ยอดหญิงอันดับหนึ่

บทที่ 14 งานเลี้ยง ในวัง (3)



บทที่ 14 งานเลี้ยง ในวัง (3)

“ท่านอ๋องห้า ดูสีหน้าท่าทางของท่านเหมือนจะฟื้นตัวดีขึ้นมาก เป็นเรื่องน่ายินดีจริงๆ” โอวหยางเพิ่งกลับปรากฏตัวบนทางที่จะ เดินไปข้างหน้าของตงฟางอ้าวกับโอวหยางหวั่นเอ๋อ แสร้งทำ เป็นกล่าวราวกับสนิทสนม

ตงฟางอ้าวกับโอวหยางหวั่นเอ๋อตั้งใจที่จะไม่สนใจ เป็นการ ตบหน้า โอวหยางเฟิงอย่างชัดเจน

โอวหยางเพิ่งยิ้มออกมาแก้เก้อ มองโอวหยางหวั่นเอ๋อที่สงบ และใจเย็นแล้วยิ้ม แก้สถานการณ์ให้กับตนเอง

“เหอะๆ เจ้าเด็กสาวคนนี้ แต่งงานแล้วทำเป็นเกรงใจกับที่

บ้านเช่นนี้แล้ว จริงๆเลย มีเวลาเมื่อไหร่ก็กลับมาที่จวนเรามาพูด

คุยเรื่องเก่าๆกัน?”

ช่างเป็นภาพแสดงความรักพ่อลูกผูกพันรักใคร่กลมเกลียวซะ

เหลือเกิน แต่เสียดาย กลับทำให้โอวหยางหวั่นเอ๋อรู้สึกว่า

เป็นการแกล้งทำจนรู้สึกรังเกียจ ไม่ตอบรับคำสนทนาใดๆ แล้วก็คำนับ ประคองตงฟางข้าว

เอาไว้แล้วกล่าวว่า
“หม่อมฉันรู้สึกไม่สบายเล็กน้อย อยากไปพักผ่อนสักครู่ ขอตัว ลาออกไปก่อน” กล่าวจบ ก็ไม่คำนึงถึงโอวหยางเพิ่งที่ยิ้มตึงอยู่ บนหน้า หันหลังจากไป

นี่เป็นการตบหน้า ตบหน้าอย่างหมดเปลือก โอวหยางเพิ่งถูก ทำให้โมโหจนแทบจะบ้า นั่งตัวดีโอวหยางหวั่นเอ๋อ คิดว่า แต่งงานกับท่านอ๋องคนหนึ่งก็นึกว่าจะกลายเป็นหงส์แล้วอย่าง นั้นหรือ? ยังจะวางสีหน้าให้เขาดู? ถึงแม้จะรู้สึกว่าตัวเองโกรธ จนจะระเบิดแล้ว แต่ว่าตงฟางข้าวยังอยู่ ตนก็ไม่กล้าออกฤทธิ์ ทำได้เพียงอดทนกลืนความโกรธเข้าไป ยอมเลิกราชั่วคราว

โอวหยางหวั่นเอ๋อหาสถานที่ที่เงียบสงบและคนน้อยมองดู ทะเลสาบอย่างเงียบๆ ในใจกลับอดนึกถึงภาพที่ตงฟางอ้าวอุ้ม ตนไม่ได้ขึ้นมา ภาพที่พูดกับตนอย่างกระซิบกระซาบ ภาพที่เต็ม ไปด้วยการโปรดปรานตนเอง ถึงแม้จะรู้ดีว่าตงฟางอ้าวล้วนแต่ ทำให้คนอื่นดู แต่ว่าโอวหยางหวั่นเอ๋อก็ยังไม่เอาไหนกลับไป หลงระเริงอยู่กับมันอย่างถอนตัวไม่ขึ้น

“แม่นางช่างมีอารมณ์ดี มารับลมหนาวที่นี่” เสียงใสของผู้ชาย ดังขึ้นมา ทำลายความคิดของโอวหยางหวั่นเอ๋อ
หันกลับมาอย่างตกตะลึง หลังจากที่มองคนที่มาอย่างชัดเจน แล้ว โอวหยางหวั่นเอ๋อกลับเลิกคิ้วขึ้นอย่างประหลาดใจ

ตงฟางจิ้งซู?

“น้องสะใภ้คำนับท่านอ๋องสาม” โอวหยางหวั่นเอ๋อค่านับ อย่างเป็นธรรมชาติ แสดงถึงความเคารพนับถือ ขณะเดียวกันก็ เงยหน้าของตนขึ้นอย่างเปิดเผยปล่อยให้ตงฟางจิ้งซูมอง

“ไม่ทราบว่าท่านอ๋อง มองพอหรือยัง? หวั่นเอ๋อหน้าตาน่า เกลียด กลัวว่าจะแปดเปื้อนตาของท่านอ๋อง”

ตงฟางจิ้งซูมองแก้มของโอวหยางหวั่นเอ๋ออย่างไม่กะพริบตา สร้างความไม่พอใจให้โอวหยางหวั่นเอ๋ออย่างช่วยไม่ได้ ขมวด คิ้วกล่าวเตือนอย่างอ่อนโยน

“อ้อ ขาตั้งสติไม่อยู่ทำกิริยาไม่เหมาะสมแล้ว เพียงแต่จึงรู้สึก เสียดายหน้าตาและความสามารถอันหาที่เปรียบไม่ได้เช่นนี้ของ แม่นางหวั่นเอ๋อ”

เป็นประโยคที่ใช้คำอ่อนโยนแท้ๆ กลับทำให้โอวหยางหวั่นเอ อรู้สึกว่าเมื่อเทียบกับที่ตงฟางข้าวกล่าวกับตนตรงๆว่า เจ้าขี้เหร่ จริงๆ ยังทำให้คนรู้สึกขยะแขยงมากกว่า
“หญิงขี้เหร่คนหนึ่ง ขอบคุณสำหรับความชื่นชมของท่านอ๋อง สาม ยากที่จะเข้าสถานที่สง่างามและมีเกียรติได้” โอวหยางหวั่น เอ๋อก้มหัวลง ไม่วางแผนที่ซื้อบัญชี รับคำชื่นชม)ของอ๋องสาม

“ต้องอภัยด้วย แม่นางหวั่นเอ๋อ ขากล่าวกะทันหันไปหน่อย ดู เหมือนว่าตงฟางจิ้งซูเพิ่งจะรู้สึกตัวถึงการพูดผิดในคำพูดของตน รีบร้อนขออภัย

เขาติดตามอาจารย์ไปฝึกฝนร่ำเรียนที่อู่ไถซานตั้งแต่เด็ก ต้อง ไม่เคยได้สัมผัสกับประสบการณ์การหลอกลวงกันไปมาของ ตระกูลใหญ่ในวังหลวงนี้อยู่แล้ว ดังนั้นเวลาที่พูด จึงพูดออกไป อย่างที่ใจคิด ตัดสินใจเลือกใช้คำพูดไม่เป็น

“ท่านอ๋องมีธุระอะไรต้องการจะหาหวั่นเอ๋อหรือ? ถ้าไม่มีหวั่น เอ๋อต้องขอตัวก่อน” โอวหยางหวั่นเอ๋อมองผู้ชายที่ขาวสะอาด ราวกับหยกที่อยู่ตรงหน้า เว้นระยะห่างอย่างมีมารยาท

นางคือพระชายาหวั่น ดังนั้นจึงไม่สามารถเปิดโอกาสให้คน อื่นนินทาได้เลยแม้แต่น้อย

“ไทเฮา ให้ข้ามาหาเจ้า ไทเฮาตรัสว่าอยากจะพบกับลูกสะใภ้ ของตนทุกคน” ได้ยินคำพูดเตรียมจะจากไปของโอวหยางหวั่นเอ อ ก็รีบร้อนพูดจุดประสงค์ที่ตนมาออกมาจนหมด หวังว่าจะรั้งโอวหยางหวั่นเอ๋อเอาไว้

“ไทเฮา?” ขมวดคิ้วของตน โอวหยางหวั่นเอ๋ออาศัยอยู่ในจวน โอวหยางตลอด นางไม่รู้เกี่ยวกับนิสัยใจคอของไทเฮาเลยแม้แต่ น้อย ตอนนี้ได้ยินว่าไทเฮาเรียกพบตนกะทันหัน อดรู้สึกตื่น ตระหนกเล็กน้อยไม่ได้

ในเมื่ออยากพบลูกสะใภ้ ถ้าอย่างนั้นโอวหยางเหยียนเสี้ยว ต้องไปด้วยอยู่แล้ว เมื่อตนเพิ่งจะทำให้โอวหยางเหยียนเอ๋อเสี ยหน้ามากขนาดนั้น โอวหยางเหยียนเสี้ยวจะปล่อยตัวเองไปได้ อย่างไร? ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ในใจของโอวหยางหวั่น เอ๋อกลับเข้าใจดีว่าเป็นวาสนาไม่ใช่คราวเคราะห์ ถ้าเป็นคราว เคราะห์ก็หลบไม่พ้น ทุกอย่างคงต้องแล้วแต่โชคแล้ว

ในเวลานี้ก็ไม่ได้ตัวสั่น ตามตงฟางจิ้งซูไปทางตำหนักบรรทม ของไทเฮา

พระตำหนัก เสีย

โอวหยางเหยียนเสี้ยวกับพระชายาสองสามคนกำลังพูดคุย กันอย่างออกรส ไทเฮานั่งอยู่ด้านบนสุดกวาดตามองผู้หญิงที่มี ฐานะสูงศักดิ์ทั้งหลาย เอ่ยกล่าวขึ้นว่า
“ทุกท่านมาครบแล้วใช่ไหม?”

“ทูลไทเฮา ยังเหลือโอวหยางหวั่นเอ๋อที่แต่งงานท่านอ๋องหายัง ไม่มา” โอวหยางเหยียนเสี้ยวแกล้งตอบอย่างนอบน้อม แต่ในใจ กลับได้ใจไม่หยุด ไทเฮามีรับสั่งให้พระชายาทุกคนมารวมตัวพูด คุยสนิทสนมเป็นกันเองตั้งแต่เช้าแล้ว โอวหยางเหยียนเสี้ยวกลับ จงใจสกัดกั้นขันทีที่จะไปแจ้งเรื่องให้โอวหยางหวั่นเอื้อมาเอาไว้ ตั้งใจทำให้โอวหยางหวั่นเมื่อไม่มาล่วงเกินไทเฮา

โอวหยางหวั่นเอ๋อ? คือลูกสาวของนังแพศยาคนนั้นหรือ? ดู เหมือนไทเฮาจะจมอยู่กับเรื่องราวในอดีต ในดวงตาที่ขมวดคิ้ว กลับปกปิดความอาฆาตพยาบาทไว้ไม่อยู่

โอวหยางเหยียนเสี้ยวเห็นปฏิกิริยาเช่นนี้ของไทเฮา ถึงแม้จะ ไม่รู้ว่าจะรับมือเช่นไรดี แต่กลับมีความสุขที่ไทเฮาไม่พอใจต่อโอ วหยางหวั่นเอ๋อ จึงไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก แต่กลับแอบดีใจอยู่ลึกๆ ดูท่า ไทเฮาจะมีอคติกับโอวหยางหวั่นเอ๋ออยู่ไม่น้อย ทีนี้ ตนจะมี อะไรดีๆดูแล้ว

“พระชายาห้าโอวหยางหวั่นเอ๋อขอพบไทเฮาพะยะค่ะ” เสียง ร้องของวันทีทำลายความเงียบแปลกๆ ในห้องโถง โอวหยางเห ยียนเสี้ยวกลับรู้สึกประหลาดใจ คิดไม่ถึงว่าโอวหยางหวั่นเอ๋อจะ มาได้ ทีนี้ ควรจะทำเช่นไรต่อดี?

คิดไม่ถึงว่าไทเฮาที่นั่งอยู่เหนือตำแหน่งที่สูงที่สุดกลับเอ่ยปาก กล่าวว่า

“ให้โอวหยางหวั่นเอ๋อรอไปก่อน ในเมื่อมาสาย ก็ให้รออีกสัก หน่อย ข้าจะพูดคุยใกล้ชิดกับสะใภ้คนอื่นๆ

กล่าวคำนี้ออกมา คนที่มีสายตาอันชาญฉลาดต่างก็ฟังออก แล้วว่า ไทเฮาตั้งใจจะทำให้โอวหยางหวั่นเอ๋อลำบากใจ เพียง แต่เพราะเหตุผลอันใด กลับไม่อาจรู้ได้

โอวหยางหวั่นเอ๋อได้ยินวันทีบอกกับตนเช่นนี้ ใบหน้ายังคงได้ ความรู้สึกใดๆเช่นเดิม หันไปคำนับทางพระตำหนักเสีย กล่าว อย่าง โอนโยนว่า

“หม่อมฉันรับพระบัญชา” และก็ไปยืนรอตรงพื้นที่โล่งกว้าง

ตรงนอกลานจริงๆ

ไหนเลยจะรู้ว่าครึ่งชั่วยามผ่านไปแล้ว คนที่ตากแดดตอนเที่ยง ตอนบ่ายอดรู้สึกเวียนหัวเล็กน้อยไม่ได้ ไทเฮากลับดูเหมือนไม่มี เจตนาจะเรียกพบตนเช่นเดิม

โอวหยางหวั่นเอ๋อยังคงยืนรออยู่กลางแดด แดดที่ร้อนจัด ทำให้ตนเหงื่อออกเต็มตัว แต่ว่าไหนๆก็มาแล้ว ไม่มีพระประสงค์ ของไทเฮาตนก็ไม่กล้าจากไปเองเพื่อไม่ให้โอวหยางเหยียนเสี้ยวใช้เป็นจุดอ่อนได้

เพียงแต่ว่าสิ่งที่ทำให้โอวหยางหวั่นเอ๋อรู้สึกสงสัยไม่เข้าใจก็ คือ ตนกับไทเฮา ดูเหมือนไม่เคยพบปะกันมาก่อน แต่ว่าเพราะ อะไรไทเฮากลับทำให้ตนลำบากใจเช่นนี้? ตรงจุดนี้ โอวหยาง หวานเอ่อกลับคิดไม่ออกจริงๆ

มองโอวหยางหวั่นเอ๋อที่ยังคงยืนรอตัวตรงอยู่กลางแดด ตั้ง ฟางจิ้งซูทนดูต่อไปมาไหวอีกแล้ว ไม่เข้าใจว่าทำไมไทเฮาถึง ปฏิบัติกับ โอวหยางหวั่นเอ๋อเช่นนี้ เดิมทีก็มีความรู้สึกดีกับโอว หยางหวั่นเอ๋ออยู่แล้ว เวลานี้ก็จะสนใจอะไรมากมายไม่ได้แล้ว เอ่ยปากกล่าวว่า

“หวั่นเอ๋อ ข้าเข้าไปหาไทเฮา ให้เจ้าเข้าไปดีไหม?”

“ขอบคุณท่านอ๋อง ความหวังดีของท่านอ๋องหวั่นเอ๋อรับไว้ด้วย ใจ หวั่นเอ๋อยืนรออยู่ตรงนี้แหละ

“แต่ว่านานขนาดนี้แล้ว การลงโทษที่รุนแรงเช่นนี้ เจ้าเป็นแค่ผู้ หญิงคนหนึ่ง จะทนได้อย่างไร?” ตงฟางจิ้งซูมองไปที่โอวหยาง หวั่นเอ๋อที่แม้ว่าจะร้อนจนผมตรงมุมหน้าผากจะชุ่มไปด้วยเหงื่อ แต่กลับยังคงยืนรอตัวตรงอย่างเป็นกังวล ถอนหายใจออกมา เฮือกหนึ่งอย่างช่วยไม่ได้ ผู้หญิงคนนี้ ช่างดื้อรั้นเกินไปจริงๆ
“ทำไม? พระชายาหวั่นมาสาย ขาให้พระชายาหวั่นรอสักครู่ ยังรอไม่ได้อย่างนั้นหรือ? หรือว่า นี่เป็นความผิดของไทเฮาอย่าง ข้าคนนี้?”

เสียงผู้หญิงที่แม้จะไม่ต้องโกรธแต่ก็ยังทรงพลังดังออกมาจาก ด้านในเรือน โอวหยางเหยียนเสี้ยวที่ตอนนี้กำลังประคองไทเฮา ออกมาจากเรือนทีละก้าว มองโอวหยางหวั่นเอ๋ออย่างได้ใจ

ดูเหมือนว่า ไทเฮาก็ไม่ชอบโอวหยางหวั่นเอ๋อเลยแม้แต่น้อย ดูท่า วันนี้จะให้โอวหยางหวั่นเอ่อลำบากเล็กน้อยไม่เรื่องยาก อะไรแล้ว

ไทเฮาสวมชุดงานปักมือประณีตสีน้ำเงินเข้มทั้งชุด ถึงแม้จะไม่ โกรธก็ยังดูทรงพลัง แม้จะคนที่อายุใกล้จะห้าสิบแล้ว แต่ผิว พรรณกลับดีเหมือนกับคนวัยสามสิบต้นๆ ทุกกิริยาท่าทางยังคง แฝงไปด้วยเสน่ห์ชวนหลงใหล

“หวั่นเอ๋อไม่กล้า รอคอยไทเฮาเป็นหน้าที่ของหวั่นเอ๋อ หวั่นเอ อไม่กล้ามีคำตำหนิใดๆแม้แต่น้อย” โอวหยางหวั่นเอ๋อมองไท เฮาที่ใช้สายตาน่าเกรงขามมองตน มีรู้สึกว่าไทเฮามีความโกรธ แค้นกับตน แต่ว่าตนไม่เคยพบปะหรือพูดคุยใดๆกับไทเฮาแท้ๆ คิดไม่ออกจริงๆว่าไทเฮาไม่พอใจตนตรงไหน

” เจ้าไม่กล้า หรือว่ากล้าโกรธไม่กล้าพูด?ทําไม? คําสั่งของข้าเจ้ายังกล้ามาสาย ขายังไม่สามารถให้เจ้า รองั้นหรือ? พระชายาหวั่นวางท่ามาตรใหญ่มาก

กล่าวถึงตรงนี้ ไทเฮายิ่งเพิ่มเสียงให้สูงขึ้น ราวกับกำลังกล่าว โทษการไม่รู้มารยาทของโอวหยางหวั่นเอ๋อ “หวั่นเอ๋อไม่กล้า”

“ซี เหยียนเสี้ยว ทำไมพวกเจ้าต่างก็เติบโตมาจากสภาพ แวดล้อมเดียวกัน ทำไมความมีมารยาทรู้จักกาลเทศะถึงแตก ต่างกันมากเช่นนี้? เจ้าดูพี่สาวของเจ้าคนนี้ อายุมากกว่าเจ้า กลับรู้มารยาทไม่เท่าครึ่งหนึ่งของเจ้า เสียเวลาไปเปล่าๆหลายปี จริงๆ ทําให้ราชวงศ์ของเราขายหน้า” ไทเฮาตบมือโอวหยางเห ยียนเสี้ยวเบาๆ ดูเหมือนกำลังระบายความในใจกับโอวหยางเห ยียนเสี้ยว ในความเป็นจริงกลับกำลังต้นหม่อนดำต้นไหว (อีก คนด่าอีกคน ว่าโอวหยางหวั่นเอ๋อไม่รู้จักมารยาท หลายปีมานี้ เสียชาติเกิดแล้ว

“เสด็จแม่ ตอนที่หม่อมฉันหาพระชายาหวั่นพบ พระชายาหวั่น ดูเหมือนจะไม่รู้เกี่ยวกับคำเชิญของเสด็จแม่เลย ดังนั้นจึงได้ทำ ผิดพลาดไป หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเสด็จแม่จะใช้คำว่าผู้ไม่รู้ย่อมไม่ ผิด ปล่อยหวั่นเอ๋อไปสักครั้ง”
“ฮี ไม่รู้? เป็นความไม่รู้ที่ดีเสียจริง พระชายาทุกคนต่างก็ได้ รับคำสั่ง สั่งด้วยปาก)ของข้า มีแต่พระชายาหวั่นไม่ได้รับ ทำไม? หรือว่าจึงรู้สึกว่าข้าจงใจจะทำให้พระชายาหวั่นลำบาก ใจ?”

ไทเฮาจ้องตงฟางจิ้งซูที่ช่วยขอร้องให้โอวหยางหวั่นเอ๋อ ถึง อย่างไรก็เป็นผู้หญิงที่อยู่ภายใต้คนเพียงคนเดียวแต่อยู่เหนือคน นับหมื่นที่ใช้ชีวิตอยู่ในวังหลังมาหลายปี พูดจากดำกลายเป็น ขาว ของตายก็พูดจนกลายเป็นของมีชีวิต พบเห็นได้บ่อยในวัง หลังแห่งนี้ ไทเฮายิ่งเข้าใจถึงแก่นแท้ของเรื่องเช่นนี้ ใช้คำพูด เพียงไม่กี่คำ ก็หนีไปถึงหัวของโอวหยางหวั่นเอ๋อ

ดูท่า วันนี้โอวหยางหวั่นเอ๋อ ไม่ว่าอย่างไรก็หนีไม่พ้นแล้ว “หวั่นเอ๋อมาช้า ยินดีรับโทษ”

โอวหยางหวั่นเอ๋อคุกเข่าลงไป ถึงเวลานี้ หากว่านางยังไม่ เข้าใจความหมายในคำพูดของไทเฮา ถ้าอย่างนั้นหลายปีมานี้ นางจะเป็นเหมือนกับที่ไทเฮากล่าวเอาไว้จริงๆ เสียชาติเกิด

เพียงแต่ว่า ตนไม่เข้าใจ ทำไมไทเฮาถึงเกลียดชังตนเช่นนี้ เป็นเพราะโอวหยางเหยียนเสี้ยวหรือ? มองโอวหยางเหยียนเสี้ยวที่ประคองไทเฮาไว้อย่างได้ใจ โอวหยางหวั่นเอ๋อสาย หน้าอย่างไม่รู้ตัว เป็นไปไม่ได้ ความสามารถของโอวหยางเหยี ยนเสี้ยวนางรู้ดี ไม่มีปัญญาหลอกใช้ไทเฮาแน่นอน แต่ว่า ถ้า ไม่ใช่เพราะโอวหยางเหยียนเสี้ยว แล้วเพราะอะไรไทเฮาถึงจง เกลียดจงชังตนเช่นนี้

ความคิดหมุนรอบไปมา โอวหยางหวั่นเอ๋อยังคงใจเย็นเช่น เดิม สายตาที่มองไทเฮายังคงสงบนิ่งเหมือนดั่งน้ำในทะเลสาบที่ ไหลนิ่งช้าๆเช่นเดิม

มองสายตาคู่นั้น ความโกรธแค้นในใจไทเฮากลับเพิ่มมากขึ้น สายตาคู่นี้ ให้ตายเถอะมันเหมือนกันกับของผู้หญิงคนนั้นจริงๆ เห็นสายตาคู่นี้ ตนก็นึกถึงผู้หญิงคนนั้นอย่างช่วยไม่ได้ นั่ง แพศยาที่สมควรตายคนนั้น

เมื่อคิดเช่นนี้ เจตนาเย้ยหยันที่มุมปากของไทเฮาก็เพิ่มมากยิ่ง ขึ้น เอ่ยปากกล่าวว่า

“ในเมื่อพระชายาหวั่นรับผิดอย่างมีสติด้วยตัวเอง ถ้าอย่างนั้น เหยียนเสี้ยว เจ้าลองบอกให้ข้าฟังหน่อย เถียงย้อนไทเฮา ควรมี โทษเช่นไร?”

“ทูลไทเฮา สมควรลดขั้นสามชั้น โดยห้าสิบที” ใบหน้าโอว หยางเหยียนเสี้ยวได้ใจอย่างบอกไม่ถูก คิดไม่ถึงว่าไทเฮาจะคิด ตรงกับใจตนเองเช่นนี้ ลงโทษโอวหยางหวั่นเอ๋อ โหดร้ายเช่นนี้

“ถ้าอย่างนั้น ก็ดำเนินการตามนี้ โอวหยางหวั่นเอ๋อ เจ้ามี ความคิดเห็นอะไรกับข้าหรือไม่?”


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ