ลูกสะใภ้ตัวน้อยที่ข้าม

ตอนที่ 4 ชีวิต



ตอนที่ 4 ชีวิต

กระทั่งเข้ามาให้ห้องของตัวเองเฉินเสวี่ยถึงนึกขึ้นได้ว่าเมื่อ ตอนบ่ายยังได้ตากผ้าปูที่นอนเอาไว้ที่ระเบียงด้วยจึงรีบวิ่งไปที่ ระเบียงเก็บเอาผ้าปูที่นอนกลับมา หลังจากพับเสร็จเรียบร้อย แล้วก็จะเอาไปเก็บเข้าไว้ในตู้เสื้อผ้า ทันทีที่เปิดตู้เสื้อผ้าออก เฉินเสวี่ยถึงกับต้องร้องซี้ดออกมา ตอนที่จะอาบน้ำเมื่อตอน บ่ายเธอรู้สึกเพียงแค่ว่าตัวเองไม่ค่อยสบายตัวจึงเลือกเอา เสื้อผ้าสําหรับเปลี่ยนสองตัวแล้วรีบไปอาบน้ำ หลังจากนั้นก็รีบ ไปว่ายน้ำต่อ ตอนนี้ทำทุกอย่างเสร็จแล้วเมื่อมาดูตู้เสื้อผ้าอีก ครั้งมันก็นับว่ายุ่งเหยิงพอสมควรจริงๆ แต่ไม่ได้สกปรกขนาด นั้น เสื้อผ้าพวกนี้ถือว่าชักได้สะอาดพอสมควรแต่กลับวางกองๆ ไว้เป็นกลุ่ม มันยุ่งเหยิงจนทนมองไม่ได้เลยจริงๆ

โอเค ท้ายที่สุดก็ต้องเก็บเอาผ้าปูที่นอนกลับมา แล้ว เปลี่ยนมาเก็บกวาดจัดระเบียบตู้เสื้อผ้าครั้งใหญ่ จัดแบ่ง ประเภทของเสื้อผ้าแต่ละชนิดออกจากกัน ของจำพวกเสื้อชั้น ในกางเกงในวางแยกใส่ไว้ในลิ้นชัก เฉินเสวี่ยพลางเก็บพลางคิดไปด้วยว่ากระทั่งตู้เสื้อผ้ายังรกขนาดนี้ ตู้ลิ้นชักห้าชั้นที่อยู่ ในห้องนั่งเล่นอันนั้นเดาว่าคงจะไม่ได้ดีไปไหนแน่นอน ดูเหมือน วันพรุ่งนี้ต้องทำความสะอาดตรงส่วนนั้นต่อแล้ว

การทำความสะอาดในครั้งนี้กว่าจะรอให้เฉินเสวยเก็บ เสื้อผ้าเสร็จจนกลายเป็นมีระเบียบเรียบร้อยขึ้นมานั้นเวลาก็ปา ไปกว่าสี่ทุ่มตรงแล้ว เธอถอนหายใจอย่างโล่งอก โชคดีที่ผู้คน ในยุคนี้เสื้อผ้าน้อย ถ้าหากเป็นห้องเสื้อผ้าแบบวอล์กกินของ เธอเมื่อก่อนหน้านี้คงจะได้ทําความสะอาดแบบข้ามวันข้ามคืน แน่ แต่พอตอนนี้เก็บเสร็จแล้วตู้เสื้อผ้าก็ดูสะอาดตาขึ้นมาก ต่อ ไปเวลาหาเสื้อผ้าใส่ก็จะสะดวกขึ้น แถมยังช่วยประหยัดเวลา ภาพรวมก็ดูดีขึ้นมากเลยทีเดียว

วันนี้ทำความสะอาดมาจนถึงเวลานี้ย่อมไม่อยากจะทำ อะไรอย่างอื่นอีกแล้ว ตัวเฉินเสงี่ยเองก็ไม่ใช่พวกนกฮูกกลาง คืนเว้นแต่ว่าต้องรีบทำงาน ที่ผ่านมาเธอมักจะนอนเร็วตื่นเช้า เพื่อรักษาสุขภาพมาโดยตลอด ร่างเดิมคนนั้นก็เป็นคนนอนเร็ว เช่นกัน เพราะถึงอย่างไรถ้าไม่นอนเร็วก็ไม่มีอะไรให้ทำอยู่ดี วัน นี้เฉินเสวี่ยก็ออกกำลังกายไปปริมาณมากพอสมควร หลังจาก ล้างหน้าบ้วนปากแล้ว เพียงเวลาไม่นานเธอก็เข้าสู่ห้วงแห่ง ความฝันอย่างรวดเร็ว
วันต่อมาเวลาเพิ่งถึงตีเฉินเสวี่ยถูกเสียงแตร สัญญาณตื่นนอนปลุกให้ตื่นขึ้นมา ได้ ไหนๆ ตื่นงั้นลุก เลยแล้วกัน ในเมื่อมาแต่สี่ทุ่มจนตีแล้ว สำหรับผู้ใหญ่ถือว่าเพียงพอแล้ว

เมื่อวานเป็นออกกำลังกายแรก ตอนนั้นยังไม่ได้ รู้สึกอะไร แต่ตอนเมื่อนอนขึ้นกล้ามเนื้อปวดเมื่อย อย่างรุนแรง ผลแค่การลุกจากนอนเฉินเสวี่ยกับ ต้องแยกเขี้ยวยิงฟันเลยทีเดียว เธอได้เพียงแค่ปลอบใจตัว เองว่าการมีอาการปวดกล้ามเนื้อแบบบ่งบอกว่าการออก กำลังกายนั้นได้ตอนนี้ต้องอดทนไว้ ผ่านอีกวันกล้าม เนื้อชินกับปริมาณออกกายทุกสิ่งเริ่มต้นตอนไขมันทั่วจะต้องติดตามเธอไปตลอดชีวิต ครั้งต่อ ไปถ้าจะเริ่มออกกำลังกายอีกยังต้องกลับมาเริ่มแบบนี้อีก เหมือนเดิม

ลุกจากเตียงนอนมาต้มโจ๊กกินง่ายๆ โชคดีตอนนี้ ภายกองก๊าซเหลวมาแล้ว ของสิ่งก่อนเป็น เสงี่ยเพียงแค่เคยได้ยินไม่เห็นมาก่อน แต่เมื่อลองใช้ แล้วก็คล้ายๆ กันกับเตาแก๊ส เธอทำตามความทรงจำของร่างเดิม เธอค่อยๆ เปิดเกลียววาล์วบนถังก๊าซเหลวอย่างระมัดระวัง จากนั้นเปิดสวิตช์บนเตาแก๊สอีกครั้ง หลังจากนั้นเอาปืนจุดไฟ ยื่นเข้าไปยังจุดไฟแกร๊กๆ อีกสองสามที เสียงดังขึ้นมาพร้อม กับเปลวไฟสีฟ้าที่ลุกโชน เฉินเสวี่ยถึงได้รู้สึกโล่งใจ จะไม่กล่าว ว่าเทคโนโลยีเปลี่ยนชีวิตได้ยังไง ถ้าหากไม่ใช่เพราะยังพอมี ความทรงจำของร่างเดิมอยู่บ้าง เตาก๊าซเหลวแบบนี้เธอคงจะ ทำไม่เป็นจริงๆ ยังดีที่ตอนต้มน้ำเมื่อคืน ใช้ที่ต้มน้ำแบบพกพา มาต้ม เพียงแค่เอาลวดความร้อนไฟฟ้า ใส่เข้าไปในกระติกน้ำ ร้อนก็เรียบร้อยแล้ว เฉินเสวี่ยจำได้ว่าก่อนหน้านี้เธอเคยเห็นใน เวยป๋อบอกว่าของสิ่งนี้ค่อนข้างเสี่ยงต่อความปลอดภัย เพราะ เมื่อต้มเสร็จแล้วก็จะมองไม่ออกและมักจะลืมได้ง่ายจนอาจ ทำให้เกิดเหตุไฟไหม้ขึ้นมาได้ แต่ในยุคนี้ทุกๆ บ้านต่างใช้ แบบนี้กันทั้งนั้น ต่อไปตนเองคงทำได้เพียงระมัดระวังให้มาก ขึ้น

เมื่อจุดไฟติดแล้ว เฉินเสวี่ยล้างข้าวเล็กน้อยเติมน้ำลงไป และเคี่ยวโจ๊กอยู่ในหม้อ เธอมีเคล็ดลับในการต้มโจ๊กอยู่ว่า รอกระทั่งน้ำต้มจนเดือดแล้วให้ปิดไฟ ปล่อยให้น้ำที่อยู่ในหม้อ ใช้ความร้อนที่เหลืออยู่ทำให้ข้าวสุก เมื่อถึงตอนที่ใกล้จะทาน แล้วค่อยนำไปต้มให้เดือดอีกครั้งเพียงเท่านี้โจ๊กก็ต้มเสร็จเรียบร้อยแล้ว เคล็ดลับนี้เพื่อน สนิทของเธอคนหนึ่งเป็นคนสอนเธอเอง ช่วงนั้นเธอเพิ่งจะย้าย ออกมาเช่าบ้านใหม่ๆ เพื่อที่จะประหยัดแก๊สจึงใช้วิธีการนี้ แต่ ว่าภายหลังเวลาต้มโจ๊กมักจะใช้หม้อหุงข้าว ทักษะนี้จึงไม่ได้ เอาออกมาใช้นานแล้ว

ตอนนี้ได้นำกลับมาใช้อีกครั้งพอดี ซึ่งวิธีแบบนี้ช่วย ประหยัดแก๊สแล้วก็ไม่ลืมจนทำให้โจ๊กล้นออกมาด้วย นอกจาก นี้เธอยังสามารถใช้เวลาฝึกโยคะได้อีกสักพักเลยด้วย เฉินเส วียดื่มน้ำอุ่นหนึ่งแก้วแล้วกลับเข้ามาที่ห้องของตัวเอง ตอนนี้ อย่าเพิ่งไปคิดถึงเสื่อโยคะอะไรเลย เธอนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง เริ่มต้นด้วยการทำสมาธิค่อยๆ ปรับการหายใจและทำจิตใจให้ สงบ

เดิมทีช่วงเวลาเช้าตรู่อากาศจะสดชื่นมากอยู่แล้ว สภาพ แวดล้อมโดยรอบก็เงียบสงบอย่างมาก การทำโยคะในช่วง เวลานี้จึงทำให้เข้าถึงสภาวะนั้นได้โดยง่าย

เฉินเสวียนั่งสมาธิเพื่อผ่อนคลายร่างกายก่อนครู่หนึ่ง จาก นั้นเริ่มฝึกทำท่าทางโยคะอย่างเชื่องช้า ตอนนี้ร่างกายนี้ยังอ่อน ไม่พอ เส้นเอ็นก็ยังไม่ได้ยึดออก ขณะที่เธอทำท่าทางต่างระมัดระวังเป็นอย่างมาก โยคะนั้นเน้นหนักในการทำให้ถึง ขีดจํากัดของตัวเอง แต่อย่าหักโหมจนเกินไป อย่าบีบบังคับให้ ตัวเองทำท่าทางที่รุนแรงจนเกินไป ท่าทางการเคลื่อนไหว ทั้งหมดต้องผ่อนคลายเชื่องช้าและนุ่มนวล

เธอค่อยๆ นับจังหวะการหายใจของตัวเอง ยึดร่างกาย ออก เคลื่อนไหวเพื่อคลายกระดูกและกล้ามเนื้อทีละนิดๆ หลัง จากครึ่งชั่วโมงผ่านไป แม้จะบอกว่าปริมาณการออกกำลังกาย ไม่มากและเหงื่อก็ไหลออกมาบางๆ เท่านั้น แต่อย่างได้กล่าว ไปไม่รู้ว่าเป็นเพราะผลจากการทำโยคะหรือเป็นเพราะผลทาง จิตใจของเธอเอง หลังจากทำการฝึกแบบนี้ทั้งชุดแล้วอาการ เจ็บปวดตามร่างกายดูเหมือนจะบรรเทาลงไปเล็กน้อยแล้ว

เฉินเสวี่ยเช็ดเหงื่อตามร่างกายออกเล็กน้อย เอาโจ๊กที่ ต้มสุกไว้แล้วก่อนหน้านี้ออกมาทานเป็นอาหารเช้าครึ่งหนึ่ง อาหารเช้าทานแบบนี้แค่ไม่กี่วันยังพอไหว เวลาผ่านนานไปเฉิน เสวี่ยคิดว่าเธอคงต้องหานมมาดื่มด้วย เพราะทั้งเสริม โภชนาการแล้วก็เสริมแคลเซียมด้วย จากในความทรงจำของ ร่างเดิมนั้นที่แท้ต้องสั่งนมให้มาส่งที่บ้าน นมในยุคสมัยนี้ยัง ไม่มีบรรจุภัณฑ์แบบหมอนเต็ดตรา แพ้ค [1] ฉะนั้นจึงจะเป็น นมแบบบรรจุขวดมาส่งทุกวัน หรือไม่เช่นนั้นก็ต้องชงนมผงแต่ว่านมผงสีน้ำตาลมากเกินไป เฉินเสวี่ยจึงวางแผนไว้ว่าผ่าน ไปอีกสักสองวันจะไปสอบถามดูว่าที่ไหนสามารถสั่งซื้อนมได้ บ้าง

หลังจากรับประทานอาหารเสร็จก็เก็บกวาดทําความ สะอาดต่อ นอกจากนี้ก็ออกกำลังกายตามแพลนที่ตัวเอง วางแผนเอาไว้ก่อนหน้านี้ว่าในหนึ่งวันต้องออกกำลังกายฝึกฝน พละกำลังวันละสองรอบบวกกับการไปว่ายน้ำในช่วงเย็น หลัง จากผ่านไปสองสามวันเฉินเสวี่ยถึงนับว่าได้ทำความสะอาด บ้านเรียบร้อยทั้งหมดแล้ว

ตอนนี้เฉินเสวี่ยค่อนข้างให้ความสำคัญกับเวลาที่จะไป โรงอาหารพอสมควรไม่ได้ไปช้าจนเกินไป เพียงแต่ถึงไปเร็ว เห็นอาหารในโรงอาหารแล้วก็มีแต่ของพวกนั้น เป็นข้าวแบบ หม้อใหญ่ของกองทัพ มองเห็นเป็นหม้อขนาดใหญ่ท่าทางนุ่ม นิ่ม ยังดีที่ที่นี่คือภาคใต้ ในยุคสมัยนี้สายพันธุ์แตงผักแต่ละ ประเภทนับว่ามีมากพอสมควร ในโรงอาหารยังมีผลไม้ให้เห็น ซึ่งทำให้เฉินเสวี่ยประหลาดใจอยู่ไม่น้อย เธอนึกว่าคนสมัยนี้ ไม่ค่อยทานผลไม้กันสักเท่าไหร่ แต่ผลไม้มีราคาแพงพอสมควร ภายในโรงอาหารที่มีอยู่เพียงไม่กี่อย่าง แต่ทว่าของจำพวกผัก สด แตงกวา มะเขือเทศ มะเขือกลับมีมากพอสมควร
การกินอาหารจากโรงอาหารในหลายวันที่ผ่านมาทำให้ เธอกินจนเลี่ยนแล้ว เฉินเสวยครุ่นคิดว่าเธอทำอาหารคงจะดี กว่า แม้ว่าเวลาที่เธอไปตักอาหารในโรงอาหารจะระมัดระวัง พอสมควร แต่ตอนนี้เนื้อในโรงอาหารต่างเป็นเนื้อไขมันก้อน ใหญ่หรือไม่ก็เป็นลูกชิ้นเนื้อก้อนใหญ่ลูกมันเยิ้ม ใครใช้ให้คน สมัยนี้คิดว่าเนื้อไขมันมันดีล่ะ ตอนนี้บ้านก็ถือว่าทำความ สะอาดหมดแล้ว เธอสามารถดูแลข้าวของภายในบ้านให้เป็น อย่างก่อนหน้านี้ก็พอและสามารถเริ่มต้นคิดวิธีหารายได้ได้แล้ว อย่างน้อยต้องหาเงินในส่วนค่าอาหารของตัวเองออกมาให้ได้

การหาเงินในยุคนี้ โดยพื้นฐานล้วนแล้วแต่อาศัยเป็นเงิน เดือน ประกาศนียบัตรระดับชั้นมัธยมศึกษาของร่างเดิมนี้ก็นับ ได้ว่าเป็นสมบัติชิ้นหนึ่ง ในยุคนี้ถือได้ว่าเป็นวุฒิการศึกษา ระดับสูง เพราะตอนนี้เพิ่งจะมีการสอบเข้ามหาวิทยาลัยเพียง แค่สามปีเท่านั้น ตอนนี้ยังนับว่าไม่มีผู้สำเร็จการศึกษาระดับ มหาวิทยาลัยอย่างเป็นทางการเลยด้วย ก่อนหน้านี้ที่ไม่ได้ ทำงาน หนึ่งเป็นเพราะร่างเดิมเอาแต่อ้างว่าจะทบทวนเพื่อสอบ เข้ามหาวิทยาลัยก่อน ที่บ้านก็ไม่ได้ขาดแคลนจนต้องให้เธอไป หาเงินเช่นนั้นจึงย่อมไม่สนใจเป็นธรรมดา สองเป็นเพราะเธอ ติดตามมาเข้าร่วมกองทัพ มายังสถานที่แห่งใหม่ นอกจากนี้ที่นี่ยังอยู่ห่าง จากปักกิ่งค่อนข้างไกล ต่อให้ที่บ้านอยากจะช่วยเธอหาเส้น สายก็คงไม่ได้รวดเร็วขนาดนั้น หากจะให้คนในกองทัพช่วย ดูแล ญาติและครอบครัวในชุมชนทหารนี้คนไม่มีงานก็มีมาก นอกจากนี้ตำแหน่งงานที่สามารถจัดหาให้ได้ก็มีจำกัด ล้วน เป็นงานที่ต้องใช้กำลังไม่เหมาะที่จะให้เป็นเสวี่ยไปทำ

ดังนั้นในช่วงเวลานี้ ร่างเดิมคนนั้นจึงอยู่ในสภาพคน

เร่ร่อน

ถ้าเป็นร่างเดิมอาจจะสามารถเป็นสะใภ้ทหารแบบนี้ไป ตลอด ปล่อยให้หลัวต้าอวี่เลี้ยงดูและกินเงินเดือนของเขาแค่ คนเดียว แต่เฉินเสงี่ยในตอนนี้ไม่สามารถทำแบบนั้นได้ เดิมที เธอก็เป็นคนที่อยู่เฉยไม่ได้อยู่แล้ว ไม่ใช่เพียงเพราะต้องการ หาเงินเพื่อมาพัฒนาเปลี่ยนแปลงชีวิตในตอนนี้เพียงอย่างเดียว เธอไม่อยากให้ตัวเองกลายเป็นแมลงที่เอาแต่กินเพื่อรอวันตาย ยิ่งไปกว่านั้น ในความคิดของเธอ ตอนนี้เธอกับหลัวต้าอวี่ไม่มี ความเกี่ยวข้องอะไรกันเลย และเธอเองก็ไม่ต้องการใช้เงินของ ผู้ชายคนนี้ด้วย

ถ้าไม่ใช่เพราะหลายวันที่ผ่านมาต้องเก็บกวาดทำความ สะอาดบ้าน เธอคงจะเริ่มคิดเรื่องเกี่ยวกับการหาเงินไปนานแล้ว

แต่ทว่าเฉินเสวี่ยเองก็ไม่ได้คิดที่จะหางานแบบประจำ ถาวร การหางานในยุคสมัยนี้ไม่เหมือนกับชีวิตในโลกก่อน หน้านี้ของเธอที่เพียงแค่ส่งประวัติส่วนตัวไปทุกอย่างก็ เรียบร้อยแล้ว บนอินเตอร์เน็ตมีบริษัทต่างๆ ที่กำลังหาจ้างคน อยู่ทุกที่ทุกเวลา ตอนนี้หากอยากเข้าทำงานในองค์กรแบบ ทางการองค์กรหนึ่งต่างจำเป็นต้องไหว้วานร้องขอคนอื่นให้ ช่วย เธอจะสามารถร้องขอใครให้ช่วยได้? ถ้าไม่ใช่คนใน ครอบครัวก็ต้องเป็นหลัวต้าอวี่ เธอไม่อยากจะติดหนี้บุญคุณ ของหลัวต้าอวีคนนี้ ยิ่งกว่านั้นเมื่อมองท่าทางของผู้ชายคนนี้ จาก ในความทรงจําแล้วเธอไม่สามารถเอ่ยปากขอให้เขาช่วย ได้เลยจริงๆ ส่วนคนในครอบครัวนั้น ถึงอย่างไรตอนนี้ก็อยู่ห่าง กันมาก แม้ว่าชีวิตของพวกเขาในปักกิ่งนับว่าไม่เลวนัก แต่ฝั่ง หนึ่งอยู่ทางเหนือฝั่งหนึ่งอยู่ทางใต้ ห่างกันไกลขนาดนี้นับว่า เป็นการสร้างความลำบากใจให้ครอบครัวเช่นกัน ยิ่งกว่านั้น เฉินเสวี่ยยังคงมีอุปสรรคทางจิตใจอยู่เล็กน้อยคือเธอไม่ใช่ร่าง เดิมคนนั้น ในเมื่อไม่ได้เป็นลูกแท้ๆ ของพวกเขาก็ไม่สามารถที่ จะเอ่ยขอให้พวกเขาช่วยเหลืออย่างสบายอกสบายใจได้

นอกจากนี้ในโลกก่อนหน้านี้เธอก็เคยชินกับอาชีพอิสระไปแล้ว ทำในสิ่งที่ตัวเองชื่นชอบยังพอจะมีแรง บันดาลใจที่จะทำให้นอนดึกได้บ้าง แต่ถ้าจะให้เธอไปทำงาน ตั้งแต่เก้าโมงเช้าถึงห้าโมงเย็นแบบนั้นทุกวัน จริงสิ ในยุคนี้ดู เหมือนจะยังไม่มีวันหยุดสุดสัปดาห์แบบคู่ด้วย หนึ่งสัปดาห์ หยุดพักหนึ่งวัน ถูกคนอื่นควบคุม ต้องทำงานตามขั้นตามตอน อะไรแบบนั้น เธอทำไม่ได้จริงๆ เธอค่อนข้างอยากจะพึ่งพา ฝีมือของตัวเองในการทำการค้าขาย สะสมเงินทุนแล้วค่อยทำ เป็นธุรกิจ ตอนนี้เป็นช่วงเริ่มต้นของสายลมแห่งการปฏิรูป เศรษฐกิจไม่ใช่เหรอ เมื่อก่อนเธอก็เคยได้ยินตำนานว่ามีคนใน ยุคแปดศูนย์เก้าศูนย์จำนวนมากที่ใจกล้าลงทะเลไปหาเงินหา ทองได้จำนวนมหาศาล ไม่รู้ว่าคราวนี้ตัวเองจะสามารถกลาย เป็นหนึ่งในสมาชิกของตำนานเหล่านี้ได้บ้างนะ ไม่แน่ว่าไม่กี่ปี ข้างหน้าเธออาจจะกลายเป็นตำนานนักธุรกิจเหมือนกับคุณพ่อ แจ็คหม่าขึ้นมาก็ได้

เฉินเสวียนั่งวางแผนอยู่ตรงโต๊ะทำงานในห้อง นี่ก็เป็น นิสัยเคยชินเวลาที่เธอทำงานเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรจะ ต้องแบ่งแยกขั้นตอนออกเป็นส่วนๆ วางแผนการอย่างละเอียด จากเป้าหมายใหญ่แบ่งออกเป็นเป้าหมายเล็กๆ ทำให้เสร็จไป ทีละอย่างๆ ซึ่งมันประสบผลสำเร็จมากยิ่งกว่าพวกที่คิดขึ้นได้เมื่อไหร่ใส่เกียร์ลุยเมื่อนั้นเหล่านั้นเสียอีก


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ