บทที่ 7 ดวงจิตหวนคืน
เขาเหมาซานเคร่งขรึมไปทั่วทั้งภูเขา เมฆบนท้องฟ้าค่อยๆ กระจายตัวออกไป ขณะนี้ท้องฟ้าเริ่มเป็นเวลาเย็นแล้ว พระอาทิตย์กำลังจะตกดิน ปลายขอบฟ้าเกิดเป็นแสงสีแดงระเรื่อ สายลมอ่อนๆ โดยผ่าน ต้นไม้น้อยใหญ่บนภูเขาต่างส่งเสียงดัง ซู่ซ่า ราวกับบทเพลงเศร้าสร้อยที่กำลังบรรเลงอยู่กลางอากาศ
“ศิษย์น้อง อาจารย์ได้ฝากฝังอะไรนายหรือเปล่า”จางซานเฟิง เงยหน้าขึ้นมองไปยังท้องฟ้ายามเย็นแว็บหนึ่ง ก่อนจะหันมามอง หลินไปด้วยสีหน้าเป็นกังวล พลางเอ่ยถามขึ้นเสียงเบา
“อาจารย์ได้ฝากฝังแล้ว ให้เผาร่างอาจารย์ ส่วนเราสองคนต่อ ไปจะเข้าวงสังคมหรือไม่ก็แล้วแต่เรา”หลินไป์เอ่ยเสียงทุ้ม
จางซานเฟิงมองใบหน้าที่เศร้าสร้อยของหลินไปโดยไม่ได้เอ่ย อะไรต่ออีก เขารู้ดีว่าอาจารย์กับศิษย์น้องคนนี้ของเขา ในนาม อาจจะเป็นอาจารย์กับศิษย์ แต่ในความสัมพันธ์นั้นเป็นเหมือน พ่อลูก ตอนนี้อาจารย์ได้จากโลกไปแล้ว ศิษย์น้องก็ต้องเสียใจ เป็นธรรมดา จางซานเฟิงไม่ได้เอ่ยอะไรต่อดีเขายกแขนขึ้น ใช้ชายแขนเสื้อเช็ดคราบน้ำตาบนใบหน้าออก ก่อนจะไปเตรียมพวกพื้นที่ต้องใช้ในการเผาร่างอย่างเงียบๆ
ผู้คนในหมู่บ้านเมื่อได้ทราบข่าวการเสียชีวิตของท่านนักพรต ต่างก็ทยอยขึ้นมาบนภูเขา รีบมาช่วยจางซานเฟิงเตรียมสิ่งของ พวกนี้
พวกสาวๆที่เคยรู้สึกดีๆกับหลินไปก็ไม่ได้มาพูดจาหยอกล้อ อีก พวกเด็กๆที่อยากหาหัวโจกเมื่อเห็นสีหน้าของหัวหน้าก็ได้แต่ จากไปหงอยๆ สำหรับชาวบ้านพวกนั้นที่ถูกหลินไปกระทำมาพอ สมควร เมื่อเห็นสีหน้าที่เจ็บปวดของหลินไปในขณะนี้ ต่างก็พา กันชื่นชมในความกตัญญูของเด็กคนนี้ เรื่องราวต่างๆ ในอดีต พวกเขาเลือกที่จะลืมไปก่อน
เมื่อเตรียมฟืนและที่ตั้งศพพร้อมแล้ว หลินไปที่นั่งอยู่หน้าประตู ศาลเจ้าอย่างไม่พูดไม่จากลุกขึ้น เดินเข้าไปในห้อง อุ้มร่างไร้ วิญญาณของหลี่เทียนหยวนออกมา หลังจากที่จัดระเบียบเศษไม้ ในกองพื้นที่เกะกะอย่างระมัดระวังแล้ว ก็วางร่างของหลี่เทียน หยวนลงไป
จางซานเฟิงที่อยู่ด้านข้าง ยื่นคบเพลิงที่อยู่ในมือไปให้ หลิน ไปรับมาด้วยสีหน้าราบเรียบ โยนคบเพลิงลงไปในกองฟืน และ ไฟก็ลุกโชนขึ้นทันที ร่างของท่านนักบวชค่อยๆละลายไป ท่ามกลางเปลวเพลิง
เปลวเพลิงลุกโชนอยู่นานเป็นเวลาหนึ่งคืนเต็มๆ และสุดท้าย ในเปลวเพลิงกลับเหมือนมีกลิ่นดอกไม้จันทน์ล่องลอยออกมา ชาวบ้านในหมู่บ้านต่างพากันยกย่องว่าท่านนักบวชต้องกลาย เป็นเทวดาแล้วแน่ๆ สิ่งที่เผาไปในตอนนี้เป็นเพียงเปลือกนอก ของเขาเท่านั้น ดวงวิญญาณได้ลอยขึ้นฟ้าไปตั้งนานแล้ว
ตลอดทั้งคืน หลินไปไม่ได้เอ่ยพูดอะไรกับใครแม้แต่คำเดียว เพียงแต่นั่งเงียบอยู่หน้ากองเพลิง มองดูเปลวเพลิงที่ลุกโชน สีหน้าเคร่งเครียด พลางในปากก็เอาแต่ท่องบทส่งดวงวิญญาณ สู่แดนเทพ
พอเช้าวันรุ่งขึ้น ในที่สุดเปลวเพลิงก็มอดไหม้ลง ในกองเถ้า ถ่านที่ยังไหม้อยู่นั้น กลับมีเม็ดกลมๆที่คล้ายพระบรมสารีริกธาตุ ของพุทธศาสนาประกายแสงวาววับอยู่
หลินไปไม่สนใจความร้อนของเถ้าถ่านที่ยังไหม้อยู่ หยิบ พระบรมสารีริกธาตุพวกนี้ขึ้นมาทีละชิ้น หลังจากที่เก็บเถ้ากระดูก ที่หลงเหลือเรียบร้อยแล้ว หลินไปก็ถือเถ้ากระดูกพวกนั้นเข้าไป ยังอุโบสถเพียงลำพังพร้อมกับล็อกประตูสนิท
“ตาเฒ่า จะจากไปแบบนี้ได้อย่างไร”หลินไปวางเถ้ากระดูกลง ตรงหน้ารูปปั้นปรมาจารย์บรรพบุรุษ ก่อนจะทิ้งตัวนั่งพิงผนังห้อง จ้องมองอัฐที่บรรจุเถ้ากระดูกไว้ เอ่ยด้วยรอยยิ้มขมขื่น
“ท่านให้ฉันท่องบทสวดศพ ให้ฉันท่องศาสตร์การดูดวง ให้ ฉันไปแอบดูสาวน้อยสาวใหญ่อาบน้ำ ให้ฉันแอบไปเส้นไหว้ท่าน ท่านให้ฉันลงเขาไปเผชิญโลกกว้าง ไม่ว่าฉันจะทำอะไร ท่านก็ดู ไม่พอใจไปเสียหมด บอกว่าเทียบกับสมัยท่านหนุ่มๆไม่ได้เลย สักนิด”
“ตาเฒ่า ท่านไม่รักษาคำพูด ท่านเคยบอกฉันว่า จะรอจนฉัน ไปสร้างชื่อเสียงโด่งดัง จะรอดูฉันแต่งงานมีลูก และจะมีชีวิตที่มี ความสุขกับการมีลูกหลานรายล้อม ฉันก็คิดว่ารอจนฉันลงเขาไป จะหาแม่หม้ายสาวก้นสะบึมที่เหมาะสมมาให้ท่านเจ็บเล่น ไม่แน่ อาจทำให้ต้นไม้เหล็กของท่านผลิดอก ผลิตศิษย์น้องมาให้พวก ฉันเล่นอีกคน แต่ทำไมท่านจึงได้จากไปก่อนละ
“ตาเฒ่า ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้นะ มอบมรดกมหาศาลของสำนัก เทียนเซียงให้ฉัน ไม่กลัวฉันจะเผาผลาญทำลายมรดกนี้จนสิ้น หรือไง”
พูดไปพูดมา จุๆน้ำตาของหลินไปก็ทะลักลงมาราวกับสายฝน สีหน้าเศร้าโศก เมื่อผู้คนที่อยู่นอกได้ยินเสียงสะอื้นไห้อย่างเจ็บ ปวดที่ส่งออกมาจากภายในอุโบสถ ต่างก็พากันได้อย่างกลั้น ไม่อยู่
เรื่องราวระหว่างเขากับหลี่เทียนหยวนนั้นมีมากมายเหลือเกิน ถูกท่านนักบวชเลี้ยงดูมาตั้งแต่ตัวเท่าลูก เจี๊ยบ จนเมื่อเริ่มโตเป็นผู้ใหญ่ นอกจากศาสตร์การดูดวงแล้ว ทั้ง ทัศนคติที่มีต่อโลกและหลักแห่งการดำเนินชีวิต ทั้งหมดนี้ล้วน ค่อยๆเกิดขึ้นจากการเจียระไนของท่านนักบวช
“ศิษย์น้อง ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป นายก็คือปรมาจารย์แห่ง สํานักเทียนเซียงจงของเรา เรื่องเล็กใหญ่ต่างๆ ในสำนักต้องอยู่ ในการดูแลของนาย ศิษย์น้องรักษาตัวด้วย”เมื่อจางซานเฟิง ได้ยินเสียงร่ำไห้ภายในอุโบสถ ก็ทุบประตูไม้เอ่ยปลอบหลินไป พร้อมกับร้องไห้ไปด้วย
หลินไปยังตัวเองไว้ในอุโบสถเป็นเวลานานถึงเจ็ดวัน ไม่กินไม่ ดื่ม ไม่ว่าใครจะร้องเรียกอย่างไรก็ไม่สนใจ
หลังจากเจ็ดวัน หลินไปก็ถืออัฐเถ้ากระดูกเดินออกมาจากด้าน
ใน ผมหางม้ายาวที่เดิมที่ดำเงางามซึ่งรวบไว้ด้านหลัง หลังผ่าน
ไปเจ็ดวัน กลับขาวโพลนไปทั้งหัว
สิ่งที่น่าโศกเศร้าที่สุดคือจิตใจด้านชา ต้องความรู้สึกแบบไหน กันนะ ที่สามารถทำให้คนคนหนึ่งผมขาวได้ในเจ็ดวัน เมื่อเห็น สภาพเช่นนี้ของหลินไป ชาวบ้านที่เฝ้าอยู่หน้าศาลเจ้าต่างพากัน เงียบไม่พูดไม่จาอยู่นานสองนาน
สุดท้ายหลี่เทียนหยวนถูกฝังไว้ในตำแหน่งสุดยอดฮวงจุ้ยบน เขาเหมาซานที่เขาดูไว้ตั้งแต่แรก สถานที่แห่งนี้เรียกว่าจักจั่น ทอง ในศาสตร์แห่งฮวงจุ้ย อำนาจในการปกปักรักษาครอบครัว ไม่มากนัก แต่ในด้านการให้พรแก่ลูกศิษย์ในสำนักนั้นสูงมาก หลังจากที่ทําการสั่งอาจารย์เรียบร้อยแล้ว จางซานเฟิงที่มีความ รู้ด้านศาสตร์ฮวงจุ้ยได้กล่าวชื่นชมอยู่นานสองนาน
“ตาเฒ่า อีกเดี๋ยวฉันก็จะลงเขาไปแล้ว ศิษย์พี่ไม่ยอมไปกับฉัน ปากก็บอกว่าไม่ชินกับการใช้ชีวิตข้างล่าง แต่ฉันรู้ว่าความที่จริง แล้ว เขาอยากอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนอาจารย์ พอฉันแก่แล้ว ฉันจะกลับ มา สร้างบ้านหญ้าคาเล็กๆไว้ข้างหลุมศพของท่านหลังหนึ่ง จะ อยู่เป็นเพื่อนท่านทั้งทุกเวลา……..
หลินไปปักธูปสามดอกลงหน้าป้ายหลุมฝังศพของท่านนักบวช ทว่าไม่ได้วางของเส้นไหว้มากมายไว้หน้าป้ายหลุมฝังศพเหมือน คนปกติทั่วไป มีเพียงเหล้าไม่กี่ขวด และบุหรี่ไม่กี่ซองที่จุดไฟเอา ไว้ กลิ่นเหล้าและกลิ่นบุหรี่ที่เข้มข้นปะปนเข้ากันไว้
ทั้งชีวิตนี้ของหลี่เทียนหยวนไม่ได้ชื่นชอบอะไรมากเป็นพิเศษ สิ่งเดียวที่ขาดไม่ได้ก็คือสิ่งที่อยู่ในแก้วนี้และบุหรี่ที่สามารถทำให้เกิดควันลอยขึ้นบนมือ
“อาจารย์ ท่านอยู่ในโลกยมบาลจงวางใจเถอะ เรื่องพวกนั้นที่ ท่านฝากฝังไว้ฉันจะทำมันให้ดีที่สุด ทำไมหมอดูอย่างเราต้อง ส่วนมากก็จะผิดอย่างหนึ่งในสิ่งที่ไม่ดีห้าอย่าง พ่อม่าย แม่หม้าย กำพร้า ผู้อายุสูงกับและพิการ สิ่งที่ขาดสามอย่าง เงิน ชีวิตกับ อำนาจ) ฉันก็ต้องหาสาเหตุให้พบ สำนักเทียนเซียงต้องดำรงต่อ ไปอย่างแน่นอน นี่คือเหล้าชั้นยอดที่ฉันนำกลับมาให้ท่านในครั้ง นี้ ท่านค่อยๆลิ้มรสนะ…”หลินไปหยิบขวดเหล้าขึ้นมา เทเหล้าลง บนป้ายหลุมฝังศพ ก่อนจะเอามือกุมหน้าไว้ สะอื้นไห้ไม่หยุด
ตลอดหลายปีมานี้ท่านนักบวชไม่เคยใช้ศาสตร์การดูดวงใน การหากิน ด้วยเหตุนี้ชีวิตจึงค่อนข้างลำบาก ไม่ว่าเหล้าหรือบุหรี่ ก็ต้องเลือกที่ราคาต่ำที่สุด หลินไปกลับมาคราวนี้ได้นำเหล้าและ บุหรี่ชั้นยอดจากที่ต่างๆกลับมาฝากท่านนักบวชไม่น้อย ทว่าน่า เสียดายที่ท่านนักบวชไม่มีโอกาสได้ลิ้มลองแล้ว ได้แต่เส้นไหว้ไว้ หน้าหลุมฝังศพ
หลินไปปาดคราบน้ำตา ในหางตาทิ้ง หันมาหาจางซานเฟิงที่ ยืนอยู่ด้านข้าง เอ่ยขึ้นเสียงเบา ศิษย์พี่ หลุมศพของอาจารย์ขอ ฝากไว้ที่นี่นะเราสองคนจากกันคราวนี้ พบกันอีกทีก็คงเป็นวันเช็งเม้งปีหน้า
“ศิษย์น้อง กลับไปเถอะ ป่าเขา ในเวลากลางคืนลมแรงน้ำค้าง เยอะ จะไม่สบายได้ง่าย เรื่องบนเขาฉันจะดูแลเป็นอย่างดี นาย วางใจเถอะ”
จางซานเฟิงมองสภาพของหลินไป พร้อมกับตบบ่าหลินไป เบาๆ การที่อาจารย์รับลูกศิษย์เช่นนี้มาคนหนึ่ง และยังให้คนที่มี ความผูกพันอย่างนี้คนหนึ่งมาดูแลสำนักเทียนเซียงต่อ จางซาน เฟิงคิดว่าการพัฒนาของสำนักเรียนเชียงในอนาคตต้องไม่มี ปัญหาแน่ๆ
“ศิษย์พี่ พี่กลับไปก่อนเถอะ ฉันขออยู่เป็นเพื่อนอาจารย์ที่นี่อีก คืนหนึ่ง ฉันยังหนุ่มยังแน่น น้ำค้าง ในป่าพวกนี้ทำอะไรฉันไม่ได้ หรอก แต่ศิษย์รีบกลับไปก่อนเถอะ พี่อายุมากแล้ว น้ำค้างในป่า ก็ตกหนัก หากพี่ล้มป่วยขึ้นมา ศาลเจ้าของเราก็จะไม่มีกลิ่นอาย ของมนุษย์จริงๆแล้วนะ”หลินไปไม่ได้เงยหน้าขึ้น เอ่ยพูดกับจาง ซานเฟิงเสียงทุ้มเบา
จางซานเฟิงเป็นลูกศิษย์ที่หลีเทียนหยวนรับมาตอนหลัง ตอน ที่รับมาเป็นศิษย์ จางซานเฟิงก็อายุได้สี่สิบต้นๆแล้ว มาถึงตอนนี้ อายุก็เกือบหกสิบแล้ว อีกทั้งยังเที่ยวดูฮวงจุ้ย ต้องข้ามน้ำข้ามภูเขาไปทั่ว เปิดโลกกว้าง หลายมานี้ สุขภาพของจางซานเฟิงค่อยเท่าไหร่ ดังนั้น จางซานเฟิงจึงยืนหยัดต่อ หลัง จากปลอบใจหลินไปไม่ประโยค ก็ได้กลับศาลเจ้าไป
เมื่อตกดึกแหงนหน้าขึ้นไปยังฟ้ายามค่ำคืน หลังได้รับการ ชะล้างจากฝนตกกระหน่ำทั้งคืน ดวงดาวบนท้องดูสว่างไสว กว่าปกติ ดาวบนท้องฟ้าส่องกระทบบนหลุมฝังของ ท่านนักบวชยิ่งหลินไปแหงนมองดวงดาวบนท้องฟ้า นานเท่าไหร่
“เอ๋ คือ”หลินไปรู้สึกประหลาดใจ แม้ว่าประเทศจีนจะมีพวก ค่ายกระบี่หรือศาสตร์วิชา และการดวงบางใช้ชื่อ ของดวงดาวเป็นชื่อเรียก แต่มันเป็นการยืมใช้ชื่อของดวงดาว เท่านั้น แต่สิ่งอยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้ เขาเพิ่งจะเคยเห็นครั้งแรก
ฟ้าลัทธิอเวจี เปรียบเสมือนร่างกายมนุษย์ อาจเคราะห์ร้ายได้เมื่อ แม้น เป็นลิขิตจากฟ้าดิน วงโคจรให้ดำเนินตาม นอกรีตแปด ร้อย ทางธรรมสามพัน คาถาสํารวจกลิ่นอายของดวงดาวทีข้าคิดค้นมา สามารถจัด อยู่ในแปดร้อยวิชาได้ ขณะที่รู้สึกว่าดวงดาวบนท้องฟ้าโคจร อย่างมีแบบแผนอยู่นั้น ๆ ในสมองของหลินไปก็มีประโยคเช่นนี้ ดงขนมา
“ใคร”
หลินไปหันขวับอย่างตื่นตระหนก มองสำรวจไปทั่วสารทิศ สายลมพัดผ่านใบไม้ใบหญ้าส่งเสียงดังซ่าๆ ทว่าในหุบเขากลับ ว่างเปล่าไร้เงาผู้คน
“ดวงชะตาของมนุษย์ เปรียบเสมือนวงโคจรของดวงดาวบน ท้องฟ้า สว่างบ้างมืดมิดบ้าง แต่เมื่อค้นหาอย่างละเอียดก็จะค้น พบ สรรพสิ่งบนโลกก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน ดูใบหน้า รู้ทั้งภพที่ แล้วและภพหน้า ดูภูมิศาสตร์ รู้โชคชะตาหน้าหลัง……..เสียง พิมพ์ซุ้มดังขึ้น ราวกับไม่ได้สนใจในความตระหนกตกใจ ของหลินไป ยังคงปรากฏประโยคแล้วประโยคเล่าขึ้นในสมอง ของหลินไปเรื่อยๆ
“ฉัน หลีเทียนหยวนยากจนมาทั้งชีวิต ไม่ได้ประสบความ สำเร็จในด้านใด แต่กลับนึกไม่ถึงว่าจะมีโอกาสคิดค้นคาถา สํารวจกลิ่นอายของดวงดาวออกในที่ฝังศพที่ตนเองเลือกไว้ ฉัน ได้ใช้ค่ายกลกระบี่เก็บคาถาลับนี้ไว้ที่นี่ รอให้ผู้มีวาสนามาค้น พบไป”
เมื่อได้ยินประโยคสุดท้ายที่ส่งเข้าในสมอง หลินไปชะงักงัน ยืนนิ่งอยู่กับที่ทันที เขานึกไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าอาจารย์ของเขาจะ เป็นผู้คิดค้นคาถาลับนี้ขึ้น ส่วนเสียงที่ดังขึ้นมาเมื่อกี้นี้ ก็เป็นค่าย กลกระบี่ที่อาจารย์วางไว้
เรื่องพวกนี้เป็นสิ่งที่มีอยู่จริง โดยการเปลี่ยนตำแหน่งพิเศษ
ของสนามแม่เหล็ก ก็จะสามารถเก็บเสียงที่บันทึกเอาไว้ได้ เมื่อ
ได้รับอิทธิพลพิเศษจากภายนอกที่กำหนดไว้ ก็จะคืนสู่สภาพ
สถานการณ์หรือคำพูดเดิมในตอนนั้นได้ ค่ายกลกระบี่ที่หลี่เทียน
หยวนวางเอาไว้ก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน มีเพียงผู้สืบทอดที่มีสมบัติ
ลับของสำนักเทียนเซียงที่มาถึงที่นี่เท่านั้น ที่จะสามารถปลุกค่าย
กลกระบี่ และได้รับการถ่ายทอดจากเขา
หลังจากที่ได้ทําความเข้าใจในสารที่ได้รับมาอย่างละเอียด แล้ว หลินไปยิ่งรู้สึกว่าท่านนักบวชที่ถูกตนเรียกว่าตาเฒ่านั้นเป็น ผู้สุดยอดอัจฉริยะเพียงใด ที่สามารถนำวงโคจรบนท้องฟ้ามา เชื่อมโยงกับดวงชะตาของมนุษย์ได้ ครั้งนี้ อย่าว่าแต่วิชาแปด ร้อยเลย แม้แต่ทางธรรมสามพัน ก็น่าจะเบียดเข้าไปได้
“อาจารย์ นี่หรือสิ่งที่ท่านถ่ายทอดให้ฉันหรือ ปลายขอบฟ้าเริ่มสว่างขึ้นมา หลินไปทอดสายตามองไปยัง ท้องฟ้าที่เริ่มสว่างขึ้น นิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้นเสียงเบา “อาจารย์ ฉันจะลงเขาเดี๋ยวนี้แหละ ในวันเช็งเม้งปีหน้า ฉันจะมา ทำความสะอาดสุสานให้ท่านนะ ถึงตอนนั้นก็จะพยายามหาศิษย์ สะใภ้กลับมาให้ท่านสักสองสามคนนะ”
เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ