แบดบอยคะนองใจ

บทที่ 3 โจวหยางผู้มีความสามารถมาก



บทที่ 3 โจวหยางผู้มีความสามารถมาก

“ได้ งั้นทุกคนก็ตกลงตามนี้นะ” พ่อแม่ของโจวหยางนั้น เป็นข้าราชการกันทั้งคู่ เห็นได้ชัดว่าเป็นผู้สืบทอดเชื้อ สายที่สุดยอดของพวกเขา มีพรสวรรค์ทางด้านการเมือง อย่างเห็นได้ชัด มีฝีมือที่เชี่ยวชาญทั้งการซื้อใจคน การ เอาชนะใจคน

แล้วทั้งห้องก็พากันโห่ร้องขึ้นอีก เพิ่งเปิดเทอมวันแรก ก็ได้กินอาหารมื้อใหญ่ฟรี ใครจะไม่ดีใจล่ะ

“ไปกันทุกคน ทุกคนนะ” โจวหยางพูดด้วยความดีใจ จู่ๆ ก็กลับค่าพูดว่า “ทุกคน ยกเว้นเขา”

ทั้งห้องเงียบลงทันที แล้วหนังหัวของผมก็เริ่มชาขึ้น ใน ที่สุดก็มาแล้ว ผมแทบจะไม่ต้องหันไป ก็รู้ว่าโจวหยาง กำลังพูดถึงผมอยู่ เขาในตอนนี้ต้องชี้ผมอยู่แน่นอน แล้ว สายตาของทุกคนก็ต้องมารวมอยู่บนตัวผมแน่ๆ ผมไม่มี ความกล้าที่จะไปยอมรับ ผมก้มหน้า ผ่านวันนึงเหมือน ผ่านปีนึง

ในห้องนั้นเงียบสุดๆ ลมหายใจของผมแรงขึ้นเรื่อยๆ ถึง แม้ว่าผมจะก้มหน้าอยู่ แต่ก็สามารถใช้หางตาเห็นท่าทาง ของโจวหยางได้ สี่ตาสีหม่นนี้มองมาที่ผมด้วยความ ประหลาดใจ ไม่มีใครเข้าใจว่าทำไมเพิ่งเปิดเรียนวันแรก หัวหน้าห้องถึงได้ไล่นักเรียนที่ธรรมดาแบบนี้
โจวหยางรู้ ผมรู้ ส่วนคนอื่นๆ นั้นไม่มีใครรู้

ชีวิตประจำวันแบบ ในที่สุดก็เริ่มต้นขึ้นอีกแล้ว…….

ผมพยายามอย่างมากบั่น ถึงขั้นไม่เสียดายที่คุกเขาให้ กับโจวหยาง ก็เพื่อจะได้มาเรียนที่โรงเรียนมัธยมปลาย เฉิงหนาน ก็เพื่อให้หลุดพ้นจากเงามืดในมัธยมต้น แต่ว่า ตอนนี้ ทั้งหมดนั้นได้ฉายใหม่อีกรอบแล้ว โดนบีบให้ออก โดนดูถูก โดนหัวเราะเยาะ นั่นเป็นชีวิตที่แค่คิดก็ไม่กล้าที่ จะคิด

ทําไม ทําไมในชีวิตของผมต้องมีคนอย่างโจวหยาง ปรากฏตัวขึ้นด้วย เทวดากำลังทดสอบผมอยู่หรอ ทำไม ถึงจัดแจงให้ผมเจอกับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งแบบนี้ด้วย เขามี เงิน มีรูปร่าง มีพลัง มีโชคชะตา มีโอกาส มีฝีมือ แค่ใช้นิ้ว ก้อยก็ยังเล่นผมถึงตายได้เลย

“มันไม่เหมาะที่จะกินข้าวกับพวกเรา” โจวหยางหัวเราะ อย่างเย็นชา วันเปิดเทอมวันแรก เขาก็ขู่ผมไปทีนึงแล้ว จงใจทําอย่างเห็นได้ชัด อย่าคิด อย่าคิดว่านายหลบฉัน มาที่โรงเรียนมัธยมปลายเฉิงหนานแล้ว ก็จะสามารถหนี จากมือของฉันได้

หน้าของผมร้อนสุดๆ อยากจะมุดเข้าไปในดิน ถ้าตอนนี้ ยังอยู่มัธยมต้นล่ะก็ ผมคงจะสบายขึ้นหน่อย เพราะได้ลิ้ม ลองเผชิญรสชาติแบบนี้ทุกวันอยู่แล้ว แต่ว่าตอนนี้โรงเรียนมัธยมปลายใหม่ ห้องเรียนใหม่ เพื่อนใหม่ แล้ว โจวหยางก็ทําให้ผมอับอายต่อหน้าพวกเขา

จะพุ่งเข้าไปต่อยเขาหรอ ผมกำหมัดไว้แน่น ผมรู้ว่าตัว เองสู้เขาไม่ไหว รูปร่างและน้ำหนักวางอยู่ตรงนั้น ผมสอง คนรวมกันยังสู้เขาไม่ได้เลยแต่ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป ผมคง ทำได้แค่ต้องทนทุกข์ทรมานจากการรังแกที่ไม่รู้จบ

คนในห้องเริ่มกระซิบกระซาบกันขึ้น ผมไม่รู้ว่าเอาความ กล้าจากไหน ถึงได้หันหน้าไปโดยไม่รู้ตัว

โจวหยางนั้นกำลังชี้ผมอยู่จริงๆ อีกอย่างบนหน้าก็ยัง เผยรอยยิ้มที่เย็นชาอีกด้วย พอเห็นหน้าเขาแล้ว ก็นึกถึง ชีวิตตอนมัธยมต้นที่ถูกเขารังแกมาสามปี พอนึกถึงคืนวัน เหล่านั้น ความกลัวก็เข้ามาวนเวียนในหัวอีกครั้ง

“มองอะไร” โจวหยาง “มุ้ย” ไปทีถึง “ทุกคนอย่ามอง ว่าฉันไม่ไว้หน้ามันเลย ฉันกับไอ้นี่มาจากตำบลตงกวน เหมือนกัน ฉันรู้ดีว่ามันเป็นยังไง เรื่องที่เกี่ยวกับมัน ไว้ฉัน ค่อยเล่าให้ทุกคนฟังตอนกินข้าวเที่ยงอีกที” แล้วก็เผย รอยยิ้มที่เยาะเย้ยออกมา

ทำยังไงดี ทำยังไงดี ทำยังไงดี ผมถามตัวเองอยู่ในใจ ผมเกลียดปากกับลิ้นโง่ๆ ของตัวเอง ผมเกลียดความขึ้ขลาดของตัวเอง

“ไปกันเถอะ ไปกินข้าวกัน” โจวหยางเดินไปทางประตู ห้องเรียนก่อน แล้วทุกคนก็พากันลุกขึ้น บางคนก็มองผม บางคนก็ไม่ได้มองผม แต่ก็เดินออกไปนอกห้องพร้อมกัน โดยไม่ได้นัดหมาย เพื่อนร่วมโต๊ะของผม มองผมทีนึง อ้า ปาก แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา แล้วก็เดินตามออกไป ด้วย

ไม่ได้ระเบิดออกมาสักหน่อย…..เมื่อกี้นั้น อย่างจะชก หมัดเข้าไปที่หน้าของโจวหยางซะจริงๆ จริงๆ แล้วความ คิดนี้นั้นเกิดขึ้นในหัวของผมมาหลายครั้งมากๆ แล้ว แต่ ไม่มีสักครั้งเลยที่ได้ทำจริง ผมก้มหน้าอีกครั้ง ฟังเสียง คนในห้องที่น้อยลงเรื่อยๆ ฟังเสียงฝีเท้าของพวกเขาที่ ไกลออกไปเรื่อยๆ ไม่นาน ความวุ่นวายในห้องเรียนเมื่อ กี้ก็ค่อยๆ เงียบลงแล้ว ถึงแม้ว่าผมจะไม่ได้เงยหน้า แต่ก็รู้ ว่าต้องไม่มีคนแล้วแน่ๆ

ผมถอนหายใจยาวๆ หนึ่งที ช่างเถอะ เคยชินมาตั้งสามปี แล้ว ชินอีกสักสามปีก็จบ

ผมก้าน้าเอาไว้ จู่ๆ ผมก็เห็นรองเท้าสีชมพูคู่หนึ่ง ไม่ใช่คู่ ใหม่ แต่กลับขัดจนสะอาด พอผมเงยหน้าขึ้น ก็เป็นเซี่ยเส ว่พอดี

เซี่ยเสว่ไม่ได้ไปกินข้าวกับโจวหยาง ในใจของผมซาบซึ้งมาก ทั้งเซอไพรส์ทั้งดีใจ เซี่ยเสวนั่งอยู่ตรงหน้า ของผม บนหน้านั้นมีความโมโหอยู่ “โจวหยางว่านาย ขนาดนั้น ทําไมนายไม่เถียงกลับไปเลยสักคําล่ะ”

ผมอ้าปาก แต่กลับพูดอะไรไม่ออก นั่นสิ ทำไมผมถึง

ไม่ตอบโต้กลับไป ตอนที่อยู่มัธยมต้น ไม่ใช่ว่าผมไม่เคย ตอบโต้เลย แต่เพราะตอบโต้ไป ครั้งต่อไปก็จะทำให้ถูก เยาะเย้ยหนักกว่าเดิม หรือไม่ก็ถูกเขาเตะจนกระเด็นอยู่ กลางอากาศทีนึง

“นายพูดสิ” เซี่ยเสว่ยิ่งโมโหขึ้นอีก

“ฉันไม่กล้า” ผมรวบรวมความกล้าแล้วพูดคำนี้ออกมา สารภาพความอ่อนแอของตัวเองต่อหน้าผู้หญิงที่ชอบ แบบนี้ มันช่าง…….

“ทำไมล่ะ” เซี่ยเสบู่มองผมด้วยความสงสัย

เซี่ยเสวนั้นสวย อีกอย่างก็พึ่งพาได้ ใจกว้าง พูดจา อ่อนหวาน นิสัยดีมีน้ำใจ ผู้หญิงแบบนี้นั้นต้องเติบโตมา ท่ามกลางความรักความเอ็นดูของผู้คนรอบข้างอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นที่บ้านหรือที่โรงเรียน น้อยมากี่จะมีคนมายุ่ง กับเขา อีกอย่างยังแย่งกันเป็นอารักขาของเธออีกด้วย ผู้ หญิงแบบนี้ คงไม่รู้หรอกว่ารสชาติของการโดนคนรังแก นั้นเป็นยังไง
“ไม่เป็นไรหรอก” ผมส่ายหน้า ลุกขึ้น เตรียมตัวออกจาก ห้องเรียน

ต่อหน้าเซี่ยเสว่ จู่ๆ ความอยากที่จะได้คุยของผมก็หมด ไป ผมไม่ยอมเปิดบาดแผลของผมให้เธอดู แบบนั้นมัน ทำให้ผมรู้สึกอาย

“ครั้งหน้าถ้าเขาว่านายอีก นายต้องสู้กลับ” เซียเสว่พูด อยู่ข้างหลังผม “นายไม่สู้เอง ก็ไม่มีใครช่วยนายหรอกนะ”

“เหอะ…..” ผมยิ้มแหย แล้วก็ออกจากห้องเรียนไปเอง

ไม่มีเพื่อนเลยสักคน ผมเดินไปที่โรงอาหารคนเดียว ตัก ข้าวเองเสร็จ ค่อยๆ กินคนเดียว แล้วก็เดินกลับหอพักคน เองคนเดียว

ชีวิตที่โดดเดี่ยวแบบนั้น ผมชินมาตั้งสามปีแล้ว ไม่ได้ แคร์ว่าจะเพิ่มมาอีกสามปี นอนอยู่บนเตียงของหอพัก ใน หัวของของผมไม่รู้ว่าทำไมถึงได้นึกถึงคำพูดนั้นของเซี่ย เสว่ขึ้น “นายไม่สู้เอง ก็ไม่มีใครช่วยนายหรอกนะ” ผมเอา สองมือของผมวางไปใต้หัวของผม กลัวก็เหม่อมองดูไปที่ เพดาน

หอพักเงียบสงบสุดๆ ทุกคนไปกินข้าวที่โจวหยางเลี้ยง กันหมด ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน ประตูของหอพักก็ถูกผลักออก แล้วรูมเมทก็เดินเข้ามา พวกเขาแต่ละยิ้ม แย้มแจ่มใส หน้าแดงไปหมด ดูแล้วคงจะกินดีดื่มดีจริงๆ พอเข้ามาในหอก็ไม่ได้พักผ่อน แล้วก็พูดคุยกันเสียง เจี๊ยวจ๊าวขึ้น

“หัวหน้าห้องของเราโคตรเท่เลย วางไปเต็มๆ สี่โต๊ะ ยัง ไม่กะพริบตาเลยสักครั้ง”

“แล้วตอนที่จ่ายตังค์ก็หล่อสุดๆ ฉันยังกังวลอยู่เลยว่า เงินสดของเขาจะไม่พอ สุดท้ายคนอื่นนั้นล้วงบัตรเครดิต ออกมา”

“คนอื่นเขาน่ะรวยจริงๆ ครั้งนี้ช่างเปิดหูเปิดตาจริงๆ”

ที่นอนของผมอยู่ชั้นบน ผมคิดว่าพวกเขาคงไม่เห็นผม ไม่งั้นพวกเขาก็คงไม่พูดคำพูดต่อไปหรอก

“เออใช่ หัวหน้าห้องบอกว่าหวางห้าวนั่น ตอนที่พวกเขา อยู่ม.ต้นน่ะอยู่อย่างน่าสมเพชสุดๆ

“เหอะๆ โดนต่อยตั้งแต่ม.ต้น มาม.ปลายก็ยังเหมือนเดิม”

“หัวหน้าห้องอยากจะจัดการเขา ชีวิตของเขาถือว่าอยู่ ยากแล้วล่ะ……
“ชู่……” มีคนนึงทำเสียงขู่ขึ้นเบาๆ ผมใช้หางตามองไปหา เขา แล้วเขาก็กำลังชี้ผมอยู่

แล้วท่าทางของแต่ละคนก็นึกขึ้นได้ แล้วตอนนี้พวกเขา ก็พอจะรู้แล้วว่าผมก็อยู่ในห้องนี้เหมือนกัน เหมือนมีลูกธนู นับพันดอกทิ่มแทงมาในใจของผม ตอนนี้พวกเขากําลัง สนใจกับความมีตัวตนของผมอยู่ รอให้ผ่านไปอีกสักพัก และแกล้งผมชินแล้ว ก็คงจะโจ่งแจ้งขึ้นแล้วล่ะ

ไอ้เลวเอ้ย……ผมกำหมัดไว้แน่น แล้วก็คลายออกอีกครั้ง ทําไมถึงได้ขี้ขลาดขนาดนี้ ใครสามารถช่วยผมออกไป จากทะเลขมขื่นนี้ได้บ้าง

ผมชกไปที่กำแพง แล้วก็แอบๆ ร้องไห้ออกมา

โจวหยางค่อยๆ เป็นคนที่ทำได้ทุกอย่างในห้อง

นี่เป็นสิ่งที่ผมคิดได้ตั้งแต่แรกแล้ว ด้วยฝีมือการเอาชนะ ใจคนของเขานั้นมันง่ายมาก เขาไปอยู่กับนักเลงพวกนั้น แล้วก็เป็นพี่น้องกันปรองดองกันกับหลี่เจ๋ พวกเขาไม่ใช่ แค่ แต่เขาก็เป็นคนมีชื่อเสียงในระดับม.4อยู่มากๆ เหมือน กัน หลี่เจ๋ ส่วนหลี่เจ๋นั้นก็เป็นนักเลงที่มีชื่อเสียงอยู่ใน เมืองเป่ยหยวนอยู่แล้ว ตอนนี้บวกกับโจวหยางที่ร่ำรวย ด้วยแล้ว ช่างเป็นมิตรภาพที่แข็งแกร่งจริงๆ
คนในห้องล้อมอยู่รอบๆ พวกเขาทั้งวัน พูดประจบประ แจงใส่ร้าย อยากจะไปอยู่ในวิวทิวทัศน์เดียวกันกับพวก เขา พอกลับหอพัก โจวหยางก็เที่ยวไปเที่ยวมาอยู่ตลอด แน่นอนว่าต้องมาห้องของพวกเราด้วย พอมาถึงหอพัก ของเรา เพื่อนในหอคนอื่นๆ ต่างไปล้อมอยู่รอบตัวเขา ผมนอนอยู่ชั้นบนคนเดียวไม่มีเสียงใดๆ ราวกับอยู่คนละ โลกกันกับพวกเขา มีคนประเภทนึง ไปที่ไหนก็กลายเป็น ศูนย์กลางคนอยู่เสมอ โจวหยางก็คือคนประเภทนี้แหละ

การเยาะเย้ยผมนั้นไม่เคยน้อยลงเลยสักครั้ง แต่ผม ทำเป็นเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา เหมือนหมูที่ไม่กลัวน้ำร้อน ลวกยังไงอย่างงั้น คิดดูแล้วโจวหยางก็คงรู้สึกว่าที่นี่เป็น โรงเรียนต่างที่ เลยไม่กล้าจะห้าวมาก เลยไม่ได้แตะต้อง ตัวผม แน่นอนว่าเพื่อนในห้องก็เห็นผมเป็นคนเร่ร่อนข้าง ถนน ไม่มีใครที่กล้าเข้ามาคุยกับผม รวมถึงเพื่อนร่วมโต๊ะ ของผมด้วย ส่วนสี่ตาที่ชื่อหลิวจื่อหงนั้น อยู่ต่อหน้าผมก็ เหมือนจะกลายเป็นคนใบ้

หลังจากที่ทบทวนบทเรียนเสร็จ เซี่ยเสวก็มานั่งตรงหน้า ผมอีกครั้ง ในตอนนั้น โจวหยางและหลี่เจ๋กำลังเสียงดัง อยู่แถวด้านหน้า ผมรู้สึกได้ชัดเจนว่าโจวหยางนั้นมองผม ด้วยสายตาที่ดุเดือด แล้วก็มีความป่าเถื่อนอยู่ด้วย

“ทำไมนายถึงเป็นแบบนี้อยู่เรื่อย” ครั้งนี้อารมณ์ของเซี่ย เสวนั้นยิ่งโมโหเข้าไปใหญ่ “ฉันเป็นยังไง” ผมจงใจแกล้งโง่

“นายว่านายเป็นยังไงล่ะ” เซี่ยเสวีทำเสียงทุ้มขึ้น เหมือน ว่ากำลังให้เกียรติผมอยู่ “เขารังแกนายแบบนั้นอยู่ทุกวัน นายยังทําเป็นไม่สะทกสะท้านเลยสักนิดอยู่อีก”

“ฉันชินแล้ว” ผมหัวเราะ “แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ไม่มีใคร มายุ่งกับการเรียนของฉัน รอฉันสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ ก็คงหลุดพ้นจากชีวิตแบบนี้แล้วล่ะ”

ตอนที่อยู่มัธยมต้นนั้นผมหวังจะสอบเข้าโรงเรียนมัธยม ปลายเฉิงหนานได้ นึกว่าพอมาถึงที่นี่ก็จะได้เริ่มต้น ชีวิตใหม่ ตอนนี้ผมอยู่ในห้องเรียนของโรงเรียนมัธยม ปลายเฉิงหนาน แต่กลับตั้งความหวังไว้กับการสอบเข้า มหาวิทยาลัยอีก ที่บอกว่าจิตใจของนกกระจอกเทศ ก็ คงจะเป็นลักษณะเหมือนผมในตอนนี้สินะ

“นายพูดบ้าอะไรเนี่ย” เซี่ยเสวีทนไม่ไหวจนเสียงดัง

ขึ้น “ไม่มีใครมารบกวนการเรียนของนาย งั้นที่หนังสือ ภาษาอังกฤษของนายโดนฉีกทิ้งล่ะจะว่ายังไง ที่การบ้าน คณิตศาสตร์ของนายถูกทิ้งลงในน้ำล่ะจะว่ายังไง แล้วที่ ในตลับดินสอของนายถูกยัดเต็มไปด้วยผงช็อกล่ะนาย จะว่ายังไง”


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ