บทที่ 13 ซูเสี่ยวป้ายผู้ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้าน
สีหน้าของหงสี่เปลี่ยนไปในทันที แต่ก็กลับคืนมาอย่าง รวดเร็ว อีกทั้งยังหัวเราะเสียงดังออกมา”แกหมายถึง หยวนเส้าน่ะเหรอ? ฉันไม่เชื่อว่าเขาจะทะเลาะกับฉัน เพียงเพราะแค่หวางห้าวคนเดียวหรอก”
ครั้งนี้ เย่จ่างไม่พูดอะไรอีก
“เรื่องทุกอย่างไม่มีอะไรพูดได้นอกจากคำว่า’เหตุผล” หงลี่พูดต่อ”โจวหยางเป็นน้องชายของฉัน หวางห้าวรังแก เขา ฉันก็จะแก้แค้นให้กับเขา ถึงเมิ่งเลี่ยงกับหยวนเส้าจะ ยืนอยู่ตรงนี้ ฉันก็จะเถียงด้วยเหตุผล พวกเขาก็ทำอะไร ฉันไม่ได้หรอก ! ”
พูดไปด้วย แกะมือของเย่จ่างออกไปด้วย ผ่านไปอย่าง รวดเร็ว หงลี่ก็เตะมาที่ผมอย่างแรง
“หงลี่ ทำไมต้องโกรธขนาดนั้นด้วย? “มีเสียงหนึ่งดัง ลอดเข้ามาจากประตูหน้าห้องเรียนของเรา
ผมไม่รู้จักเสียงนี้เลยแม้แต่น้อย อีกทั้งเพราะนอนราบ กับพื้นอยู่ ถูกโต๊ะเรียนบดบังสายตาอยู่ จึงทำให้มองไม่ เห็นด้วยซ้ำว่าคือใคร
แต่หงลี่ที่ได้ยินเสียงนี้ กลับเผยสีหน้าของความคาดไม่ ถึงออกมา หลี่เจ๋ก็หันหน้ากลับไปอย่างแปลกใจเหมือนกัน เห็นได้ชัดว่าไม่กล้าเชื่อว่าคนคนนี้จะมา ใบหน้าของ โจวหยางเต็มไปด้วยความงุนงง เห็นได้ชัดว่าไม่รู้จักคนผู้ นี้
เย่จ่างที่นอนอยู่ค้างๆผมสีหน้าดูดีใจมาก เขาผลักผม เบาๆ ตัวเองลุกขึ้นยืนก่อน ผมเองก็ลุกขึ้นอย่างงุนงง เหมือนกัน
“พี่เสี่ยวปาย”
“พี่เสี่ยวป้าย”
เย่จ่างกับหลี่เจ๋ทักทายคนคนนั้นอย่างเคารพนับถือ
ผมมองดูแล้ว เห็นแค่คนคนหนึ่งกำลังเดินเข้ามา รูป ร่างหน้าตาหล่อเหลา บนใบหน้าเผยรอยยิ้มที่ทำให้คน ตกหลุมรัก บนร่างกายของเขามีออร่าของความแพงแพร่ ซ่านออกมามันเป็นสิ่งที่บุคคลทั่วไปไม่สามารถเลียนแบบ ได้ แทบจะสามารถเทียบได้กับดาราที่อยู่ในจอได้เลย เขาเดินก้าวเข้ามาทีละก้าว อย่างไม่รีบไม่ร้อน ไม่จําเป็น ต้องทำอะไรแบบจงใจ สายตาของคนทุกผู้มองไปที่เขา เป็นจุดเดียว กระทั่งผมสามารถรับรู้ได้การมาของเขา ทำให้ผู้หญิงในห้องกลั้นหายใจ
การเตะของหงลี่ ยังคงค้างเติ่งกลางอากาศ รอคนคนนั้น เดินมาถึงแล้ว เขาถึงได้ร่นเอาเท้ากลับไป
“ซูเสี่ยวป่าย” หงสี่พูดชื่อของคนคนนั้นออกมา แล้วถาม ขึ้นอย่างแปลกใจนายมาทําอะไร? ”
“มีเพื่อนคนหนึ่งให้ฉันมาน่ะ” ซูเสี่ยวป่ายยิ้มด้วยใบหน้า ที่ทำให้คนหลงใหลให้มาดูว่าสามารถช่วยหวางห้าวพูด เคลียร์อะไรได้หรือไม่?
หมู่เฉิงเฟย ต้องเป็นหมู่เฉิงเฟยแน่ๆ! ผมเริ่มใจชื้นขึ้น มาหยู่เฉิงเฟยต้องคาดเดาเหตุการณ์ไว้แล้วอย่างแน่นอน คาดเดาว่าเรื่องยุ่งยากจะต้องมีต่อไปแน่ เพราะฉะนั้น จึงหาคนในโรงเรียนมัธยมปลายเฉิงหนานมาปกป้องผม คิดถึงว่าเขาคิดอะไรรอบคอบได้ขนาดนี้ ในใจของผมจึง ยิ่งซาบซึ้งจนไม่อาจบรรยายได้
เห็ฯได้ชัดว่าเย่จ่างซาบซึ้งกว่าผมมาก ถมือไปมาแล้วพูด ขึ้นมาว่า”พี่เสี่ยวป่ายครับ พี่ต้องพูดดีๆนะครับ”
ซูเสี่ยวป่ายมองมาที่ผม หัวเราะพลางถามขึ้นมาว่า“นาย คือหวางห้าวใช่ไหม? ”
เสียงของซูเสี่ยวป่ายเหมือนมีเวทมนตร์บางอย่าง ทำให้ คนที่ฟังรู้สึกอบอุ่นใจมาก ผมรีบพยักหน้า“ผมคือหวาง ห้าวครับ”
“อืม” ซูเสี่ยวป่ายพยักหน้า แล้วหันมาทางหงลี่”ตกลงมัน เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ถึงได้ทะเลาะกันใหญ่โตขนาด
โจวหยางมองไปที่หลี่เจ๋อย่างไม่เข้าใจ หลี่เจส่ายหน้า ไปมาให้กับเขา เห็นได้ชัดว่าไม่มีใครรู้ว่าทำไมคนผู้นี้ถึง ปรากฏตัวขึ้น
“แกไม่รู้เรื่องอะไรแม้แต่นิดเดียว วิ่งมาช่วยคนอื่นพูด เนี่ยนะ? ! ” หงลี่พูดเสียงดัง”ซูเสี่ยวป่ายเอ้ยเสี่ยวป่าย ฉันรู้ดีว่านายเป็นคนชอบยุ่งเรื่องคนอื่น แต่ครั้งนี้แกไม่คิด ว่าแกยุ่งเรื่องคนอื่นมากเกินไปแล้วเหรอ? ”
ซูเสี่ยวป้ายยังคงหัวเราะอยู่“ครั้งนี้เพื่อนฉันบอกให้มา ช่วยจริงๆ”
“ใครบอกให้นายมา? ” หงลี่ถลึงตาใส”เมิ่งเลี่ยงหรือ หยวนเส้า? ”
“ไม่ใช่ทั้งนั้นอ่ะ” ซูเสี่ยวป้ายส่ายหัวไปมา”เป็นคนที่ฉัน ปฏิเสธไม่ได้ เพราะฉะนั้น หงลี่ นายช่วยฉันไว้หน้าหน่อย เถอะ ดูสิว่าเรื่องนี้จะแก้ไขจัดการมันยังไง ”
หงลี่มองซูเสี่ยวป่ายครั้งแล้วครั้งเล่า ซูเสี่ยวป่ายทำได้ เพียงแค่หัวเราะ หงลี่จึงถอนหายใจ”ก็ได้ ใครให้ฉันเป็น หนี้บุญคุณนายล่ะ? เอาแบบนี้ ตอนแรกฉันกะจะเข้ามา กระทืบหวางห้าว แต่ตอนนี้กระทืบเขาไม่ได้แล้ว ขอเพียง แค่คืนเงินเขาหนึ่งพันก็พอแล้ว แบบนี้ได้ไหม?
ในใจของผมรู้สึกร้อนรนมาก ถ้าหากให้ผมคืนเงินหนึ่ง พันหยวน ให้เขาซ้อมกระทืบผมดีกว่า
ผมกำลังไตร่ตรองถึงซูเสี่ยวป้ายว่าถ้าหากเป็นคนที่ห ยู่เฉิงเฟยเรียกมา เขาคงไม่ให้ผมออกเงินหนึ่งพันนี่แน่ เพราะฉะนั้นจึงไม่ได้พูดอะไร
“ต้องทําถึงขั้นนี้เลยหรอ? ” ซูเสี่ยวป่ายถามกลับ
“ทำได้แค่นี้แล้วแหละ” หงลี่พูดอย่างจริงใจ”ซูเสี่ยวป่าย ฉันคิดไม่ถึงจริงๆว่านายจะปรากฏตัวขึ้นที่นี่”
ซูเสี่ยวป่ายพยักหน้า ใบหน้ายังคงเปื้อนรอยยิ้มอยู่ได้ นายไว้หน้าฉัน ฉันไว้หน้านาย”พูดจบก็มองมาที่ผม”ฉัน จะไม่ถามว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่ขอเพียงแค่นายถูก กระทืบน้อยลงแน่นอนว่ามันเป็นเรื่องดี คนที่ถูกหงลี่ซ้อม ต้องนอนหยอดข้าวต้มหนึ่งอาทิตย์เต็มๆเลยนะ เรื่องที่ สามารถเอาเงินแก้ไขได้ก็ไม่ใช่ปัญหาอะไรหรอก”พูดไป ด้วย เดินเข้ามาใกล้ผมด้วย แล้วพูดกระซิบ“ถ้าไม่มีเงินก็ มาเอาที่ฉันก็ได้!”
ผมอึ้งตะลึงไปเลย ไม่รู้ว่าเขาหมายความว่ายังไง แต่ซู
เสี่ยวป่ายได้เดินจากไปแล้ว หันไปหัวเราะพลางพูดกับหง ลี่“ถ้างั้นก็ไม่มีอะไรแล้วล่ะ ฉันไปก่อนนะ! ” หงลี่พยักหน้า แล้วยิ้มไปทางเขา ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าคนรูปร่างแบบนี้หยาบกร้านกำยำแบบนี้เมื่อยิ้มออกมา แล้วช่างน่าเกลียดเหลือเกิน
“พี่เสี่ยวป่ายค่อยๆไปนะครับ” หลี่เจรีบพูดขึ้น
“ขอบคุณครับพี่เสี่ยวป้าย” เย่จ่างรีบพูดต่อ
เสี่ยวป่ายโบกมือไปมา แล้วค่อยๆเดินออกไปจาก ห้องเรียน ชั่วพริบตาก็ไม่เหลือแม้แต่เงาของเขา เป็น เหมือนตอนนั้นที่เขาไปอย่างไม่มีซุ้มเสียง
เห็นเขาเดินจากไปอย่างนั้น ผมก็ฉุกคิดถึงประโยคใน กลอนหนึ่งประโยค : ฉันสะบัดแขนเสื้อ ไม่นำพาเมฆไป ด้วย
ซูเสี่ยวป่าย เหมาะสมกับประโยคในกลอนนี้มาก
เพียงแต่ แน่นอนว่าทำให้ผมรู้สึกอยากรู้จักคนคนนี้มาก ยิ่งขึ้น
ซูเสี่ยวป้ายเดินจากไป หงลี่เองก็กลับสู่สีหน้าเหี้ยมโหด ดั่งเดิมอย่างรวดเร็ว กระชากหัวของผม”นี่ ฉันให้เวลาแก จนถึงพรุ่งนี้เที่ยงต้องเอาหนึ่งหันมา ครั้งนี้เห็นแก่หน้าของ ซูเสี่ยวป่ายฉันจะไม่แตะต้องแกต่อ จากนี้ไปถ้ายังกล้าหือ กับโจวหยาง ฉันเอาแกตายแน่! ”
พูดจบ ก็สาวเท้าเดินออกจากห้องเรียนไป บุคลิกของ เขาแตกต่างกับเสี่ยวป้ายโดยสิ้นเชิง
โจวหยางรีบเดินตามหลังเขาไปเหมือนหมาตัวหนึ่ง หลี่ เจ๊หัวเราะเยาะเย้ยพลางพูดกับเย่จ่าง“ฉันออกไปดูก่อน นะ”แล้วก็เดินตามกันออกไป
เย่จ่างถอนหายใจอย่างโล่งอก พูดขึ้นมาว่า”โชคดีที่ซู เสี่ยวป้ายเข้ามา ไม่อย่างนั้นเราสองคนคงลุกไม่ขึ้นแน่”
ผมยังไม่ได้พูดอะไร ทันใดนั้นข้างๆมีคนคนหนึ่งวิ่งเข้า มา ดึงแขนของผม หวางห้าว นายไม่เป็นไรใช่ไหม? ”
ผมหันไปดู เป็นเซี่ยเสว่ บนใบหน้าของเซี่ยเสวี่เต็มไป ด้วยความเป็นกังวล ช่วยผมปัดฝุ่นบนตัวทิ้ง
“ไม่เป็นอะไร ไม่เป็นอะไรหรอก”นึกถึงภาพเหตุการณ์ที่ ถูกกระทืบทุกอย่างอยู่ในสายตาของเซี่ยเสว่ทั้งหมด ใน ใจพูดไม่ออกว่าเป็นความน่าอับอายหรือทรมานใจยังไง
แต่อายุยังน้อย ถูกคนอื่นซ้อมหน่อยคงไม่เป็นอะไร หรอก
“หวางห้าว นายมีเงินไหม? ” เซี่ยเสว่ถามขึ้นอีกครั้ง ให้ ฉันช่วยนายออกหน่อยไหม? ”
“ไม่ต้อง ไม่ต้องหรอก”หน้าของผมยิ่งร้อนฉ่า พูดต่อไป ว่า”เงินนี้ ฉันไม่มีวันให้หรอก”
“หา? ” เซี่ยเสว่อ้าปากช้าๆ”แล้วนายจะทำยังไง? ”
“ไม่เป็นไรหรอก ฉันมีวิธีของฉัน”ผมจงใจพูดอย่างเรียบ เฉย”ค่อยดูต่อไปเถอะ”
พูดจบ ก็ดึงเย่จ่างออกไป พึ่งออกจากห้องเรียนมาได้ ก็ มีเสียงของนักเรียนในห้องดัง“หิ่ง”ขึ้นมา แต่ละคนต่างพูด คุยกันถึงเรื่องที่พึ่งเกิดขึ้นเมื่อสักครู่อย่างตื่นเต้น ผมรู้สึก อารมณ์เสียมาก ถึงแม้จะได้ซูเสี่ยวป่ายนั่นมาช่วยไว้ และ ยังกระซิบบอกว่าถ้าไม่มีเงินก็ไปหาเขา แต่ผมกับเขาไม่รู้ จักกัน จะไปยืมเงินเขาได้ยังไงกัน? อีกทั้งถ้ารับเงินนั่นมา ก็เท่ากับว่าผมยอมแพ้ หลังจากนี้ไม่รู้ว่าโจวหยางจะรังแก ผมยังไงอีก!
เพราะฉะนั้น ผมตัดสินใจไปที่ร้านอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ตาม หาพวกหยวนเส้า ครั้งนี้ ผมหวังว่าหยู่เฉิงเฟยจะอยู่ด้วย เย่จ่างรู้ว่าผมจะทำอะไร จึงเดินออกนอกโรงเรียนไปกับ
ผม
“ซูเสี่ยวป่ายเป็นใครหรอ? “ระหว่างทาง ผมอดที่จะถาม ไม่ได้”เขาก็เป็นอันธพาลในโรงเรียนของเรางั้นเหรอ?
เสี่ยวป่ายให้ความรู้สึกใสสะอาดบริสุทธิ์ดุจดั่งดวง อาทิตย์ เทียบกับอันธพาลบ้าบิ่นอย่างเย่จ่างและพวกของ หง แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
“เสี่ยวป่ายไม่ใช่อันธพาล” เย่จ่างพูด แต่ค่าพูดของเขา กลับมีผลมาก”
“เพราะอะไร? “ผมรู้สึกตกใจมาก ถึงซูเสี่ยวป่ายจะเป็น ลูกนายพลหรือลูกคนรวย ก็คงจะเก๋าขนาดนี้ไม่ได้หรอก
“เสี่ยวป่ายไม่ใช่อันธพาล แต่เขารู้จักคนเยอะ คนที่ ไปหาเขาช่วยก็มีเยอะ” เย่จ่างพูดอธิบายให้ผมฟังอย่าง ใจเย็น
“ซูเสี่ยวป่ายใช้หนี้บุญคุณจากAช่วยb แล้วก็ใช้หนี้บุญ คุณจากbช่วยC แล้วใช้หนี้บุญคุณจากCช่วยD นานวัน เข้า อันธพาลเกือบทุกคนก็แทบจะติดหนี้บุญคุณของซู เสี่ยวป่ายกันทั้งหมด ไม่เพียงแต่หงลี่ ฉันกับหลี่เจ๋เองก็ เป็นหนี้บุญคุณของเขา ถึงแม้ว่าตอนนี้จะมีคนยังไม่ได้ ขอความช่วยเหลือจากเขา แต่ไม่แน่อาจจะมีสักวันต้อง ใช้ประโยชน์จากเขา เพราะฉะนั้นขอเพียงแค่ซูเสี่ยวป้าย เอ่ยปาก ใครก็ต่างต้องไว้หน้าเขากันทั้งนั้น ”
เย่จ่างหัวเราะพลางพูดขึ้นมาว่า”เพราะฉะนั้น ทุกคนต่าง ขนานนามเขาว่า’ซูเสี่ยวป่ายผู้ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้าน’หนี้ บุญคุณทางด้านนี้เขาเชี่ยวชาญมันมาก มักจะทำให้คน ทุกคนสมานฉันท์กันอย่างกลมเกลียว อาจจะเป็นเพราะ รอยยิ้มของเขาก็เป็นได้ หรืออาจจะเป็นเพราะลักษณะ ท่าทางของเขา แต่มีจุดหนึ่งที่เป็นที่แน่นอนมาก ถึงนาย จะรู้ว่าเขาจะจัดการมันด้วยวิธีไหน แต่ก็ไม่สามารถจะฝึก มันได้”
“ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง ซูเสี่ยวป่ายคนนี้เป็นคนที่มีความ สามารถจริงๆ แล้วผมก็ถามขึ้นอย่างสงสัยอีกครั้ง”งั้น ก็หมายความว่า ฉันติดหนี้บุญคุณของซูเสี่ยวป่ายแล้ว สินะ? ”
เย่จ่างหัวเราะแล้วพูดขึ้นมาว่า”ใช่แล้ว รอครั้งหน้าซู เสี่ยวป่ายขอความช่วยเหลือจากนาย นายก็จะปฏิเสธไม่ ได้ยังไงล่ะ”
ผมพูดขึ้นอย่างเกรงใจ”ช่างเถอะ ฉันไม่มีอะไรให้ซูเสี่ยว ป้ายขอความช่วยเหลือได้หรอก”
“พูดไม่ได้หรอกนะ” เย่จ่างหัวเราะเสียงดัง
ผมอดถามขึ้นมาไม่ได้ ถามไปอีกครั้ง”เย่จ่าง เราสอง คนพึ่งโดนกระทืบมานะ ทำไมนายถึงหัวเราะออกมาได้ ล่ะ? “คำถามนี้ผมพึ่งนึกขึ้นมาได้ เมื่อกี้ตอนที่เดินมาตลอดทาง เย่จ่างก็หัวเราะตลอดทาง เขาเป็นคนที่พึ่งถูก หงสี่ตบจนล้มลงกับพื้นเลยนะ
เย่จ่างตะลึงไปชั่วครู่ แล้วถามขึ้นมาว่า”ถูกซ้อมแล้วยัง ไงล่ะ? ตั้งแต่เล็กจนโตมีผู้ชายคนไหนบ้างไม่เคยถูก กระทืบ แค่ว่ามันจะเป็นปัญหาเล็กหรือใหญ่เท่านั้นเอง
อันธพาลอย่างพวกเราที่วันๆไม่ร่ำไม่เรียน การถูก กระทืบเป็นเรื่องปกติเหมือนกินข้าวไปแล้วล่ะ แต่ตอนนี้ดี ขึ้นมาหน่อย ไปกระทืบคนอื่นได้แล้ว”
“นายมองโลกในแง่ดีขนาดนั้นเลยเหรอ? “ผมเกาหัวแก รกๆ มองดูเย่จ่างที่หัวเราะเอิ๊กอ๊าก
“ถ้าไม่มองโลกในแง่ให้ดีจะทำยังไงได้ล่ะ? “ใบหน้า ของเย่จ่างเต็มไปด้วยรอยยิ้มสดใส”ชินตั้งนานแล้วไหม ล่ะ อย่าเห็นว่าตอนนี้พวกเราเป็นแบบนี้นะ เมื่อสมัยอยู่ชั้น ม.สี่พวกเราเดินกันกร่างมากเลยนะเฟ้ย เห็นใครก็ไม่สบ อารมณ์ไล่เตะคว่ำหมดอ่ะ ในความเป็นจริง ใครมันไม่ใช่ ถูกคนอื่นกระทืบออกมาล่ะ? ! พูดถึงหลี่เจ๋ ตั้งแต่เล็กจน โตเขาถูกกระทืบมาจนนับไม่ถ้วน ไม่รู้ว่าจะถูกซ้อมเมื่อ ไหร่”
เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ