แบดบอยคะนองใจ

บทที่ 15 หยู่เฉิงเฟยบุคคลในตำนาน



บทที่ 15 หยู่เฉิงเฟยบุคคลในตำนาน

พอได้ยินชื่อของ”โจวหยาง” ผมก็หัวร้อนขึ้นมาในทันที ถ้าหากเรื่องนี้หนักขึ้น จากนี้ไปโจวหยางจะต้องกลั่น แกล้งผมหนักขึ้นเป็นแน่ ไม่แน่อาจจะรุนแรงกว่าตอนอยู่ ม.ต้นก็ได้ ถ้าหากยังจะต้องใช้ชีวิตอยู่ในโรงเรียนมัธยม ปลายเฉิงหนานแบบนี้ต่อไป ผมยอมไม่เรียนโรงเรียนนี้ เสียยังดีกว่า!

พอคิดมาถึงตรงนี้ ผมรู้ดีว่าผมจัดตัดสินใจอย่างไร

“พี่หยู่ล่ะ? ”ผมมองไปที่หยวนเส้า

“เมื่อคืนเขาเล่นเกมทั้งคืนอีกแล้ว” หยวนเส้ายัก ไหล่“ตอนนี้กำลังนอนอยู่ในห้องพักนักศึกษา แต่นาย วางใจเถอะ เรื่องที่เขามอบหมายให้ ให้ปฏิบัติกับนาย เหมือนเป็นพี่น้องของเราเอง”

พอได้ยินคำว่า “พี่น้อง”สองคำนี้ ภายในใจของผมก็รู้สึก อบอุ่นขึ้นมามาก ตั้งแต่เกิดมา ก็พึ่งเคยได้ยินมันเป็นครั้ง แรก ผมก็มีพี่น้องเหมือนใครเขาด้วยเหรอ? ผมมองไปที่ หยวนเส้ากับเมิ่งเลี่ยง พวกเขาคือพี่น้องของผมจริงๆใช่ ไหม? ดวงตาไม่รักดีของผมมีน้ำใสๆตื้นขึ้นมา หรืออาจ จะแดงเล็กน้อย ผมหันหน้ากลับไป สูดหายใจเข้าลึกๆ กด ความรู้สึกตื้นตันใจที่ปั่นป่วนภายในใจของผมเอาไว้
“นี่ แกร้องไห้งั้นเหรอ? ” เมิ่งเลี่ยงมุดตัวมาอยู่ตรงหน้า ของผม มองมาที่หน้าของผมแล้วหัวเราะคิกคัก

“ไม่ใช่สักหน่อย ผมรีบใช้แขนเสื้อเช็ดคราบนํ้าตา ความ รู้สึกแบบนี้ดีชะมัดเลย ดีจริงๆ

ถ้าหากมีกลุ่มเพื่อนแบบนี้ได้ ถึงจะต้องไปเรียนวิทยาลัย อาชีวศึกษาเฉิงหนาน ก็น่าจะเป็นเรื่องที่มีความสุขมาก เลยใช่ไหมล่ะ?

“หยวนเส้า”ผมหันกลับไป หัวเราะแล้วพูดกับเขาว่า”งั้นก็ รบกวนพวกนายหน่อยนะ”

“เรื่องเล็กหน่า” หยวนเส้ายิ้มตาหยีพลางพูดกับผม”ถ้า ไม่มีอะไรแล้ว นายก็กลับไปเรียนเถอะ บอกโจวหยางกับ หงลี่ ว่าให้มาเลิกเรียนแล้วให้มาหาที่ร้านอินเทอร์เน็ต คาเฟ่ บอกว่าฉันเป็นคนพูดเอง” โจวหยางและหงลี่ชี้ไปที่ จมูกของเขา

ในใจของผมกระตุก“จะตีกันหรอ? ”

หยวนเส้าหัวเราะแล้วพูดขึ้นมาว่า “ตีอะไรล่ะ เมื่อกี้ฉัน แกล้งนายต่างหาก เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ ฉันพูดกับหงสี่ก็ พอแล้ว”

“งั้นก็ดีแล้ว ดีแล้ว”ผมถูมือไปมา ในใจรู้สึกปลาบปลื้มมาก”รบกวนพวกนายหน่อยนะ”

“รีบไปเถอะ” หยวนเส้าตบไปที่หลังของผมเบาๆ ใบหน้า ยังคงเต็มไปด้วยรอยยิ้ม

“อืม”ผมรู้สึกดีใจมาก จึงหันกลับไป เมื่อกี้ตอนออกจาก ห้องมาพึ่งเป็นคาบที่สองเอง ตอนนี้น่าจะได้เวลาเรียน แล้วละ

เพียงแต่ผมรีบเกินไป ไม่ได้เห็นว่าหลังจากที่ตัวเองหัน หลังกลับไปนั้น สีหน้าของหยวนเส้ากับเมิ่งเลี่ยงกลับ เครียดขึ้นมา ไม่ได้ยินสิ่งที่หยวนเส้าพูดกับเมิ่งเลี่ยงไป เรียกพี่หญ่มา……

ระหว่างเดินกลับนั้น ผมครุ่นคิดเรื่องที่จะไปบอกความ จริงกับเย่จ่าง เพื่อไม่ให้เขาโกรธพวกของหยวนเส้า พอ ถึงโรงเรียน ก็ได้เวลาเข้าเรียนแล้ว ถ้าเรียกเย่จ่างมาอีก ครั้งจะเป็นการไม่เหมาะสม เพราะฉะนั้นผมจึงกลับไปที่ ห้องเรียนของตัวเองก่อน นี่เป็นคาบสุดท้ายของช่วงเย็น ส่วนมากคุณครูจะ ะให้ทบทวนบทเรียนด้วยตัวเอง ผมผลัก ประตูเข้าไป ภายในห้องเงียบกริบ สายตาของผมมองไป ที่โจวหยางที่อยู่แถวสุดท้ายอย่างไม่ตั้งใจ

โจวหยางกำลังมองมาที่ผมพอดี ราวกับรอเวลานี้มานาน แล้ว รีบลุกขึ้นมาแล้วพูดว่า”หวางห้าว นายเข้าเรียนสาย ฉันในฐานะที่เป็นหัวหน้าห้องจะต้องจัดการ ! “ในขณะเดียวกันก็มองผมอย่างกวนประสาทด้วย

ผมเดินกลับไปนั่งย้งที่ของตัวเอง แล้วถามออกไปว่า”อ่อ เหรอ แล้วนายอยากจะทำอะไรงั้นเหรอ?”

เขาน่าจะคิดว่าผมยอมโอนอ่อนแล้ว จึงยิ่งได้ใจไปกัน ใหญ่“นายจะต้องเขียนตรวจสอบความประพฤติของตัว เอง แล้วขึ้นไปอ่านหน้าชั้นเรียนต่อหน้าทุกคน!

ผมเดินมาจนถึงที่นั่งของตัวเอง อย่างไม่รีบที่นั่งลง แต่ มองไปที่เขา”เขียนหาแม่มึงสิ”

ผมสาบานได้เลยว่า นี่เป็นครั้งแรกที่ผมพูดคำหยาบ

ตั้งแต่เล็กจนโตผมถูกปลูกฝังว่า อยู่ในโรงเรียนจะต้อง ห้ามพูดคําหยาบ ผมเป็นเด็กนักเรียนเรียบร้อยในสายตา คนอื่นๆมาตลอด เรียนดี เคารพครูบาอาจารย์ เคารพ เพื่อนนักเรียน ไม่พูดคำหยาบ ไม่ยุ่งกับอบายมุข ไม่ด่า คืนคนอื่น ไม่มีคนอื่นคืน เหมือนใช้ชีวิตอยู่ในทุ่งดอก ท้อก็ไม่ปาน ผมในเมื่อก่อนล้าหลังมาก ดื้อรั้น ยึดมั่นใน อุดมคติคิดว่าถูกก็คือถูก ผิดก็คือผิด แต่หลังจากที่ผมได้ สัมผัสเข้ากับเบื้องหลังนับไม่ถ้วน ค่อยๆตระหนักถึงบาง สิ่งบางอย่าง

ในโรงเรียนมัธยมปลายเฉิงหนาน ผมทะเลาะวิวาทชก ต่อย ได้สูบบุหรี่ ได้ด่าคนอื่น อีกทั้งยังได้มีเพื่อนอย่างนักเลงของวิทยาลัยอาชีวศึกษา

นี่เรียกว่าความเลวทรามงั้นเหรอ?

ผมไม่รู้ แต่ผมสัมผัสได้ว่าผมรู้สึกมีความสุขมาก

โดยเฉพาะในตอนที่ผมได้พูดค่าว่า”เขียนหาแม่มึงสิ”กับ โจวหยางออกไป ผมรู้สึกสะใจกว่าการตบเขาหนึ่งฉาด ด้วยซ้ำ

ภายในห้องเรียนมีเสียงกลั้นขำ”พรืด”เอาไว้ ที่แท้ก็เป็น เสียงของเซี่ยเสว่หญิงสาวผู้น่ารักนี่เอง เสียงนี้มันเหมือน กับปากของหอย ขอเพียงแค่มีรอยแยกออกมาเล็กน้อย ก็จะไม่สามารถควบคุมมันได้อีกต่อไป นักเรียนที่อยู่ ภายในห้องแทบจะหัวเราะออกมาพร้อมกัน

โจวหยางอดกลั้นจนหน้าของเขาแดงก่ำ ความจริงแล้ว ผมเข้าใจเขาดี สำหรับคนขี้ขลาดอย่างผมที่ถูกเขารังแก มาตลอดสามปี ตอนนี้ไม่เพียงแค่กล้าต่อต้านเขา กล้าสู้ กับเขา กล้าหาเขาต่อหน้านักเรียนทั้งห้อง เขาต้องทนมัน ไม่ไหวเป็นแน่ ต้องทนมันไม่ได้อย่างแน่นอน

แต่เขาจําเป็นต้องอดกลั้นไว้

ผมมองไปที่เขาอย่างยียวนกวนประสาท
“แกกล้าด่าฉันหรอห้ะ? ! ” โจวหยางตะโกนขึ้นมา กล้ามเนื้อบนใบหน้าของเขากระตุกสั่นไหว

ภายในห้องเงียบขึ้นมาในทันที

ผมค่อยๆเดินไปที่หน้าต่าง แล้วอุ้มกระถางดอกคลิเวียก ระถางนั้นไว้

“แล้วยังไงเหรอเพื่อน”ผมพูด“รู้สึกว่าครั้งก่อนฉันไม่ได้ เอามันกระแทกหัวนายใช่ไหม? ”

ใบหน้าของโจวหยางที่เมื่อครู่ยังแดงก่ำอยู่ ตอนนี้กลับ เปลี่ยนเป็นซีดเผือด

“กะ……แกกล้าเหรอ!

“แกรู้ดีว่าฉันกล้าหรือไม่กล้า”ผมพูดพลางยิ้มอ่อน“แกล องพูดอีกทีสิว่าจะให้ฉันเขียนรายงานความประพฤติอะไร นั่น ฉันก็จะเอากระถางดอกคลิเวียทุ่มใส่หัวนาย”

“กะ………….โจวหยางชี้มาที่หน้าของผม แต่ประโยคที่ อยู่ด้านหลังกลับพูดไม่ออก

“อะไรนะ แกพูดอะไรงั้นเหรอ? “ผมใช้มือข้างหนึ่งอุ้มกระถางดอกคลิเวียไปด้วย อีกมือป้องไปที่หู”พ่อหัวหน้า ห้องใหญ่ ฉันมาสาย แกจะทำอะไรงั้นเหรอ?

“ฉันบอกให้แกเขียน……..เขียน……..”โจวหยางโกรธจนเสียง ที่พูดออกมาสั่นเครือ แต่ประโยคที่อยู่ด้านหลังกลับพูดไม่ ออก

“เขียนอะไรนะ เขียนมาแม่มึงงั้นเหรอ? “ผมพบว่าการ พูดคำหยาบเสพติดได้ง่ายมา เหมือนกับการสูบบุหรี่ดื่ม เหล้าทะเลาะวิวาท

“โจวหยาง”ทันใดนั้นหลี่เจ๋ก็ลุกขึ้นพูด“เริ่มเรียนแล้ว อย่า รบกวนนักเรียนคนอื่น”

ผมคิดว่าหูของผมได้ยินผิดไป หลี่เจ๋กลับสามารถพูด อะไรแบบนี้ออกมาได้ ไม่ใช่เขาหรอกเหรอที่กล้าเล่นไพ่ ในเวลาเรียนทุกวัน? แต่ทว่าแม้แต่คนไม่เต็มยังฟังออก เลยว่าเขาช่วยโจวหยางกู้สถานการณ์ ผมเองก็ไม่ได้ สนใจอะไร ลอยหน้าลอยตามองไปที่โจวหยาง

“เรียนกันเถอะ ! ”ประโยคนี้ไม่รู้ว่าโจวหยางพูดให้ใคร ฟัง อย่างไรก็ตามเขาเองก็นั่งลงไปกับเก้าอี้แล้ว

ผมเอาดอกคลิเวียร์วางกลับไปที่ขอบหน้าต่าง นั่งกลับที่ นั่งประจำของตัวเอง
“พี่ห้าว เท่สุดไปเลย” หลิวจื่อหงมองมาที่ผมด้วยความ นับถือ นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนเรียกผมว่าพี่ห้าว

นี่มันผิดปกติมากจริงๆนะ เมื่อก่อนผมตั้งใจเรียนมาก เคารพครูบาอาจารย์…..ไม่เคยมีใครเรียกผมว่าพี่ห้าว ตอนนี้ผมทั้งทะเลาะวิวาทตีกัน ด่าทอคนอื่น พูดคำหยาบ กลับมีคนเรียกผมว่าพี่ห้าว โลกใบนี้มันเป็นอะไรกันเนี่ย ผมส่ายหัวและยิ้มอย่างขมขื่น?

“อ่อ จริงด้วย”ผมหันกลับมาอีกครั้ง มองไปที่โจวหยาง

การเคลื่อนไหวของประโยคนี้ไม่เล็กเลย นักเรียนทั้ง ห้องมองมาที่เราสองคนอีกครั้ง

ทุกคนต่างรู้ว่าระหว่างเราเกิดอะไรขึ้น ทุกความ เคลื่อนไหวอาจจะก่อให้เกิดสงครามได้ เส้นประสาทรับรู้ ของนักเรียนแทบทุกคนแน่นขนัดขึ้นมาในทันที

ผมใช้หางตาสังเกตเห็น แม้แต่หลี่เจ๋ยังยืนขึ้นอย่างอดไม่

ได้

เสียงเรียกของผม ทำให้เห็นได้ชัดว่าร่างกายของโจว หยางสั่นเทากระตุกขึ้นมาหนึ่งครั้ง

หรือ ตอนนี้ภายในใจของเขากำลังกลัวผมอยู่?
ผมรู้สึกมีความสุขมากกับการค้นพบของผม

“จะทำอะไร? ” โจวหยางขมวดคิ้ว ยังคงปั้นหน้าแสดง เหมือนว่าไม่แครอยู่

ทันใดนั้นผมก็อยากจะขู่ทำให้เขาตกใจเล่นๆ จึงลุกขึ้น มา แล้วเดินไปยังที่นั่งของเขา

โจวหยางรีบลุกขึ้นยืนอย่างเวอร์เกินจริง เก้าอี้ที่อยู่ใต้ ก้นเพราะว่าเกิดการเคลื่อนย้ายจึงทำให้มีเสียงหนวกหูขึ้น มา

“แกจะทำอะไรห้ะ?! ” โจวหยางตะคอกมาที่ผม ยก หมัดทั้งสองข้างขึ้น

ผมไม่โง่จนเข้าไปชกต่อยกับเขาหรอก ถ้าหากชกต่อย กันขึ้นมาจริงๆ รูปร่างผอมบางของผมจะต้องไม่ใช่คู่ต่อสู้ ของเขาแน่ๆ

“หวางห้าว แกจะทำอะไรห้ะ? ! ” หลี่เจ๋แทบจะพุ่งตัว

ออกมา

“นี่ นี่….ผมเหลือบไปมองหลี่เจ๋“อย่าตื่นเต้นไปสิเพื่อน ฉันแค่มีเรื่องหนึ่งจะพูดกับโจวหยางเท่านั้นเอง”
หลี่เจ๋หยุดค้างกลางคัน มองมาที่ผมอย่างไม่เข้าใจ

“คือมันเป็นแบบนี้”ผมมองไปที่โจวหยางต่อ”แกไปบอก กับหงสี่ซะ ว่าหยวนเส้าให้พวกแกสองคนไปเจอกันที่ร้าน อินเทอร์เน็ตคาเฟ่สักหน่อย”

“ไปทำไม? ” โจวหยางพูดขึ้นอย่างสงสัย

“ไม่ทำไมหรอก”ผมพูด”แค่ไปพูดเรื่องของเราสองคนแค่ นั้นเอง”

“อ่อ” โจวหยางพยักหน้า

ผมหันกลับมานั่งที่นั่งของตัวเอง รู้สึกตลกในใจ ตอนนี้โจ วหยางกลับกลัวผมเนี่ยนะ นี่คือสิ่งที่เมื่อก่อนไม่กล้าแม้แต่ จะคิดมาก่อน

ได้ยินชื่อของหยวนเส้าแล้ว โจวหยางไม่ได้แสดงอาการ ตกใจแต่อย่างใด ดูท่าแล้วหงลี่คงจะอธิบายให้เขาฟังมา แล้ว

หลี่เจ๋เองก็กลับไปยังที่นั่งของตนเอง ในห้องกลับสู่ภวังค์ ที่…ไม่ใช่ความเงียบ แต่ก็ไม่ใช่บรรยากาศที่มีเสียงดังอึกทึก
เซี่ยเสวกับหลิวจื่อหงแลกเปลี่ยนที่นั่งกัน

“หน้าของนายยังเจ็บอยู่ไหม? ” เซี่ยเสมองมาที่ผมด้วย สีหน้าเป็นห่วงเป็นใย

ถูกหงลี่ใช้แรงตบลงมาขนาดนั้น ตอนนี้ดีขึ้นมาแล้วล่ะ ผมยิ้มแล้วส่ายหน้าไปมา

เซี่ยเสวก็ยิ้มแล้ว”ไม่เลวจริงๆ คิดไม่ถึงว่ากระดูกนายจะ แข็งขนาดนี้”

“จะต้องให้พูดอีกเหรอ”ผมรู้สึกตัวลอย คำพูดประโยค นี้ถูกพูดออกจากปากของเซี่ยเสว่ทำให้คนที่ได้ฟังรู้สึก สบายใจมาก

“เหมือนลูกผู้ชายเลย! ” เซี่ยเสว่แลบลิ้น

“อะไรคือเหมือน? ! “ผมหัวเราะคิกคักเป็นลูกผู้ชายอยู่ แล้วต่างหาก”

เซี่ยเสวีที่ฟังผมพูดไปด้วย ใช้มือเปิดหนังสือไปด้วย ผม มองไปที่มือที่เหมือนกับหยกของเธอ อยากจะเข้าไปลูบ สัมผัสว่าจะมีความรู้สึกอย่างไร

“จริงด้วย นายไม่ได้รู้จักแค่เพิ่งเลี่ยง ยังรู้จักหยวนเส้าอีกหรอเนี่ย” เซียเสวกะพริบตาปริบๆ”นายเป็นคนตาบล ตงกวน ทําไมถึงรู้จักคนเยอะขนาดนี้ล่ะ? ”

“ความจริงฉันไม่รู้จักเมิ่งเลี่ยง แล้วก็ไม่รู้จักหยวนเส้า หรอกนะ”ผมพูดความจริงออกไป

“หา? ” เซียเสวมองมาที่ผมด้วยความเหลือเชื่อ”งั้นทําไม พวกเขาถึงช่วยนายละ? “ทันใดนั้นก็นึกขึ้นมาได้ว่า”นาย จ่ายเงินไปแล้วใช่ไหม? ”

“ที่ไหนกัน? “ผมลูบหัวป๋อยๆ“ฉันจะไปมีเงินเรียกคนอื่น มาได้ยังไงกัน”

“แล้วนี่มันเกิดอะไรขึ้นเหรอ? ” เซี่ยเสวมองมาที่ผมด้วย

ความสงสัย

“ฉันไม่รู้ว่าเธอรู้จักเขาไหม” ผมพูด หยู่เฉิงเฟยเป็นเพื่อน บ้านของฉันเอง”

“หยู่เฉิงเฟย? ! “เห็นได้ชัดว่าเซี่ยเสว่รู้สึกตกใจมาก”ห ยู่เฉิงเฟยที่เรียนอยู่ในวิทยาลัยอาชีวศึกษาใช่ไหม? ”

“เธอก็รู้จักเขาเหรอ? “แน่นอนว่าในใจของผมรู้สึกภาคภูมิใจเบาๆ
“ฉันรู้จักเขา และก็รู้ด้วยว่าหน้าตาเขาเป็นยังไง แต่เขา ไม่รู้จักฉันหรอก” เซี่ยเสว่หัวเราะแล้วพูดขึ้นมาว่า”หมู่ เฉิงเฟยเป็นบุคคลในตานานเชียวนะ”

เซี่ยเสวีเป็นนักเรียนท้องที่ของเป่ยหยวน ดูท่าแล้วจะรู้

เรื่องพวกนี้อยู่พอตัวเลยแหละ

“พูดยังไงดีล่ะ? “ผมพูด”หยู่เฉิงเฟยเป็นเพื่อนบ้านของ

ฉันเอง ฉันไม่ได้รู้สึกว่าเขาพิเศษตรงไหนเลยนี่”

“โรงเรียนมัธยมปลายเฉิงหนานมีเจ้าหมา ม่ายจื่อ เจ้า อิฐ ที่วิทยาลัยอาชีวศึกษามีหยู่เฉิงเฟย เน่หย่วนหลง ชิ วเฟิง โรงเรียนมัธยมที่เจ็ดเมืองเป่ยหยวนมีเจ็ดมังกรหก ฟีนิกซ์และอื่นๆ คนพวกนี้ล้วนเป็นบุคคลในตำนานสาม โรงเรียนนี้” เซี่ยเสว่คล่องเหมือนกับนับสมบัติในบ้านของ ตัวเอง”แต่ว่าในบรรดาคนพวกนี้หยู่เฉิงเฟยเป็นคนที่มีชื่อ เสียงมากที่สุด”

“เพราะอะไรหรอ? “ผมยิ่งรู้สึกแปลกใจขึ้น ในความทรง จำของผมนั้น หยู่เฉิงเฟยเป็นคนที่เอ้อระเหยลอยชาย ราวกับคนที่ไม่เคยนอนอิ่ม


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ