ลูกสะใภ้ตัวน้อยที่ข้าม

ตอนที่ 7 จับเลี้ยง



ตอนที่ 7 จับเลี้ยง

เธอไม่มีความทรงจําอะไรเกี่ยวกับเฉินเสวี่ยเลยจริงๆ เพราะ เดิมทีเธอก็ทำงานอยู่ในตัวเมือง ไม่ค่อยได้อยู่ในลานชุมชนสัก เท่าไหร่นัก เนื่องจากวันนี้เธอได้พัก เพิ่งจะได้จัดบ้านทำความ สะอาด ส่วนลูกก็ส่งไปให้พ่อกับแม่ดูแลให้เพราะปัจจัย แวดล้อมดีกว่าที่นี่มาก ในเมื่อมีกันแค่สองสามีภรรยาเรื่องกิน ข้าวแค่กินง่ายๆ พอใช้ได้ก็โอเคแล้ว ความทรงจำที่เธอมีต่อ เฉินเสวี่ยก็คือได้ยินว่าตึกนี้มีคนย้ายเข้ามาใหม่ ติดตามมาเข้า ร่วมกองทัพเหมือนกันมีแค่คู่สองสามีภรรยา

ใบหน้าของหลัวต้าอวี่ดูอึดอัดใจขึ้นมาทันที เขายังคงคิด ว่าเฉินเสวี่ยเข้าไปในเมืองไม่ได้มีธุระจริงจังอะไร แต่เรื่องแบบ นี้ไม่ง่ายที่จะบอกกับคนอื่น

“เขาเข้าไปในเมืองแล้วครับ” หลัวต้าอวี่ไม่ได้พูดอะไร มาก เขาต้องปิดบังไว้ประโยคสองประโยค ถ้าให้เขาบอกว่า เฉินเสวี่ยเข้าไปในเมืองเพื่อซื้ออะไรเขาก็พูดไม่ออกเช่นกัน

หลิวรั่วซีได้ยินแบบนั้นก็ไม่ได้รู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติ ใน เมื่อที่บ้านไม่มีเรื่องอะไรก็สามารถเข้าเมืองไปช้อปซื้อของได้ไม่ใช่หรอ

“ทำไมเธอไม่เข้าไปเป็นเพื่อนเขา? น้องสาวเองก็เพิ่งจะมา อยู่ที่นี่คงจะยังไม่คุ้นเคยใช่ไหมล่ะ รถประจำทางเข้าเมืองของที่ นี่เบียดกันสุดๆ ถึงเวลาซื้อของกลับมามากๆ ต้องถือของไม่ใช่ เรื่องง่ายเลยนะ”

เธอถูกสามีตามอกตามใจ ข้างในประโยคนี้พูดออกมาได้ แฝงความหมายนี้ออกมาด้วยอย่างเป็นธรรมชาติ ปกติเวลา เธออยากจะออกไปซื้อของอะไร ถ้าหลี่หงปืนว่างก็จะไปเป็น เพื่อนเธอด้วย เรื่องถือกระเป๋าเป็นเรื่องที่เธอไม่เคยต้องเป็น กังวลเลย

หลี่หงปืนรู้ว่าก่อนหน้านี้ไม่นานหลัวต้าอวี่สองสามีภรรยา เพิ่งจะมีเรื่องขัดแย้งกันไปครั้งหนึ่ง เรื่องระหว่างสามีภรรยา ของคนอื่นแบบนี้เขาก็ไม่สามารถเล่าให้ภรรยาฟังได้เพราะมัน เหมือนกับกำลังพูดจาไม่ดีลับหลังคนอื่น ดังนั้นหลิวรั่วซีจึงยัง ไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาของพวกเขาไม่ค่อยดี นัก ขนาดความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาที่ดีๆ เหนียวแน่น เหมือนอย่างพวกเขาสองคนก็มีให้เห็นน้อยมาก

“เธอนี่ ไม่แน่น้องสาวเขาอาจจะอยากออกไปเดินเล่นเอง คนเดียวก็ได้ เพื่อต้าอวี่ไปเป็นเพื่อนแล้วเธอรู้สึกอึดอัดไม่เป็น ตัวของตัวเองล่ะ เธอคิดว่าทุกคนเป็นเหมือนเธอเหรอ ที่เข้าเมืองที่ต้องซื้อของเป็น กองๆ น้องสาวมาจากปักกิ่งนะ มีของดีอะไรที่เขาไม่เคยเห็น บ้าง คงจะแค่อยากไปเดินเล่นในเมืองเท่านั้นแหละ

แม้ว่าคำพูดดูจะไม่ลงรอยกับความหมายของหลิวรั่วซีเล็ก น้อย แต่ข้างในน้ำเสียงนั้นแฝงความหมายเชิงสนุกสนานผ่อน คลายเอาไว้ เห็นได้ชัดว่ากำลังพูดหยอกล้อภรรยาเพื่อเบี่ยง ประเด็นสนทนาเท่านั้น

เมื่อหลิวรั่วได้ฟังก็รู้ในทันทีว่าเบื้องหลังนี้ต้องมีเรื่องอะไร บางอย่างที่ตัวเธอยังไม่รู้อย่างแน่นอน ตอนนี้จึงไม่ได้พูดอะไร ให้มากความ

“มันก็จริง คราวหน้าฉันก็อยากเข้าเมืองไปเดินซื้อของเอง บ้าง ฉันยังไม่เคยได้เป็นอิสระแบบนั้นมาก่อนเลย จริง ผู้ บังคับกองหลัว คราวหน้าถ้าน้องสาวมีเวลาว่างเข้าเมือง ให้เธอ ไปเล่นที่หน่วยของฉันก็ได้นะ ฉันทำงานอยู่ที่สหกรณ์ร้านค้า เผื่อมีอะไรที่เธอถูกใจ บางทีฉันอาจจะสามารถให้ราคาภายใน ได้” หลังจากพูดจบก็ยิ้มขึ้นมาเผยให้เป็นลักยิ้มเล็กๆ น่ารัก สองข้าง

หลัวต้าอวี่เองก็โค้งมุมปากขึ้นพลางพยักหน้า “แน่นอนครั บๆ ต้องขอบคุณล่วงหน้าเลยนะครับ”

“เพื่อนบ้านกันทั้งนั้น เกรงใจอะไรล่ะ”

สองสามคนพูดจาเกรงอกเกรงใจกันไม่กี่ประโยค เมื่อถึง โรงอาหารไปตักอาหารแล้วก็เริ่มทาน ตอนนี้พวกหลัวต้าอวี่มี แต่คุยเรื่องเกี่ยวกับงานกันแล้ว หลิวรั่วซีก็ไม่ได้พูดขัดจังหวะ และนั่งฟังอยู่ข้างๆ อย่างเงียบๆ

กระทั่งทานอาหารเสร็จกลับถึงบ้าน หลังจากหลี่หงปืนและ ภรรยาเดินเข้าประตูบ้านไปแล้ว หลิวรั่วถึงได้เอ่ยถามขึ้นมา “เมื่อกี้ฉันพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า ดูเหมือนพอเอ่ยถึงคนรักของ ผู้บังคับกองหลัวขึ้นมาแล้วเขาดูไม่ค่อยชอบใจเท่าไหร่

ในความคิดของหลิวรั่วซี มันไม่ควรจะเป็นแบบนี้นี่นา คน ที่ยอมติดตามกองทัพมาล้วนแล้วแต่เป็นคู่สามีภรรยาที่มีความ สัมพันธ์ดีกันทั้งนั้น ไม่อย่างนั้น ใครจะยอมออกจากบ้านเพื่อคน รักมาไกลถึงขนาดนี้ มาอยู่ในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยแบบนี้ ขนาด พวกเขาสองสามีภรรยาที่ความสัมพันธ์ดีขนาดนี้ ตอนที่เธอเพิ่ง จะติดตามมาร่วมกองทัพแรกๆ ยังต้องไปแอบร้องไห้คนเดียว เลย นี่คือเหตุผลที่หลี่หงปืนคอยปลอบโยนเธอและเข้าใจเธอ มาโดยตลอด ต่อมาได้วานใช้เส้นสายหางานที่สหกรณ์ร้านค้าทางนี้ให้ มีงานทำอย่างเป็นทางการ ไปทำงา นทุกๆ วัน ไม่ต้องอยู่คนเดียวเบื่ออึดอัดจนต้องคิดโน่นคิดถึง ค่อยๆ ดีขึ้นมาได้

หลี่หงปืนก็ส่ายหัวไปมา “เรื่องนี้ฉันก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน คนรักของเขาเป็นคนปักกิ่ง ได้ยินว่าที่บ้านก็เป็นคนในกองทัพ ด้วย แต่ว่าเมื่อไม่กี่วันก่อนคู่สองสามีภรรยาเพิ่งจะทะเลาะกัน บางทีความโกรธของเขาคงจะยังไม่หายไปแหละมั้ง อีกอย่าง คนรักของเขาก็ไม่ยอมทำงานบ้าน ต้าออาจจะมีบ่นๆ บ้าง ดัง นั้นครั้งต่อไปถ้าคุณเจอต้าออีกก็อย่าถามเรื่องครอบครัวของ เขาให้มากล่ะ”

หลิวรั่ว ทำหน้ามุ่ยพลางพยักหน้า “ผู้ชายอย่างพวกนาย คิดว่าผู้หญิงต้องเก่งทั้งในบ้านนอกบ้านเลยใช่ไหม อยู่ในบ้าน ก็สามารถทำงานบ้านได้อย่างสม่ำเสมอ อยู่ข้างนอกยัง สามารถหาเงินได้ให้พวกนายได้มีหน้ามีตา”

หลี่หงปืนพูดด้วยรอยยิ้มว่า “คนอื่นคิดยังไงฉันไม่รู้หรอก ฉันรู้แค่ว่าฉันต้องการแบบเธอนี่แหละ

หลิวรั่วซียิ้มพลางเขม็งใส่เขาหนึ่งที่ “เจ้าเล่ห์นัก
ทางด้านหลัวต้าอวี่แอบไม่พอใจที่เฉินเสวี่ยเข้าไปในเมือง อีก กลับกันทางด้านเฉินเสวี่ยกำลังเดินเที่ยว ในตัวเมืองอย่างมี ความสุข แม้ว่ารถประจำทางเมื่อตอนเช้าจะเต็มแน่นมากจริงๆ แถมยังมีกลิ่นลมหายใจเหม็นเปรี้ยวที่ไม่สามารถบรรยายได้ อีก เฉินเสวียนึกถึงความรู้สึกช่วงเวลาเร่งด่วนยามเช้าในปักกิ่ง ในตอนนั้นที่ตัวเธอต้องกลายเป็นเหมือนกระดาษหนึ่งแผ่นที่ แทบจะไม่มีปริมาตรใดๆ ขึ้นมาอีกครั้ง เพียงแต่น่าเสียดายที่ ตัวเอง ในตอนนี้ไม่เพียงแค่มีปริมาตร แถมยังเป็นปริมาตร ขนาดใหญ่มากด้วย ทำเอาคนรอบข้างต่างพากันรังเกียจไป หมด แต่เมื่อได้เข้ามาในตัวเมืองเดินเล่นช้อปดีๆ แล้วเฉินเสวี่ย รู้สึกว่าความทรงจำของร่างเดิมนั้นไม่ถูกต้องเลย หรืออาจ กล่าวได้ว่าเขายังมองการณ์ไกลไม่พอ

อาจเป็นเพราะว่าในด้านสิ่งก่อสร้างของเมืองเล็กๆ นี้ เทียบไม่เท่ากับปักกิ่งจริงๆ แต่ในสายตาของเฉินเสวี่ยซึ่งเป็นผู้ มาจากศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด สิ่งก่อสร้างในยุคสมัยนี้ไม่ว่าจะเป็น เมืองไหนต่างก็เชยเหมือนกันทั้งนั้น ต่อให้เป็นปักกิ่งก็เถอะ นอกจากเขตพื้นที่ใจกลางเล็กๆ ตรงถนนฉางอัน [1] ผืนนั้นแล้ว ก็ไม่มีอะไรดีไปไหนหรอก แต่สามารถรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่า กิจกรรมทางการค้าของที่นี่คึกคักยิ่งกว่าทางตอนเหนือมาก นี่ไม่ได้หมายความว่าตลาดเศรษฐกิจของที่นี่มีการพัฒนา หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือเศรษฐกิจพัฒนาได้มากขนาดไหน แต่ หมายความว่าความคิดความอ่านของผู้คนที่นี่คึกคักมีชีวิตชีวา อย่างเห็นได้ชัด แค่เอ่ยถึงว่าตามถนนสามารถมองเห็น แผงลอยหาบเร่ซึ่งมีมากเสียยิ่งกว่าในกรุงปักกิ่งจากในความ ทรงจําของร่างเดิมเสียอีก

สิ่งนี้ในความทรงจำของร่างเดิมหมายความว่าที่นี่เป็น เมืองเล็กๆ ไม่มีระเบียบแบบแผน ตามท้องถนนกรกยุ่งเหยิงไป หมด ทั้งยังมีเค้าของความเป็นทุนนิยมอยู่ด้วย แต่ในความคิด ของเฉินเสวี่ย นี่สิถึงเรียกว่าเป็นจุดแตกหน่อของตลาด เศรษฐกิจ นอกจากนี้ในความทรงจำของร่างเดิมจะชอบพวก เคาน์เตอร์ใหญ่ๆ อย่างสหกรณ์ร้านค้าและห้างสรรพสินค้าของ รัฐมากกว่า นั่นถึงเป็นผลิตภัณฑ์ล้าหลัง อีกไม่นานก็จะถูก กระแสการตลาดของเศรษฐกิจแซงหน้าไปหมด

ถ้าหากอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบปิดกั้นล้าหลังแบบนั้น เฉินเสวี่ยยังคงเป็นกังวลจริงๆ ว่าถ้าหากเธอต้องการเริ่มต้น ธุรกิจเล็กๆ ขึ้นมาจริงๆ จะถูกคนอื่นมองว่าเป็นหางของทุนนิยม จำเป็นต้องตัดทิ้ง ในเมื่อความคิดแนวคิดของทุกคนในตอนนี้ ยังไม่ได้ปล่อยวางเปิดกว้างทั้งหมด ตัวอย่างแนวคิดแบบเมื่อ ก่อนยังคงมีอยู่อีกมากทุกคนต่างยังคงกังวลไปต่างๆ นานา แม้ว่าเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา ในการประชุมคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนชุดที่ 11 เต็มคณะครั้งที่ 3 จะมีการกล่าวถึงแนวคิดใหม่ในการพัฒนา เศรษฐกิจ แต่นั่นเป็นเพียงแค่สิ่งของในนโยบายทางการเมือง เท่านั้น ส่วนเรื่องที่ว่าทำอย่างไร แล้วจะบรรลุผลได้อย่างไรนั้น ข้อโต้แย้งเหล่านี้ยังดำเนินการโต้แย้งอยู่เลย ตอนนี้เป็นช่วงที่ เธอจะต้องพยายามแหวกว่ายไปข้างหน้าให้สามารถเติบโตใน สภาพแวดล้อมที่ตรงข้ามกับเสรีนิยมนี้ให้ได้ นับเป็นเรื่องน่า ยินดีที่ไม่คาดฝัน

เฉินเสวี่ยเดินเล่นชมสถานที่หลายแห่ง เมืองเล็กทางใต้ แห่งนี้ไม่ใหญ่มาก มีถนนสายหลักเพียงสองสาย สายหนึ่งชื่อ ว่าถนนจงซาน ถนนอีกสายหนึ่งชื่อว่าถนนเจียฟาง ดูเหมือนใน ยุคนี้ไม่ว่าจะเป็นเมืองไหนๆ ต่างก็มีถนนสองสายแบบนี้กันทั้ง นั้น ซึ่งห้างสรรพสินค้าของรัฐและสหกรณ์ร้านค้าก็ตั้งอยู่บน ถนนสองสายหลักนี้ด้วย เฉินเสวี่ยเดินเข้าไปดูด้านในหนึ่งรอบ และเป็นอย่างที่คาดไว้จริงๆ ประเภทสินค้าที่อยู่ด้านในไม่ได้ ถือว่าใหม่อะไร ทว่าราคากลับเป็นราคาที่เห็นแล้วต้องหยุด ชะงักฝีเท้าทันที และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือพนักงานขายที่อยู่ด้าน ในเมื่อเห็นว่ามีลูกค้าเข้ามากลับทำเป็นเมินเฉยไม่สนใจ แค่ถามอะไรนิดอะไรหน่อยก็กลอกตาใส่ ในจมูกทำเสียงฮึดฮัดใส่ สองทีก็นับว่าเป็นการตอบสนองแล้ว ยิ่งกว่านั้นคนที่นี่ต่างพูด สำเนียงใต้กันทั้งนั้น เฉินเสวี่ยฟังไม่ค่อยเข้าใจว่าพวกเขากำลัง พูดถึงอะไร ต้องการเอ่ยถามอีกครั้ง น้ำเสียงของฝ่ายตรงข้าม กลับเปลี่ยนเป็นแหลมคมขึ้นในทันที ราวกับว่าเฉินเสวี่ยทำให้ พวกเขาเสียเวลามากยังไงอย่างนั้น ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริง แล้วคนพวกนั้นแค่ยืนคุยกันอยู่ในเคาน์เตอร์เฉยๆ แท้ๆ

เฉินเสวี่ยเดินอยู่เป็นเวลานานกลับไม่มีอะไรที่อยากจะซื้อ เลย เดินเสียจนตัวเองร้อนจนแทบทนไม่ไหวจึงเดินไปที่ตู้แช่ แข็งตรงประตูทางเข้าเพื่อซื้อไอติมแท่งมากินสักแห่ง ไอติมแท่ง ในยุคนี้มันคือแท่งน้ำแข็งจริงๆ มันคือการเอาน้ำตาลเม็ดสีมา แช่แข็ง เฉินเสวี่ยเลือกดูกระทั่งเจอไอติมถั่วแดงอะซูกิ ใน ตำนาน ด้านในยังมีถั่วแดงเล็กๆ อยู่ด้วย ไอติมแท่งเล็กๆ ถึง แม้จะมีน้ำตาลอยู่บ้างแต่ส่วนใหญ่จะเป็นน้ำ เมื่อเทียบกับ ไอศกรีมรสชาติเข้มข้นที่เคยกินเมื่อก่อนสามารถกล่าวได้เลย ว่าแทบไม่มีแคลอรี่อะไรอยู่เลย วันนี้เธอเองก็เดินอยู่ภายใต้ แสงแดดจ้ามานานขนาดนี้ เหงื่อก็ไหลออกมาไม่น้อย เมื่อกิน มันเข้าไปก็ไม่ได้มีความรู้สึกผิดอะไร

เธอพลางกัดไอติมพลางเดินออกจากสหกรณ์ร้านค้า เฉินเสวียตัดสินใจเดินเลี้ยวเข้าไปดูในตรอกเล็กๆ ด้านข้าง เมื่อก่อนเธอก็ชอบเดินเข้าไปเที่ยวตามตรอกซอกซอยแบบนี้ซึ่ง มักจะได้พบกับสิ่งของใหม่ๆ จำนวนไม่น้อย ครั้งนี้ก็ไม่ได้ต่าง จากที่คาดไว้ คิดไม่ถึงว่าเดินออกไปไม่ไกลนักจะเป็นตลาดของ เหล่าเกษตรกรรายย่อยเล็กๆ ที่ไม่ได้มีเพียงแค่ผักและผลไม้สด เท่านั้น ยังมีเนื้อทุกประเภท อาหารทะเลทุกชนิด ยังมีบางคน ขายของเล็กๆ น้อยๆ มีเข็มมีด้ายอยู่ที่นี่ด้วย นอกจากนี้ทาง ด้านข้างตลอดทั้งแถบยังมีร้านค้าชาสมุนไพรหลายชนิด แผง ขายอาหารปรุงสุก ขายอาหารว่าง ขายของเล่น เป็นอะไรที่ ครึกครื้นคึกคักมาก

เฉินเสวยยิ่งมองยิ่งรู้สึกสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ ตอนอยู่ข้าง ในห้างสรรพสินค้าของรัฐเมื่อครู่นี้ไม่เห็นจะคึกคักขนาดนี้เลย ประตูทางเข้าร้างสุดๆ ดูเหมือนว่าผู้คนต่างถูกดึงดูดมาที่นี่กัน หมดแล้ว เธอยังมองเห็นร้านขายผ้าสองร้านที่อยู่ห่างไกลออก ไปด้วย ดูเหมือนว่านอกจากสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดใหญ่ แล้ว สิ่งของชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่มีตามห้างสรรพสินค้า ที่นี่ก็มีเกือบ ทั้งหมดเหมือนกัน ราคาของที่นี่ถูกอีกทั้งยังสามารถต่อราคาได้ ผู้คนดูกระตือรือร้นด้วย มิน่าล่ะถึงไม่มีคนเข้าไปซื้อของในห้าง สรรพสินค้าเลย ต้องจ่ายเงินเหมือนกัน แต่ใครจะไปทนรับอารมณ์นั้น

เฉินเสวี่ยกำลังเดินช้อปอย่างมีความก็ได้ยินเสียงใคร บางคนพูดขึ้นมาว่า “แม่หนู ไอติมแท่งพวกนี้เยอะๆ มันความเย็นร่างกาย อากาศร้อนแบบนี้ไม่เอาจับ เลี้ยงชามกว่า”

เฉินเสงี่ยหันไปมอง หญิงชราอายุมากกว่าครึ่งร้อยอยู่ ร้านจับเลี้ยงด้านข้างกำลังโบกโบกให้อยู่ เฉินเสวี่ยยิ้ม คุณยาย

หญิงชราพยักสมัยชอบแต่พวกน้ำแข็งพวกนี้แหละ ของประเภทนี้ นะกินเยอะต่อสุขภาพนะ” คำพูดของหญิงชรายังสำเนียงผสมอยู่ด้วยเล็กน้อย แต่เดิมทีพื้นเพของเฉินเสวี่ย เป็นคนใต้เหมือนกัน เมื่อฟังแล้วไม่ได้รู้สึกยากเย็นอะไร

เฉินเสวยยิ้มอย่างเขินอาย อากาศร้อนเกินไปก็มีกินบ้าง เป็นคราว”

“น้ำแข็งพวกมันทำให้กดความร้อนให้ลดได้ใน ทันที สำเนียงแล้วแม่หนูคนทางนี้ใช่ไหม”“ค่ะ ตามคนในครอบครัวมาที่นี่ค่ะ

“แบบนี้พวกเธอถึงไม่ค่อยรู้ไง ทางใต้อากาศร้อนแผดเผา ความชื้นสูง อาศัยแค่กินของเย็นๆ แบบนี้มันสามารถทำให้กด ความร้อนให้ลดลงได้ในทันที แต่ภายในร่างกายยังมีไฟอยู่ ถูก น้ำแข็งกดเอาไว้แบบนี้มันจะสามารถเปลี่ยนเป็นไฟภายในได้ ง่าย สภาพอากาศแบบนี้ต้องดื่มน้ำจับเลี้ยงให้มากๆ ของพวก นี้ใช้สมุนไพรจีนต้มออกมาทั้งนั้น มันจะถอนพิษไฟจากภายใน ออกมาและดีต่อสุขภาพด้วย คนจากทางเหนืออย่างพวกเธอ ไม่รู้เรื่องพวกนี้ ถ้าไม่ดื่มจับเลี้ยงผ่านฤดูร้อนไปจะต้องทน ทรมานนะ”

คุณยายพูดเสียงหอบอยู่สักพักก่อนจะลุกขึ้นยืนหยิบเอา ชามออกมาแล้วในน้ำจับเลี้ยง [2] จากหม้อใบใหญ่ออกมา ชามหนึ่ง ผลักมันมาไว้ตรงหน้าของเฉินเสวี่ยแล้วพูดว่า “มา ชิมดูสิ นี่น่ะใช้กิมหนึ่งฮวย [3] โถวฮก [4] ต้มใส่ด้วยกันกับ หล่อฮังก๊วย [5] เหมาะที่สุดสำหรับดื่มในหน้าร้อน ทั้งแก้ร้อน ในถอนพิษไฟ ทั้งขับความชื้นไล่ความร้อนด้วย


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ