บทที่ 10 ไม่ใช่บุคคลธรรมดา
พูดคุยกันมาตลอดทั้งทาง จนกลับมาที่ร้านอินเทอร์เน็ต คาเฟอีกครั้ง พวกหยวนเส้ากับเมิ่งเลี่ยงยังคงเล่นเกมกัน อยู่ แต่ละคนร้องโหวกเหวกโวยวาย ไม่มีใครสนใจเรื่อง ของผม——หรือในสายตาของพวกเขา เรื่องแค่นั้นของผม มันไม่ใช่เรื่อง
เย่จ่างเดินมาถึงหน้าของเมิ่งเลี่ยง แล้วหัวเราะพลางพูด ขึ้นมาว่า”พี่เลี่ยง ทำสําเร็จแล้วครับ”ผมเองก็เดินไปที่หน้า ของเมิ่งเลี่ยง แสดงให้เห็นถึงการขอบคุณ
เมิ่งเลี่ยงเหมือนกำลังเล่นเกมที่ชื่อว่าboSSอยู่ สายตา ของเขาเอาแต่จ้องหน้าจอ ปากของเขาก็พูด อืมๆเอ่อๆ เขาใช้เวลากว่าครึ่งค่อนวันกว่าจะจัดการboSSได้ จึงได้ ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เงยหน้าขึ้นมา ก็มองมาที่ ผมอย่างตกตะลึง”พี่น้องฉันถูกกระทืบงั้นเหรอ? ! ”
ผมลูบไปที่แก้มป้อยๆ ก่อนหน้านั้นถูกโจวหยางชกเข้า ให้หนึ่งหมัด แรงของเขาไม่ใช่น้อยๆเลย มันทำให้หน้า ครึ่งซีกของผมบวมเป่งขึ้นมา
“เอ่อคือ” เย่จ่างรีบพูดอธิบาย“โจวหยางจะต่อสู้ตัวต่อตัว กับหวางห้าว ผมไม่ยอม แต่หวางห้าวจะต่อสู้ตัวต่อตัวกับ เขาให้ได้.…………….
“ไอ้เหี้ย” เมิ่งเลี่ยงลุกขึ้นมาในทันที”เย่จ่าง เรื่องที่ฉันมอบหมายให้แก ทําไมถึงไม่ได้เรื่องแบบ ห้ะ ยังจะปล่อย ให้น้องของฉันโดนกระทืบอีกงั้นเหรอ? ! “เสียงของเขา ดังมาก ทำให้คนในร้านมองมาไม่น้อย
หยวนเส้าเองก็ได้ยินบทสนทนานี้ จึงไม่เล่นเกมต่อ รีบรุดเข้ามา“ว่าไงนะ หวางห้าวโดนกระทืบงั้นเหรอ วะ? ! ”
เย่จ่างร้อนรนขึ้นมาทันที”พวกเขาสองคนจะต่อสู้ตัวต่อ ตัวกัน แต่หวางห้าวถือไพ่เหนือกว่า……….
หยวนเส้ากับเมิ่งเลี่ยงถลึงตามองไปที่เย่จ่าง ผมจึงรีบ พูดขึ้นมาว่า “ผมรับคำท้าตัวต่อตัวกับเขาเอง ไม่เกี่ยวอะไร กับเย่จ่างหรอกครับ เขาปกป้องผมดีมาก”
เย่จ่างใช้สายตาซาบซึ้งมองมาที่ผม เห็นได้ชัดว่าเขา กลัวคนพวกนี้มาก
ผมไม่เข้าใจพวกของหยวนเส้ากับเมิ่งเลี่ยงเท่าไหร่นัก กลัวว่าเย่จ่างจะเป็นอันตราย จึงรีบยืนมือกอดไหล่เขา ไว้ หนึ่งเพื่อแสดงให้เห็นถึงความสนิทสนม สองคือเพื่อ ป้องกันไม่ให้พวกเขาลงมือ
“เอาล่ะ ฉันกลับก่อนล่ะนะ” หยวนเส้ามองไปที่เย่จ่าง อย่างไม่สบอารมณ์
เย่จ่างดึงหน้าไว้ แล้วกล่าวลา พาบรรดาพี่น้องของเขา เดินออกไป
ในใจของผมรู้สึกผิดมาก คิดว่าเสร็จเรื่องนี้จะคุยกับเขา ดีๆ เรื่องเมื่อครู่เขายังคงฝังใจอยู่
“เมิ่งเลี่ยง แกเล่นเกมไปเถอะ ฉันมีเรื่องจะคุยกับหวางห้า วน่ะ” หยวนเส้าพูด แล้วลากคอผมออกไปตรงมุมหนึ่งของ ร้านอินเทอร์เน็ตคาเฟ่
ภายในร้านกลับมาเสียงดังเหมือนเดิม ไม่มีใครสังเกต ทางเรา หยวนเส้าล้วงหยิบบุหรี่ออกมาหนึ่งม้วนแล้วยื่น มาให้ผม ผมรีบโบกมือไปมา พูดอย่างลำบากใจ“ผมไม่ สูบบุหรี่ครับ” ผมไม่เคยแตะต้องของพวกนี้จริงๆ เมื่อตอน เที่ยงผมแค่ไปซื้อบุหรี่ให้กับพวกหยวนเส้าสองซอง ผมไม่ ได้สูบมันเลย
“สูบสักม้วนเถอะ” หยวนเส้าพูดอย่างไม่ใส่ใจ
ผมจึงทำได้เพียงแค่รับมันมา หยวนเส้าจุดบุหรี่ให้กับผม ผมสูบมันเข้าไปหนึ่งคำ แต่กลับไม่ให้ผ่านปอด ก็พ่นมัน ออกมาแล้ว
“ไม่มีใครสูบแบบนี้หรอกนะ” หยวนเส้าสอนผมสูบมัน ความจริงผมรู้ว่ามันสูบยังไง เมื่อก่อนเพราะผมเคยแอบเอาบุหรี่ของพ่อมาสูบ ยังถูกเขาตีอย่างแรง ผมสูบมัน เข้าไปลึกๆ ในสมองของผมเบลอไปหมด
“ฉันโทรหาพี่หยู่แล้วนะ” หยวนเส้าพูด”เขาบอกให้ฉัน ดูแลนาย ๆ บอกว่านายเป็นเด็กดีมาก มักจะถูกคนอื่น รังแกง่ายๆ”
ในใจของผมรู้สึกซาบซึ้งเป็นอย่างมาก นึกถึงเรื่องราวที่ เกิดขึ้นมาทั้งหมดตั้งแต่เมื่อเช้า ถ้าไม่ได้พวกของหยวน เส้าช่วย ผมคงยังถูกซ้อมอยู่ในห้องพักเป็นแน่ ความ จริงผมกับหยู่เฉิงเฟยไม่ได้สนิทกันมากนักหรอก แต่เป็น เพราะเราสองคนคือเพื่อนบ้านกัน เจอหน้าก็คุยกันแค่ สองสามคำ แต่เขากลับยังช่วยผมขนาดนี้ แต่ถ้าพูดจริงๆ สำหรับผมแล้วมันคือเรื่องใหญ่มาก สำหรับคนอื่นมันเป็น แค่เรื่องเล็กนิดเดียว พูดเพียงไม่กี่คำก็สามารถจัดการได้ แล้ว
“ทำขนาดนี้ คงจะไม่มีใครรังแกนายได้แล้วล่ะ” หยวน เส้าตบไปที่ไหล่ของผม น้ำเสียงของเขาทำให้ผมฮึด สู้”กลับบ้านเถอะ มีเรื่องอะไรก็ให้มาหาพวกฉันแล้วกัน มี พี่หยู่อยู่ที่นี่ แทบจะไม่มีเรื่องอะไรที่ไม่สามารถจัดการได้”
ในใจของผมโล่งอกมาก เป็นเพราะคำพูดนี้มันทำให้ ผมรู้สึกอบอุ่นหัวใจ”อืม งั้นผมกลับก่อนนะครับ ครั้งนี้ ขอบคุณพวกพี่มากนะครับ”
“เรื่องเล็กน้อยหน่า” หยวนเส้าโบกมือไปมา หัวเราะแล้ว พูดขึ้นมาว่า”จากนี้นายก็ทำผูกมิตรกับเพื่อนหน่อยแล้ว กัน นายอาจจะต้องขอความช่วยเหลือจากคนอื่นในภาย หลังก็เป็นได้”
“ได้ครับ”ผมพยักหน้า ผมไม่อยากผูกมิตรกับเพื่อนงั้นเห รอ? เพียงแต่ผมพูดไม่เก่งมาตั้งแต่เด็ก บวกกับการถูกโจ วหยางกลั่นแกล้ง……
แต่หลังจากนี้ น่าจะไม่มีอุปสรรคอะไรแล้วล่ะ
ผมไปบอกลากับเมิ่งเลี่ยง พึ่งออกจากร้านมาได้ ก็เดินมุ่ง ตรงไปยังโรงเรียนมัธยมปลายเฉิงหนานทันที ไปๆกลับๆ แบบนี้ ใช้เวลาไปไม่น้อยเลย ใกล้จะถึงเวลาเรียนช่วง บ่ายแล้ว เพราะฉะนั้นผมจึงไม่ได้กลับห้องพัก แต่ตรงเข้า ห้องเรียนไป
พอผมเข้ามาในห้อง เสียงดังวุ่นวายภายในห้องก็เงียบ ลงในทันที มีบางคนแอบมองผมอย่างระมัดระวัง มีบางคน ก้มหัวลงแกล้งอ่านหนังสือ ผมรู้ดีว่าเมื่อครู่พวกเขากำลัง วิจารณ์พูดถึงผมอยู่ กวาดตามองไปทั่วห้องหนึ่งรอบ พอ พวกของโจวหยางกับหลี่เจ๋นั่งอยู่ด้วยกัน แต่สายตาไม่ได้ จับจ้องมาที่ผม
ผมจึงไม่ได้มองพวกเขาอีก แต่เดินกลับไปยังที่นั่งของ ตัวเอง
เมื่อกลางวันเกิดเรื่องเยอะมาก ตอนนี้พอได้พัก กลับ ทําให้ผมเหม่อลอย นักวิชาคาบแรกที่เรียนไม่ออก หลิว จื่อหงที่อยู่ข้างๆก็เตือนผมอย่างหวังดีว่า“วิชาฟิสิกส์”
“อ่อ”ผมพยักหน้า หยิบเอาหนังสือฟิสิกข์ออกมา ในใจ ของผมรู้สึกตลกมาก ถ้าหากเป็นเมื่อก่อน หลิวจื่อหงคงไม่ มาคุยกับผมแบบนี้หรอก
“เมื่อกลางวันเท่สุดๆไปเลย”หลิวจื่อหงเอ่ยชม “คิดไม่ ถึงว่านายจะร้ายกาจแบบนี้น่ะ!”
ผมคิดมาตลอดว่าหลิวจื่อหงเป็นคนไม่ชอบพูด คิดไม่ ถึงว่าตอนนี้เขากลับพูดมาก ดูท่าจะพูดมากหรือไม่ อาจ จะขึ้นอยู่กับว่าคุยอยู่กับใครมากกว่า
“ก็ดี”ผมพยักหน้า แสดงให้เห็นถึงความไม่รู้ร้อนรู้หนาว
หลิวจื่อหงอ้าปากพะงาบๆ เหมือนจะรับรู้ได้ถึงความ เย็นชาของผม จึงเอ่ยเสียงเบา เมื่อก่อนฉันผิดเอง แต่โจ วหยางบอกกับพวกเราว่า ห้ามคุยกับนาย ไม่อย่างนั้นจะ กระทืบพวกเรา เพราะฉะนั้น………เสียงของเขาเต็มไป ด้วยความรู้สึกผิด
ผมคาดเดาถูกแล้วว่าโจวหยางต้องทำอะไรลับหลังแน่ แต่คิดไม่ถึงว่าเขาจะเกลียดผมได้ขนาดนี้
“ความจริงพวกเราก็ไม่ได้ชอบเขาหรอก” โจวหยางพูด เสียงกระซิบต่อ”อาศัยว่าตัวเองมีเงิน ใช้คนอื่นทำน่นนี่นั่น เก่งอะไรกัน….ถ้ย”เขาบ้วนน้ำลายทิ้งลงพื้นอย่างจัง
ผมคิดไม่ถึงว่าหลิวจื่อหงจะเป็นคนหัวร้อนแบบนี้ เมื่อ ก่อนคิดมาตลอดว่าเขาเป็นคนใจเสาะเจ้าคนสี่ตาซื่อบื้อ ดูท่าแล้วคนคนนี้เป็นไปตามคาดไม่อาจตัดสินได้ด้วย หน้าตา
เขากำลังพูดอยู่ดีๆ ทันใดนั้นเซี่ยเสว่ก็หันกลับมาพูด ว่า”หลิว อหง เราเปลี่ยนที่นั่งกันเถอะ!”
ท่ามกลางสายตาอิจฉานั้น เซี่ยเสว่ก็มานั่งๆข้างๆผม เพียงแต่ครั้งนี้ เหมือนกับทุกคนจะรู้สึกว่านี่มันเป็นเรื่องที่ สมเหตุสมผลอยู่แล้ว
“เจ๋งไปเลยนี่ ไม่เลวเลย” เซี่ยเสว่ตบหลังผมเบาๆ พูดกับ ผมด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“ไม่เลวอะไรเหรอ? “ผมตั้งใจแกล้งโง่
“พอแล้ว เรื่องถูกแพร่สะพัดออกไปแล้ว” เซี่ยเสว่หัวเราะ คิกคักพลางพูดขึ้นมาว่า”เป็นถึงน้องชายของเมิ่งเลี่ยง ถึงว่าล่ะทำไมถึงได้มีออร่าแบบนี้ แต่ก่อนหน้านี้นายก็ อดทนมานานขนาดนั้นแล้วนี่ คิดไม่ออกจริงๆเป็นเพราะ อะไร…มีพี่ชายที่ร้ายกาจแบบนั้น เวลาที่เดินอยู่ในโรงเรียนสามารถเดินได้อย่างภาคภูมิแล้วล่ะสิ”
ผมหัวเราะ ไม่ได้พูดอะไร แล้วไม่ไปอธิบายอะไร ความ จริงเธอจะไปรู้อะไร ถ้าหากผมไม่ทุบหม้อข้าวจมเรือ (การตัดสินใจที่เด็ดขาด เมื่อคิดจะทำแล้วต้องทำต่อ ไปให้ถึงที่สุด) ก็คงไม่ไปหาคนพวกนั้นหรอก
“ฟังแล้วสะใจชะมัด” เซี่ยเสว่พูดบ่นพึมพำไม่หยุด ดู นายปกติเป็นคนเอ้อระเหยลอยชาย คิดไม่ถึงว่าในเวลา สำคัญแบบนี้จะมีออร่าขนาดนี้………..
ดูหญิงสาวที่น่ารักคนนี้ คิดว่าถ้าหากไม่ใช่เธอ ผมก็คง ไม่มีความกล้าต่อต้านอย่างแน่นอน ในชีวิตคนเรามักเจอ ผู้มีพระคุณแบบนี้ พวกเขามอบความกล้าให้กับคุณ ให้ พลัง ทำให้คุณไม่หยุดที่จะก้าวไปข้างหน้า ผมยิ่งมองเธอ ยิ่งรู้สึกชอบเธอมาก ฟังเธอพูดอยู่อย่างนั้นเงียบๆ แน่นอน ว่าในสมองเกิดภาพวาดฝันขึ้นมา ถ้าหากเธอเป็นแฟนสาว ของผมคงจะดีไม่ใช่น้อย
เซี่ยเสว่พูดอยู่อย่างนั้นไม่หยุด ผมฟังไม่เข้าหูเท่าไหร่ ในสมองกำลังคิดเรื่องลามก ผ่านไปครู่หนึ่ง เซี่ยเสว่ก็พูด จบ ตบไหล่ของผมเบาๆ หัวเราะพลางพูดขึ้นมาว่า “เอา ล่ะ ฉันไปล่ะนะ! “ราวกับสายลมพัดผ่านไปอีกครั้ง ใน อากาศยังหลงเหลือกลิ่นหอมอ่อนๆ
หลิวจื่อหงกลับมา แล้วพูดขึ้นมาอย่างมีลับลมคมใน“ฉันว่าเซี่ยเสว่จะรู้สึกดีกับนายนะ นายลงมือได้เลย! ”
“จริงเหรอ? “ผมเริ่มหน้าแดงขึ้นเล็กน้อย แฟนสาวอะไร แบบนี้ ไม่เคยเคยกล้าคิดฝันมาก่อนเลย
“ก็ใช่น่ะสิ! “ใบหน้าของหลิวจื่อหงเต็มไปด้วยความ ดีใจ”เซี่ยเสว่เป็นเทพธิดาในฝันของผู้ชายในห้องของเรา เลยนะ แม้แต่โจวหยางเองยังหลงรักเธอเลย……”พูดจบก็ นึกขึ้นมาได้ จึงรีบกระแอมสองครั้ง พูดต่อไปว่า”แต่เซี่ย เสว่ดูสนใจนายเป็นพิเศษเลยนะ วิ่งมาหานายเกือบทุก วัน! เมื่อก่อนทุกคนไม่ค่อยเข้าใจ ต่างพูดกันว่านายเป็น คนโชคดี แต่นับตั้งแต่เกิดเรื่องเมื่อตอนกลางวันขึ้น ทุก คนก็กระจ่างในทันที ยังบอกกันอยู่เลยว่าสายตาของเซี่ย เสว่ มองออกว่านายไม่ใช่คนธรรมดา
เกิดเป็นคนย่อมชอบฟังอะไรแบบนี้อยู่แล้ว แน่นอนว่า ผมก็ไม่เว้น พอได้ยินหลิวจื่อหงพูดเยินยอแบบนี้ ยังรู้สึก ล่องลอยเลย เพียงแต่ตลอดระยะเวลาสามปีต้องใช้ชีวิต ถูกคนอื่นรังเกียจ มันทำให้ผมตั้งป้อมปราการป้องกันจาก พวกเขา เพราะฉะนั้นใบหน้าของผมจึงไม่ได้แสดงอะไร ออกไปให้เห็น ผมพูดขึ้นมาอย่างเรียบเฉย”อย่าเพ้อเจ้อ หน่า เราเป็นแค่เพื่อนกันเท่านั้น”ผมกำลังคิดวางแผนใน ใจ จะลองหาเวลาสารภาพรักกับเซี่ยเสว่
เสียงของออดโรงเรียนดังขึ้น หลิวจื่อหงจึงหยุดพูดกับเขาทันที
ตลอดทั้งวัน ผมค้นพบว่านักเรียนทุกคนปฏิบัติกับผม เปลี่ยนไป ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่ตั้งใจเย็นชากับผม แต่จะ พูดกับผมก่อน กระทั่งเวลาเลิกเรียนมีนักเรียนหญิงหลาย คนเอาหนังสือเรียนมาถามผม ฟ้ารู้ดินรู้ ทั้งๆที่พวกเธอ เรียนดีกว่าผม ยังมีผู้ชายหลายคนเอาลูกบาสมาถามว่า ผมจะไปเล่นกับพวกเขาไหม มันทำให้ผมรู้สึกได้รับความ โปรดปรานจนแปลกใจ ผมแทบจะคุกเข่าขอบคุณฟ้าดิน ทั้งๆที่วันนี้เป็นเวรทำความสะอาดของผม แต่กลับไม่ให้ ผมไปลบกระดาน หลิวจื่อหงแย่งแปรงลบกระดานเพื่อ ช่วยผมทำ
ทุกอย่างที่เกิดขึ้น ราวกับจะไปในทิศทางที่ดี เพียงแต่ตอนนี้ผมไม่รู้ว่า คลื่นที่ใหญ่กว่าจะรอผมอยู่ข้าง หน้า.…….…..
หลายวันต่อมา ผมรู้สึกว่าตัวเองใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย ในห้อง เหมือนปลาที่ได้รับน้ำ เดินไปทางไหนก็ไม่ต้อง หดหัวหลบซ่อนอีกแล้ว เดินโซซัดโซเซ เมื่อก่อนขอเพียง แค่ผมพบเห็นโจวหยางก็จะต้องรีบหลบหน้าหลบตา แต่ ตอนนี้พอเขามองเห็นผมก็ต้องเดินหันหลังกลับ การ เปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในครั้งนี้มันทำให้ผมรับรู้ได้ถึง ความหมายของประโยคที่ว่า “สามสิบปีอยู่ทางตะวันออก ของแม่น้ำสามสิบปีอยู่ทางตะวันตกของแม่น้ำ” (เรื่องราว เปลี่ยนแปลงรุ่งเรืองตกต่ำไม่แน่นอน) เพียงแต่ผมเกิดมาไม่ชอบรังแกคนอื่น และจะ ไม่ไปหาเรื่องใครก่อน มุ่งหวังแต่จะสร้างสัมพันธ์ที่ดีกับ เพื่อนในน้อง เพราะฉะนั้นผมคิดว่าเป็นแบบนี้ต่อไปก็คื เหมือนกัน สอบให้ผ่านสามปีนี้ไปเพื่อเข้าเรียนต่อมหา วิทยาลัย ไปยังโลกใบใหม่
เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ