บทที่ 3 เขาเหมาซาน
ใบหน้าของจางซานเพิ่งกระตุกจนแทบจะเป็นตะคริวอยู่แล้ว ทว่า สุดท้ายก็ได้ยื่นมือรับเศษเหรียญห้าเจี้ยวที่หลินไปยื่นมาให้
“ล่าเหยี่ยวมาทั้งวัน วันนี้ถือว่าถูกเหยี่ยวจิกจนตาบอดไปแล้ว” จางซานเฟิงบีบเศษเหรียญห้าเจี้ยวพลางบ่นพึมพำประโยคหนึ่ง ทว่าๆกลับนึกขึ้นได้ถึงคำว่า ‘ศิษย์พี่ ที่หลินไปเรียกเมื่อครู่นี้ เขาชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยขึ้นเสียงเบา “ศิษย์น้อง นาย ออกได้อย่างไร”
หลินไปเบ้ปากเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยพูด”ก้าวเดินของนายไง และท่าทางโลภมากมักมากในกามนั้นด้วย นอกจากตาเฒ่าแล้ว จะมีใครสอนลูกศิษย์ออกมาแบบนี้ได้อีกล่ะ”
จางซานเฟิงยิ้มหน้าเงื่อน ทว่าไม่ได้เอ่ยพูดอะไร
“ศิษย์พี่ ตกลงตอนนี้อาจารย์เป็นยังไงบ้าง เกือบจะไม่ไหวแล้ว อย่างที่บอกในโทรศัพท์จริงหรือ”หลินไปเอ่ยถามจางซานเฟิงที่ อยู่ตรงหน้าด้วยท่าทางเป็นห่วง เพราะไม่ว่าอย่างไร เขาก็เป็น อาจารย์ผู้มีพระคุณผู้ซึ่งถ่ายทอดวิชาความรู้ให้แก่ตน และยัง อบรมเลี้ยงดูตนให้เติบใหญ่มาขนาดนี้ด้วย แม้ในปากจะพร่ำบ่น ทว่าในใจนั้นจดจำ พระคุณสองคำนี้ไว้ขึ้นใจมิเคยลืม
“ไปเถอะ พอนายไปถึงเขาก็จะรู้เอง”
จางซานเฟิงก็ไม่ได้พูดตอบอะไร ถือกระเป๋าเดินทางของหลินไปที่อยู่ด้านข้าง เรียกรถสามล้อมาคันหนึ่ง มุ่งตรงไปยังเขาเหมา ชาน
เขาเหมาซานเป็นภูเขาขึ้นชื่อแห่งหนึ่งของมณฑลเจียงซูใน ประเทศจีน มีทิวทัศน์ที่สวยงาม เก้ายอดเขา ยี่สิบหก สิบเก้า ลำธาร และยังถูกขนานนามเอ่ยชมว่า ฤดูใบไม้ผลิเห็นความ งามของภูเขา ฤดูร้อนเห็นบรรยากาศของภูเขา ฤดูใบไม้ร่วงเห็น อารมณ์ของภูเขา ฤดูหนาวเห็นโครงกระดูกของภูเขา และที่ สำคัญเขาเหมาซานเป็นแหล่งกำเนิดของสำนักเซี่ยงชิงแห่งลัทธิ เต๋า ถูกลัทธิเต๋าขนานนามให้เป็น “แท่นบูชาเซี่ยงชิง” และ เป็น”สุดยอดดินแดนศักดิ์สิทธิ์ถ้ำที่แปดแห่งสวรรค์
ในสมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันตก สามพี่น้องตระกูลเหมาอย่างเห มาหยิง เหมาและเหมาจงจากเมืองเซียนหยางมณฑลส่านซี มา แสวงธรรมบนภูเขาซาน และได้สร้างคุณประโยชน์มากมาย แก่ปวงชน เพื่อระลึกในคุณงามความดีของตระกูลเหมา คนรุ่น หลังจึงได้เปลี่ยนชื่อภูเขาซานเป็นภูเขาสามเหมาซาน เรียก สั้นๆว่า “เขาเหมาซาน”
ในช่วงราชวงศ์ถังและราชวงศ์ซ่ง ถือเป็นยุครุ่งเรืองสูงสุดของ ลัทธิเต๋าเขาเหมาซาน ไม่ว่าจะเป็นบริเวณหน้าเขาหลังเขา ยอด เขาหรือรอบเขา ต่างได้สร้างทั้งตำหนัก ศาลเจ้า วัดวาอาราม วิหารน้อยใหญ่ไว้มากมายกว่าสามร้อยแห่ง รวมห้าพันกว่าห้อง และมีนักบวชนับพันรูป มีการกล่าวขานกันว่า “ภูเขางดงาม ธรรมะศักดิ์สิทธิ์ ถ้ำมหัศจรรย์
แต่ทว่าเมื่อเข้าสู่ยุค80 ในศตวรรษที่ 20 หลังได้ประสบกับภัยพิบัติใหญ่หลวงนับสิบปีนั้น เขาเหมาซานก็เสื่อมถอยลงไม่น้อย แม้นว่าจะได้รับการซ่อมแซมปรับปรุงแล้วในช่วงต้นยุค80 ทว่าก็ มิอาจฟื้นฟูให้กลับไปยังยุครุ่งโรจน์ได้อีก
สำนักเทียนเซี่ยงไม่ได้ตั้งอยู่บนยอดเขาเหมาซาน แต่ตั้งอยู่ บนยอดเขาด้านข้างของเขาเหมาซาน บริเวณตีนเขามีหมู่บ้าน เล็กๆอยู่หมู่บ้านหนึ่ง เป็นหมู่บ้านที่มีประชากรราวหนึ่งร้อย หลังคาเรือน สงบร่มเย็น เรียกได้ว่าเป็นแดนสุขาวดี แต่ทว่าทันที ที่หลินไปไปถึง ความสงบสุขที่หมู่บ้านเคยมีได้หายไปทันที
“ไอ้มังกรขาวตัวน้อย แกยังกล้ากลับมาอีกเหรอ”
“พี่หลินไป์ พี่กลับมาสักที พอพี่ไม่อยู่พวกเราก็ไม่มีผู้นำ มัน รู้สึกเหมือนขาดอะไรบางอย่างไป
“หลินไป ทําไมนายถึงออกไปนานขนาดนี้ล่ะ คนอื่นเค้าเป็น
ห่วงนายทุกวัน คิดถึงนายจะแย่แล้ว คืนนี้นายว่างไหม ช่วยมา
ดูดวงทั้งร่างให้เค้าหน่อยสิ”
คำทักทายที่มีต่อหลินไปมีเพียงสามประเภทนี้เท่านั้น
ประเภทที่หนึ่งที่ก่นด่า หากไม่ใช่เพราะถูกหลินไปพาเด็กวัยรุ่น ในหมู่บ้านแอบดูลูกสะใภ้ตัวเองอาบน้ำ ก็เพราะถูกหลินไปขโมย ไก่บ้านตัวเอง
ประเภทที่สอง คือเด็กวัยรุ่นส่วนใหญ่ในหมู่บ้าน เมื่อหลินไป ไม่อยู่ก็ไม่มีหัวโจกนำก่อเรื่อง รู้สึกเหมือนชีวิตขาดสีสันในอดีต ไป วันนี้พอเห็นหัวโจกกลับมา ต่างพากันดีใจสุดๆ
สําหรับประเภทที่สาม ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรมาก ซึ่งก็คือสาว น้อยสาวใหญ่ผู้มากรักทั้งหลายในหมู่บ้าน ส่วนใหญ่จะแม่หม้าย หลีที่อยู่หน้าหมู่บ้าน จนไปถึงลูกสะใภ้คนเล็กของตระกูลจางที่ อยู่ท้ายหมู่บ้าน ตอนที่หลินไปอยู่ได้โปรยเสน่ห์ไปทั่ว พวกเธอมัก จะมาให้หลินไปดูดวงทั้งร่าง พอหลินไปจากไป ก็รู้สึกจิตใจว่าง เปล่า แต่ทว่าตอนนี้เมื่อเห็นคู่เขากลับมา ก็อดไม่ได้ที่จะชม้าย ชายสายตา ส่งเสียงออดอ้อน
แม่งเอ้ย หลินไปสวนด่ากลับไป ส่วนกลุ่มคนที่มาหาหัวหน้า นั้น หลินไปส่งยิ้มหึๆ ให้สำหรับเสียงออดอ้อนเหล่านั้น หลินไป เข้าไปปลอมประโลมทีละคน
จางซานเฟิงที่ถือกระเป๋าเดินทางอยู่อีกด้านหนึ่งถึงกับมอง ตาค้างชะงักงัน นี่ถือเป็นครั้งแรกในชีวิตเลยก็ว่าได้ ที่เห็นคนคน หนึ่งก่นด่าเอาเป็นเอาตาย ทว่าวินาทีต่อมากลับเป็นโปรยเสน่ห์ สุดฤทธิ์ ปฏิกิริยาที่พลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือนี้ ทำให้หัวใจ ดวงน้อยๆที่แสนเปราะบางของเขาแทบจะรับไม่ไหว
หลังจากที่ขึ้นเขาไป ก็ถือว่าได้สงบลงแล้ว ยิ่งเดินขึ้นเขาไป มากเท่าไหร่ สีหน้าของหลินไปก็ยิ่งเคร่งเครียด ในแววตาแฝงไป ด้วยความห่วงใยอยู่ไม่น้อย
นี่คือสถานที่ที่หลินไปเติบโตมา ว่ากันว่าหลินไปถูกผู้เฒ่าอุ้ม กลับมาจากด้านล่างภูเขา หลังจากที่โตแล้ว แม้ว่าหลินไปจะเคย ถามผู้เฒ่าถึงรายละเอียดของเรื่องราวทั้งหมด ทว่าผู้เฒ่ากลับ เอาแต่ยิ้มไม่ยอมพูดอะไร ถึงแม้ว่าผู้เฒ่าจะขี้เกียจและโลภมาก ตั้งแต่จําความได้ก็บังคับขู่เข็ญให้หลินไปท่องพวกตำราโบราณอ่านยากอย่าง ‘วิธีการดูดวง” คัมภีร์จิต เป็นต้น แต่ก็ได้ถ่ายทอด วิชาความรู้มากมายให้หลินไปเช่นกัน
เมื่อเดินมาถึงครึ่งเขา ก็พบศาลเจ้าเล็กๆ หลังหนึ่ง นอกจาก อุโบสถหลักสําหรับกราบไว้บูชาแล้ว ก็มีห้องเล็กๆมากมาย บน หลังคาเต็มไปด้วยหญ้าสดเขียวชอุ่ม เนื่องจากไม่ได้ทำการ ซ่อมแซมบำรุงมาเป็นเวลานาน ประตูห้องเปิดอยู่ แต่ทว่าด้านใน กลับมืดสนิท มองไม่เห็นสภาพด้านเลย
“อาจารย์ อาจารย์ ไป เขากระโจนเข้าไปข้างใน “หยดน้ำตากลิ้งเต็มหางตาหลิน
หลินไปหาทั่วอุโบสถ แต่กลับไม่พบเงาร่างของนักพรตเฒ่า เขาปาดคราบน้ำตาในหางตาทิ้ง หันมาถามจางซานเพิ่งที่อยู่ ด้านข้าง “ศิษย์พี่ ท่านอาจารย์ล่ะ”
“ไม่รู้สิ ตอนที่ฉันออกมา อาจารย์ยังนอนอยู่ในห้องอยู่เลย ช่วงนี้อากาศมันครึ้ม สัตว์ป่าบนภูเขาไม่มีอะไรจะกิน หรือว่า อาจารย์จะตกอยู่ในอันตรายจางซานเฟิงวางกระเป๋าเดินทางใน มือลง พร้อมกับพูดอย่างจริงจัง
ทันทีที่สิ้นเสียง ก้อนเมฆมืดครึ้มบนท้องฟ้าก็รวมตัวเป็นก้อน ใหญ่ เสียงฟ้าร้องดังกึกก้องอย่างบ้าคลั่งอยู่ในก้อนเมฆอันมืด มิดนั้น แสงฟ้าแลบสีทองวาบขึ้นทำลายความมืดมิด ตามด้วยฝน ที่ซัดกระหน่ำลงมาราวกับเปิดก๊อกน้ำ
หลินไปและจางซานเฟิงต่างมองหน้ากัน ก่อนจะพุ่งออกไปยัง ภูเขา โดยไม่ทันแม้แต่จะหยิบร่ม
“เทพสยบมาร ฉันก็แค่ออกมา สวรรค์ต้องเคียดแค้นกัน ขนาดนี้เชียวหรือ ฉันก็แค่ยื้อเวลาในการไปประตูนรกแค่ครึ่งวัน เอง ต้องกลั่นแกล้งกันขนาดนี้เลยหรือ”ๆก็มีเสียงดังขึ้นมาจาก ด้านหลังอุโบสถ
ตามด้วยนักพรตรูปร่างขนาดกลางคนหนึ่งปรากฏขึ้นจากด้าน หลังอุโบสถ ผมขาวเต็มหัว ทว่ากลับไม่มีรอยเหี่ยวย่นใดๆบน ใบหน้า อีกทั้งสีหน้ายังแดงมีน้ำมีนวลราวกับเด็กหนุ่มวัยรุ่น สมกับค่ากล่าวที่ว่าผมหงอกหน้าเด็กจริงๆ
หากดูเพียงภายนอก นักพรตเฒ่าผู้นี้ก็คงเป็นคนแก่คนหนึ่งที่ ดูแลตัวเองดีมาก ทว่าภายใต้แววตาที่นุ่มลึกดุจมหาสมุทรนี้กลับ เผยให้เห็นถึงร่องรอยแห่งประสบการณ์ ทำให้สัมผัสได้ว่าผู้เฒ่า คนนี้ไม่ธรรมดา
“อ้าว นี่มันลูกศิษย์สุดที่รักของฉันนา ว่าไง เพิ่งกลับมาถึงก็ จะไปแล้วหรือ” เมื่อนักพรตเฒ่าหันมาเห็นหลินไปที่ยืนอยู่ด้าน หนึ่ง ก็เอ่ยขึ้นขำๆ
เมื่อหลินไปเห็นนักพรตเฒ่าก็ได้ถอนหายใจอย่างโล่งอก ก่อน จะหัวเราะด่าขึ้นมา ตาเฒ่าบ้า ฉันก็นึกว่าเนื้อแดงสองกิโลของ ท่านถูกไอ้ลูกหมาป่าคาบไปกินสักแล้ว ว่าจะเข้าไปตามหาในป่า อยู่พอดี”
“เทพสยบมาร ฉันผ่านลมผ่านฝนมาตั้งเท่าไหร่ ต่อให้สวรรค์ จะเอาชีวิตของฉันไป ก็ต้องให้เวลาฉันตั้งครึ่งวัน ลำพังสัตว์ป่าจะ มาเอาชีวิตฉันไปได้อย่างไร นักพรตเฒ่าได้คาดเข็มขัดอย่างทุลักทุเล ก่อนจะสะบัดมือ ความหยอกเย้าบนหน้าไปสิ้น หันมาหน้าหลินไปกับจางซานเฟิงอย่างจริงจัง พร้อมกับ เอ่ยขึ้น เข้าอุโบสถ คุยเรื่องสำคัญ
หลินคิดไปทันที รู้สึกเหมือนอะไรชอบมาพาแต่ได้เดินตาม เฒ่าเข้าในอุโบสถ
เทวรูปที่สำนักเทียนเซียงบูชานั้นแตกต่างจากสำนักอื่นใน เขาในห้องอุโบสถ สิ่งที่พวกพรตที่ถือตำราโบราณไว้ในมือ รูปทรงของตำราโบราณเล่ม นั้นความพิเศษ คล้ายกระดองเต่า อักษรสามตัวสลักด้าน บน มีอายุเก่าแก่ยาวนาน ออกอักษรตัวนั้นคือตัวอะไร
ตามพรต
ของสำนักเทียนเซียง แม้นจะไม่เป็นรู้จักของผู้คนทั่วโลก แต่ ทว่าสำนักเทียนเซียงยังคงต้องจุดธูปเทียนกราบไหว้บูชาอย่าง ช่าเกรง
คุกเข่านักพรตเฒ่าท่าทางจริงจัง ก่อนหันข้างด้าน หน้าปั้นปรมาจารย์บรรพบุรุษ
“เราทั้งสามคนเป็นสืบทอดแห่งสำนักเทียนเซียง สำนักเทียน เซียงนั้นวิวัฒนาการพัฒนาจาก ช่วยเป็น 64 ช่วย ภายใต้การสนับสนุนและผลัก ดันของพวกหลี่ฉุนเฟิง ได้แยกออกมาเป็นสองกลุ่ม อันได้กลุ่ม คาถา และกลุ่มดูดวง
“ปรมาจารย์แห่งสำนักเรียนเขียงของเราก็คือปรมาจารย์หล ฉุนเฟิงผู้เขียนบทนวด ตั้งแต่สมัยราชวงศ์ถังมาจนถึงรุ่นของฉันก็ สืบทอดกันเป็นเวลากว่าพันปีแล้ว ฉันคือปรมาจารย์รุ่นที่สิบห้า ของสำนักเรียนเชียงของเรา
หลี่เทียนหยวนเหลือบมองหลังไปและจางซานเฟิงที่คุกเข่าอยู่ บนพื้นเล็กน้อย ก่อนจะพูดต่อ “สำนักของเรามีสมบัติลับชิ้นหนึ่ง ปรมาจารย์ทุกรุ่นจะมอบสมบัติลับนี้ให้แก่ลูกศิษย์ของตนก่อนจะ จากโลกนี้ไป หาคนที่จะสามารถสืบทอดสมบัติลับชิ้นนี้ ให้เขา เป็นปรมาจารย์แห่งสำนักเทียนเซียงรุ่นต่อไป ครั้งนี้ที่ฉันให้พวก เธอกลับมา ก็เพราะเรื่องนี้
หลินไปชะงักงัน จากที่นักพรตเฒ่ากล่าวมา ก็แสดงว่าสมบัติ ลับนี้จะสืบทอดได้ก็ต่อเมื่อปรมาจารย์เสียชีวิตเท่านั้น แต่ดูจาก ท่าทางของนักพรตเฒ่า แล้วก็ไม่มีอะไรผิดปกตินีนา จะเป็นไปได้ อย่างไร
“อายุขัยของฉันหมดลงแล้ว เวลาครึ่งวันนี้ฉันก็ใช้วิธีเปลี่ยน ดวงชะตาแย่งเวลามาจากสวรรค์ มิเช่นนั้น พอฉันออกไปนอก ศาลเจ้าจะเกิดปรากฏการณ์ใหญ่โตขนาดนี้ได้อย่างไร นักพรต เฒ่าเหมือนจะอ่านใจหลินไปออก อธิบายอย่างราบเรียบ
“ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาร้องไห้คร่ำครวญนักพรตเฒ่ากวาด สายตามองสองคนซึ่งอยู่บนพื้นที่ทำท่าจะร้องไห้ ก่อนจะเอ่ยพูด ต่อ หลังจากที่ต่อสู้กันเมื่อสิบปีก่อน สำนักเทียนเซียงได้แบ่งออก เป็นสองกลุ่ม หากฉันตายไป อาจารย์อาของเขาผู้ไร้ยางอายของ พวกเธอ ต้องมาแย่งชิงสมบัติลับชิ้นนี้แน่
เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ