” ฉันถามกลั้วหัวเราะ
ถึงแม้ว่าคุณดีแซมจะพูดจิกคุณแม่ของเขาแบบนั้นไม่ใช่ เป็นเพราะว่าเขาไม่ชอบท่านหรอก แต่ฉันว่ามันคงเป็น นิสัยขี้เล่นของเขามากกว่า เขาคงสนิทกับคุณแม่เขามาก แน่ ๆ ฉันว่าลูกชายกับคุณแม่ที่มีมากกว่าความเป็นแม่ลูก ซึ่งเป็นทั้งเพื่อน หรืออะไรหลายๆอย่างฉันว่าน่ารักมาก เลยล่ะ
“ก็นั่นแหละ เธอยังไม่เจอแม่ฉันมันก็จริง ยังไงฉันก็ต้อง พาเธอไปแนะนำให้แม่ฉันรู้จัก ฉันไม่อยากให้เธอทำเรื่อง ขายหน้าอีก”
คุณดีแซมทำฉันพูดไม่ออกไปเลย T^T รู้แล้วน่าว่าทําให้ เขาขายหน้า แต่ก็ไม่ควรเอามาพูดให้ฉันรู้สึกแย่อีกรึเปล่า
“เอาล่ะ เรามาเริ่มกันจริงจังเลยดีกว่าจะได้ไม่เสียเวลา” ว่าแล้วคุณดีแซมก็หันไปพยัก หน้าส่งสัญญาณให้บริกร “ก่อนอื่นเลยเธอ ห้ามเอามือมาเกะกะบนโต๊ะ ห้ามเท้า แขน มือวางบนตัก นั่งสบายๆ ตัวตรงห้ามก้มหน้า ห้ามนั่ง ไขว่ห้างด้วย”
คุณดีแซมร่ายยาวมาเป็นชุดจนฉันฟังแทบไม่ทัน ฉัน พยักหน้ารับรู้แล้วทำตามเขาอย่างว่าง่าย ทำตัวว่านอน สอนง่ายกับผู้ชายคนนี้น่าจะเป็นผลดีต่อฉันมากที่สุด ฉัน คิดไว้ว่าอย่างนั้นนะ —
บริกรสองคนเดินหายเข้าไปสักพักในระหว่างนั้นคุณดี แซมจึงหยิบผ้าเช็ดปากมาคลี่ใน สภาพพับครึ่งก่อนจะ พาดไว้บนตักเขา ทุกการกระทำของคุณตรงหน้าฉันดู และทำตำไม่พลาดแม้แต่ขั้นตอนเดียว
บริกรเดินกลับมาพร้อมตะกร้าขนมปังและเนยเล็ก ๆ น่า รัก ๆ พวกเขาเดินเอามาวางไว้ด้านซ้ายมือทั้งของฉันกับคุณดีแซม ขนมปังน่าตาน่าทานมากจนพยาธิในท้อง ฉันเริ่มร้องเพลงแข่งกันเบาๆ
“ฉันจะไม่สอนละเอียดจนเป๊ะมากเพราะเธอไม่ได้เข้า ประกวดนางงามมารยาทงาม ฉันจะสอนแค่ให้เธอทาน แบบสากลเป็น มันก็จริงที่เป็นของกิน แต่ไม่ใช่ว่าสักแต่จะ เอาช้อนตักเข้าปาก เคี้ยว ๆๆๆ แล้วก็กลืน
“ที่เงียบเนี่ยเธอเข้าใจที่ฉันพูดมั้ยเนี่ย (-_-;;)?”
“เข้าใจค่ะ”
ที่ฉันเงียบเนี่ยไม่ใช่อะไร แค่กำลังทึ่งน่ะว่าการทาน อาหารทําไมมันจําเป็นต้องมีกระบวนการก่อนเข้า ปากมาก มายขนาดนั้นเลยเหรอ ถ้าเป็นอย่างนี้ฉันยอม กินข้าวราดแกงธรรมดาดีกว่า กินง่ายกว่ากันตั้งเยอะ อิ่ม ท้องเหมือนกันด้วย = =*
“ง่ายๆ เลยนะ ใช้มือนี่แหละ” คุณดีแซมเริ่มเข้าสู่การ สอนอย่างจริงจัง เขาหยิบขนมปังจากตะกร้ามาไว้บนจาน เขาจากนั้นทำการฉีกเป็นชิ้นพอดีคำ จากนั้นตักเนยจาก จานกลางด้วยมีดเนยกลางมาวางไว้บนจานตรงหน้าแล้ว จึงใช้มีด เนยของเขาทาบนขนมปังที่ฉีกแล้ว สุดท้ายเป็น ขั้นตอนที่ฉันชอบมากที่สุดก็คือเอาเข้าปาก
เมื่อทําให้ฉันดูเป็นตัวอย่างแล้วคุณดีแชมจึงนั่งมองลูก ศิษย์บ้าง การรับประทานขนมปังของฉันผ่านไปได้สวย
“จำไว้ว่าบริกรจะเอาขนมปังมาเสริมซ้ายมือเธอเสมอ อย่าเผลอไปหยิบทางขวามือล่ะ นั่นคือเธอเผลอไปหยิบ ของคนอื่นมากินแล้ว” คุณดีแซมอธิบายรายละเอียดอีก ครั้ง ไม่ใช่เรื่องเล่นๆเลยนะเนี่ยเรื่องทานอาหารแบบสา กลเนี่ย มันค่อนข้างยิบย่อยนะฉันว่า
“อ๋อ โอเคค่ะ”
ต่อไปเป็นซุป บริกรเดินมาเสิร์ฟตรงหน้าเราทั้งคู่…
“การทานซุปเราสามารถจับหูทั้งสองข้างของถ้วยซุปยก กินได้ในกรณีที่เป็นซุปใส แต่วันนี้ฉันจะสอนให้เธอใช้ ช้อน”
“(–)(–)(–)(-_)”
“วิธีก็คือให้ตักซุปไปข้างหน้าหรือตักออกจากตัว แล้วเรา จะกินจากข้างช้อนแบบนี้ เราจะไม่เอาช้อนเข้าทั้งปาก ถ้า แบบนั้นไว้ป้อนข้าวลูกเถอะ” คุณดีแซมอธิบายแล้วสาธิต ให้ดูเป็นตัวอย่าง “เธอตามทันใช่มั้ย?”
“ฉันตามทันค่ะ” ว่าแล้วฉันก็พิสูจน์ให้คนตรงหน้าเห็นว่า ฉันทำได้จริง ๆ
“โอเค ดีมาก เมื่อเราทานเสร็จเราก็เก็บช้อนไว้บนจาน รองถ้วยแบบนี้”
ฉันพยักหน้าเข้าใจจากนั้นเราก็นั่งทานซุปจนหมด สิ่งที่ จะมาเสิร์ฟต่อไปคือ…สลัด อาหารเมนูหลัก ไวน์ และอีก หลายอย่าง…
จะว่าไปแล้ว…นี่คงจะเป็นโชคดีเล็ก ๆ น้อย ๆ บนโชค ร้ายของฉันก็ได้นะ ถ้าเปรียบกันแล้ว ความโชคดีของฉัน คือการเจอเงินแบงค์พันบนขยะกองเท่าภูเขา
คุณแซมน่าทึ่งมากเลยสำหรับฉัน ทุกทีฉันเห็นเขา เอาแต่โปรยเสน่ห์ให้สาว ๆ ไปวัน ๆ ไม่คิดว่าเขาจะ เป็นการเป็นงานแบบนี้กับใครเขาเป็นด้วย เขาสอนฉันดี มากเลยล่ะ สอนเข้าใจง่ายถึงแม้จะมีดุบ้างก็เถอะเวลาฉัน ทำซุ่มซ่ามบนโต๊ะอาหาร จะว่าไปแล้วก็ไม่แปลกนักใช่มั้ย ล่ะ ก็คุณดีแซมเกิดมาในครอบครัวที่ร่ำรวยล้นฟ้าแบบนั้น ของแบบนี้มันคงเป็นพื้นฐานเล็ก ๆ น้อย ๆ สำหรับคนรวย เช่นเขาไปแล้ว
ฉันมายืนรับลมเย็นๆอีกมุมหนึ่งตรงชั้นบนสุดของตึก เรา ทานอาหารเสร็จได้สักพักแล้วล่ะ คุณดีแซมไปเข้าห้องน้ำ ไม่รู้ว่าเขาจะกลับเลยรึเปล่า แต่ฉันขอมายืนรับลมก่อน น่ะ ไม่แน่ว่าชีวิตนี้ฉันคงไม่มีโอกาสแบบนี้อีกแล้วก็ได้
ฉันกวาดตามองไปเบื้องล่าง แสงสีต่าง ๆ ของเมืองกรุง มันช่างสวยงามยิ่งนัก ไม่ว่าสีสันของมันจะสวยงามแค่ ไหนแต่กลับสู้ไม่ได้เลยสักนิดกับแสงของดวงดาว บน ท้องฟ้า ถึงแม้จะมีแค่ไม่กี่ดวง…..
ฉันมีความสุขทุกครั้งที่ได้ดูดาว ถึงแม้ว่าท้องฟ้าจะ ดูกว้างใหญ่มหาศาลแค่ไหนแต่ก็ไม่เคยดูอ้างว้างเลย สําหรับ ฉัน
พ่อ แม่และยายกำลังมองดูฉันอยู่บนนั้น..……
“ยังไม่กลับอีกเหรอ?” เสียงหล่อนุ่มหูเอ่ยทักขึ้นจากทาง ด้านหลัง พอหันไปดูก็เห็นว่าคุณดีแซมกำลังเดินมาทางนี้
“คิดว่าเดี๋ยวก็กลับแล้วค่ะ ขอยืนรับลมเย็นๆก่อน ^^” ฉัน ตอบร่างสูงในตอนที่เขาเดินมาหยุดยืนมองวิวเบื้องล่าง ข้างๆกัน “คุณดีแซมยังไม่กลับเหรอคะ O.O?”
“ก็กำลังจะกลับ แต่เห็นเธอยังอยู่เลยเดินมาทัก เธอไม่ กลัวคนที่บ้านเป็นห่วงรึไง นี่ก็มืดแล้วนี่”
“คนที่บ้านเหรอคะ…” ฉันพูดแค่นั้นแล้วมองขึ้นไปบน ท้องฟ้าด้วยรอยยิ้ม “พวกท่านกำลังมองฉันอยู่จากบนนั้น”
“นี่ เธอ…” เสียงคุณดีแซมขาดหายไปดึงสายตาฉันให้ หันไปมอง ดวงตาคมสีไพลินกำลังมองมาด้วยความหมาย บางอย่าง เขาคงคาดไม่ถึงเหมือนคนอื่น ๆ นั่นแหละ
“ทําไมมองฉันแบบนั้นคะ ฉันไม่ใช่คนน่าสงสารสัก หน่อย เห็นฉันตัวคนเดียวแบบนี้แต่ฉันก็ไม่เคยอ่อนแอ นะ”
ทุกคนก็สงสารฉันหมดนั่นแหละพอรู้ว่าฉันเป็นเด็ก กำพร้า รวมถึงคนที่กำลังยืนอยู่ข้างๆฉันตอนนี้ด้วย ฉันไม่ ต้องการหรอกความสงสารเห็นใจ ฉันเข็มแข็งขึ้นมากแล้ว คำว่า ‘น่าสงสาร มันไม่เหมาะกับฉันอีกแล้วล่ะ
“เธอ…เธออยู่คนเดียวงั้นเหรอ?” คุณดีแซมถามราวกับ เขาสิ่งที่เขาเพิ่งได้รับรู้จากฉันมันเป็นเรื่องไม่น่าเชื่อ
“ค่ะ ฉันอยู่คนเดียว พ่อกับแม่เสียตอนฉันอายุสิบขวบ นับแต่นั้นมาฉันก็อยู่กับยายมาลัยแค่สองคน แล้วท่านก็ มาจากฉันไปเมื่อสองปีก่อน
คุณดีแซมนิ่งอึ้งไป เขามองหน้าฉันไม่ละสายตา…เฮ้ ชีวิตฉันมันน่าทึ่งอะไรขนาดนั้นเลยเหรอ
“ขอบคุณอาหารมื้อนี้นะคะ อร่อยมากค่ะ AA
“อือ…” คุณดีแซมรับคำในลำคอสั้นๆ
“ว่าแต่คุณแซมได้รถคืนรึยังคะ?”
เรื่องนี้ฉันก็สงสัยเหมือนกัน นี่มันก็หลายวันแล้วนี่นา ตั้งแต่เกิดเรื่อง ฉันอยากเห็นเขาขับรถลูกรักเขาเหมือน เดิม อย่างน้อยมันก็ทำให้ฉันมั่นใจว่าลูกรักเขายังหล่อ เหมือนเดิม ไม่มีแผลฉกรรจ์จนศัลยกรรมไม่ได้ TT;
“ได้ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ไอ้ไบรอันมันช่วยจัดการให้น่ะ”
ฉันพยักหน้าเข้าใจ ก็อย่างที่รู้ ๆ กันว่าที่บ้านพี่ไบรอันทำ ธุรกิจเกี่ยวกับรถยนต์ขนาดใหญ่ยักษ์ระดับแนวหน้าของ เอเชียและยุโรป รถคุณดีแซมคงจะอยู่ในการดูแลของ บริษัทเขา ยิ่งเป็นเพื่อนรักกันแบบนี้ด้วยแล้วเรื่องเร่งรัด เวลามันเป็นเรื่องจิ๊บๆ
“ขอถามอะไรหน่อยสิ” คุณดีแซมพูดขึ้นมา
“คะ?”
“เธออยู่บ้านคนเดียวแบบนั้นไม่กลัวเหรอ?”
“ถ้าคุณดีแซมหมายถือผีล่ะก็ฉันไม่กลัวผีหรอกค่ะ อีก หน่อยเรียนจบฉันก็ต้องทำงานในโรงพยาบาลจะมัวแต่ กลัวผีก็ไม่ได้ทำงานกันพอดีน่ะสิคะ”
“ฉันหมายถึงโจรน่ะ -_- ” คุณดีแซมมองมาอย่างฟาดฟัน โทษฐานที่ฉันตอบไม่ตรงคําถาม
เอ้า! ก็เขาไม่ถามให้เคลียร์เองนี่นา
“ก็ไม่นี่คะ ละแวกบ้านฉันก็รู้จักกันหมด ก็ช่วยๆดูให้กัน ตลอดนั่นแหละค่ะ”
“แต่เธอเป็นผู้หญิงป่ะวะ เรื่องแบบนี้ก็ควรจะระวังไว้
“รับทราบค่ะ AA”
เรื่องแบบนี้ฉันระวังอยู่ตลอดอยู่แล้ว แต่ฉันว่าโจรมัน คงไม่ขึ้นบ้านฉันหรอก ถ้าขึ้นไปจริง ๆ มันคงจะผิดหวัง ๆ น่าดูเพราะไม่มีอะไรให้ยกเค้า อ้อ ไม่สิ หลังๆมานี้มีนะ มี เครื่องสำอาง เครื่องดูแลผิวพรรณ เสื้อผ้า รองเท้า บลาๆ ที่คุณดีแซมซื้อให้ฉัน แต่ละอย่างแพงๆทั้งนั้น ราคารวม กันแล้วร่วมแสนเลยนะนั่น
“อ้อ มีอีกเรื่องหนึ่งที่ฉันอยากจะบอก
“เรื่องอะไรคะ?”
“คราวหน้าถ้ามีอะไรอยากจะพูดก็พูดกับฉันตรง ๆ เลย ก็ได้ เถียงออกมาเลย เถียงอยู่ในใจใครจะทราบล่ะครับ ท่านผู้หญิง”
“ฉันเปล่าเถียงซะหน่อย
“ยังจะปากแข็ง ฉันมองเธอก็รู้ว่ากำลังเถียง กลัวฉัน
ไง?”
______ พอฉันจะเถียงแล้วเขาก็ไม่ให้ฉันพูดซะงั้น
“เดี๋ยวค่ะคุณดีแซม ฉันกลับเองได้จริง ๆ นะ เดี๋ยววว เดี๋ยววววววววววววว….
เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ