ยอดหญิงอันดับหนึ่

บทที่ 11 ค่านินทา



บทที่ 11 ค่านินทา

เมืองเทียนที่มีประตูสี่ทิศ เหนือ ใต้ออกตกมีหน้าที่รับผิดชอบการ คมนาคมขนส่งที่แตกต่างกัน

โดยทั่วไปประตูเมืองทางทิศตะวันออก ใช้สำหรับต้อนรับคณะ ทูตจากประเทศอื่นหรือไม่ก็องค์ชายองค์หญิงของประเทศอื่นจะ ใช้เพื่อเข้าเมืองหลวง หรือเวลาแม่ทัพออกรบ ก็จะใช้ประตูเมือง ทิศนี้ เพื่อแสดงถึงพระกรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดไม่ได้ เป็นการให้ ความสำคัญกับเหล่าทหาร

ประตูที่นิยมใช้กันมากที่สุดคือประตูเมืองทางทิศใต้ ส่วนใหญ่ ขุนนางบางส่วนจะใช้เข้าออกเวลาเข้าวังถวายงานรับใช้ฮ่องเต้ ล้วนแต่ใช้จะประตูเมืองทางทิศใต้

และประตูเมืองทางทิศตะวันออกและประตูทางด้านทิศเหนือ ส่วนใหญ่ใช้สำหรับการลำเลียงสิ่งของและการซื้อขายบางชนิด

และประตูเมืองที่ตงฟางอ้าวอุ้ม โอวหยางหวั่นเอ๋อเดินนั้น ก็คือ ประตูเมืองทางทิศใต้

ถึงแม้ตงฟางอ้าวจะได้รับการแต่งตั้งจากฮ่องเต้องค์ก่อนให้ เป็นอ๋องมานานหลายปี แต่ว่ากลับไม่ได้เข้าเมืองหลวงมานาน มากแล้ว ดังนั้น เหล่าทหารที่เฝ้าประตูเมืองต่างก็ไม่รู้จักชาย หนุ่มผู้มีบุคลิกลักษณะไม่ธรรมดาที่เดินมาพร้อมผู้หญิงในอ้อม แขนคนนี้
หัวหน้านายกองทั่วไปล้วนแต่เย่อหยิ่งจองหองทั้งนั้น

และกับตงฟางอ้าวก็ไม่มีข้อยกเว้น ปกติหัวหน้านายกองที่เฝ้า ประตูเมืองเห็นขุนนางใหญ่น้อยที่เข้าๆออกๆจนชินตา ขุนนางใน ราชสำนักมีใครบ้างเกรงว่าคงจะรู้จักดีมากกว่าฮ่องเต้เสียอีก ตอนนี้เห็นคนแปลกหน้าที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน นึกว่าเป็นลูก หลานขุนนางชั้นสูงตระกูลไหนต้องการหลอกลวงเพื่อหลีกเลี่ยง การสอบถามเพื่อที่จะเข้าไปในวัง ออกมาอย่างดูถูกเดี๋ยวนั้น เลย ยื่นมือออกไปขวางตงฟางข้าวที่กำลังเดินไปข้างหน้าต่อ

ตงฟางอ้าวมองทหารเฝ้าประตูเมืองที่ขวางตนเอาไว้ เขาขมวด คิ้ว อดทนต่ออารมณ์โกรธของตน ยังไม่เคยมีผู้ใดสามารถขวาง ทางของตนเองได้

เสียดาย หัวหน้านายกองผู้เฝ้าประตูเมืองไม่รู้จักดูสีหน้าคน มากจนเกินไปจริงๆ ยังคงพยายามวางหางตนขึ้นฟ้าอย่าง

ล่าพอง

“เจ้าหมอนี่ เจ้ามองอะไร? ระวังข้าจะควักลูกตาของเจ้าออกมา ฮี” สีหน้าท่าทางของหัวหน้านายกองยังคงเย่อหยิ่งจองหอง มอง ตงฟางอ้าวอย่างเหยียดหยาม เย่อหยิ่งจองหองอย่างเต็มที่ต่อ หน้าผู้ชายที่เขาคิดว่าเป็นแค่ชาวบ้านทั่วไป

ปกติที่เขาต้องพบเจอล้วนแต่เป็นบรรดาขุนนางชั้นสูงทั้งนั้น ตนเป็นแค่ทหารชั้นผู้น้อยที่ได้แต่พยักหน้าก้มหัวแสร้งทำตัวเป็น หลาน (ว่านอนสอนง่าย เชื่อฟังสั่งของผู้อาวุโส) คิดไม่ถึงว่า ตน จะมีวันที่ลำพองตนแบบนี้ได้ แน่นอนว่าเขาต้องระบายอารมณ์ใส่ตงฟางอ้าวอย่างเต็มที่

“เจ้าว่าอะไรนะ แน่จริงก็พูดอีกครั้ง” ตงฟางอ้าวขมวดคิ้ว ไอ สังหารรวมตัวกันระหว่างคิ้วอย่างรุนแรง มองไปที่ทหารเฝ้าประตู เมือง

ทหารที่เย่อหยิ่งจองหองคนนั้นเห็นตงฟางข้าวที่ปล่อยไอ สังหาร ในใจอดรู้สึกกลัวขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ เขาเป็นทหารคน หนึ่ง เป็นทหารที่เคยออกรบคนหนึ่ง ต้องรู้อยู่แล้วว่า สายตาแบบ นี้แสดงถึงอะไร

ถูกสายตาชวนขนลุกของตงฟางอ้าวทำให้ตกใจกลัวจนถอย หลังออกไปสองสามก้าวอย่างช่วยไม่ได้ แต่เมื่อลองกลับมาคิดดู อีกครั้ง มีอะไรที่ตนต้องกลัว ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ที่นี่ก็อยู่ใต้เท้า ของฮ่องเต้(โดยทั่วไปหมายถึงเมืองหลวง) เป็นอาณาเขตของฮ่อ งเต้ มีอะไรที่ตนต้องกลัวด้วย?

ให้กำลังใจตนเช่นนี้ ความกล้าก็ค่อยๆเพิ่มมากขึ้น มองไปที่ ตงฟางอ้าวที่มีไอสังหารเต็มหน้า ฝันกล่าวต่อ

“ทำไม ข้ายังว่าเจ้าไม่ได้? ทำไม? เจ้ายังไม่พอใจใช่หรือไม่? ฮี” ยังคงหยิ่งยโสโอหังเช่นเดิม

โอวหยางหวั่นเอ๋อไม่สามารถหลบอยู่ในอ้อมแขนของตงฟาง อ้าวได้อีก เงยหน้าขึ้นมองทหารที่ยังรนหาที่ตาย ถอนลมหายใจ ไปเฮือกหนึ่ง จุดจบของคนที่ล่วงเกินตงฟางข้าว นางรู้ดีที่สุด ทหารคนนี้ กลัวว่าคงจะไม่มีผลดีอะไรเลย เพียงแต่ว่าความหวัง อย่างเดียวของนางในตอนนี้ ก็คือให้ทหารคนนี้อย่าพูดอะไรอีกเพื่อจะไม่เป็นการกระตุ้นให้ตงฟางข้าวโกรธมากไปกว่านี้ เพราะ ถ้าเป็นแบบนั้น แม้แต่นางก็ยังไม่รู้ว่าจะจบเรื่องนี้อย่างไร เพียง แต่น่าเสียดาย ทหารคนนี้ไหนเลยจะเป็นคนดีแบบนั้น

“ข้าว่าเจ้าอยู่มามากพอแล้ว ไปตายได้แล้ว” ตงฟางข้าวกล่าว คำนี้ออกมาอย่างใจเย็น ใช้ความเร็วที่ไม่ทันได้รู้สึกดึงดาบที่อยู่ ตรงเอวของทหาร มือซ้ายที่อุ้มโอวหยางหวั่นเอ๋อไว้ไม่ขยับแม้แต่ น้อย ก็มีเสียงดังซวบดังขึ้นมาหนึ่งครั้ง ปาดคอทหารคนนั้นลงมา

เร็ว! แม่นยำ! เหี้ยม!

คำสามคำนี้ ปรากฏอยู่บนตัวของตงฟางข้าวในตอนนี้ได้ อย่างเหมือนจริงมาก

โอวหยางหวั่นเอ๋อจ้องทหารที่ยังมีชีวิตอยู่ถึงเมื่ออย่างตก

ตะลึงจนตาค้าง บนศีรษะเต็มไปด้วยเลือด จ้องมองตัวเองอย่าง

นอนตายตาไม่หลับ ราวกับว่ายังไม่รู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น

ถึงแม้ในยามปกติโอวหยางหวั่นเอ๋อจะใจเย็นแค่ไหน แต่ก็ เป็นครั้งแรกที่เห็นฉากการฆ่าคนตาย อดกรีดร้องออกไม่ได้ มอง ตงฟางอ้าวด้วยความหวาดกลัว กลัวว่าตงฟางอ้าวจะก่อเรื่อง อะไรขึ้นมาอีก

เหล่าทหารที่เหลือเห็นผู้ชายแปลกหน้าฆ่าหัวหน้านายกองของ พวกตนกะทันหัน หลังจากตะลึงไปชั่วขณะก็พากันโกรธอย่างบ้า คลั่ง ตะโกนออกมาเสียงดัง

“จับมือสังหาร จับมือสังหาร มีมือสังหาร” เสียงตะโกนดึงดูด สายตาคนทุกผู้ ล้วนแต่พากันจ้องมองมาทางด้านนี้
ในที่สุดหยู่เหวินฮั่วที่เร่งรีบตามหลังตงฟางข้าวก็ตามตงฟาง อ้าวทันและก็ได้ยินเสียงตะโกนที่ดังมาจากข้างหน้า เปิดม่าน ออกด้วยความสงสัย อยากจะดูว่าเกิดอะไรขึ้น กลับเห็นฉากที่ อ๋องห้าถูกกลุ่มทหารล้อมเอาไว้ สั่งให้หยุดเกี้ยวเดี๋ยวนั้นทันที รีบ เดินเข้าไปทางตงฟางอ้าว

มองเหตุการณ์โดยรอบด้วยความไม่เข้าใจ

หมู่เหวินชั่วขมวดคิ้วแน่น มองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นดังกล่าว คิด ไม่ออกว่าตกลงแล้วมันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่

“ใต้เท้าหมู่เหวิน เราจับมือสังหารได้คนหนึ่ง” ทหารคนหนึ่งรีบ กล่าวกับหมู่เหวินฮั่วถึงเหตุการณ์ในตอนนี้เหมือนต้องการอยาก จะได้ความดีความชอบ

เดิมทีทหารคิดว่าจะได้รับคำชมแต่กลับคิดไม่ถึงว่า หมู่เหวิน

วกลับเบิกตาของตัวเองกว้าง มองตนด้วยความไม่อยากจะเชื่อ

กล่าวสอบถามเสียงดัง

“เจ้าพูดอะไรนะ?” น้ำเสียงมีความหวาดกลัวและสงสัยเล็ก น้อย หวังว่าสิ่งที่ตนได้ยินเมื่อไม่ใช่เรื่องจริง

“ใต้เท้าหยู่เหวิน เมื่อเราพบมือสังหารคนหนึ่ง ก็คือเขา ทหารนึกว่าหมู่เหวินฮั่วฟังคำพูดของตนไม่ชัดเจน ก็พูดอย่างภาค ภาคภูมิอีกรอบ ยังใช้นิ้วชี้ไปทางตงฟางข้าว เหมือนกลัวหมู่เห วินฮั่วจะเข้าใจไปผิดคน

“พวกเจ้าทำอะไร? พวกเลวทรามชั่วช้าอย่างพวกเจ้า ยังไม่รีบ ถอยออกไปอีก?” และหมู่เหวินชั่วฟังคำพูดที่แท้จริงของทหารอดรู้สึกสิ้นหวังในใจไม่ได้ ดีเลยที่นี้ ล่วงเกินอ๋องห้าแล้ว

“แต่ว่า มือสังหารคนนี้ฆ่าหัวหน้านายกองของเรา ข้าน้อย กลัว จะเกิดอันตรายต่อความปลอดภัยของใต้เท้าท่าน…….. ทหาร กล่าวอย่างลังเล เห็นได้ชัดว่ายังเข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

“ฆ่าแล้วจะทำไม เขาคือท่านอ๋องห้า ฆ่าทหารชั้นผู้น้อยที่ไม่ เชื่อฟังมันจะเป็นอะไรไป?” หมู่เหวินชั่ววิตกกังวล หลุดพูดคำ หยาบออกมาอย่างไม่ตั้งใจ

และคำพูดที่หมู่เหวินชั่วพูดออกมาเมื่อกี้ ทำให้ผู้คนทั้งหมด เงียบไป มองผู้ชายที่อุ้มโอวหยางหวั่นเอ๋อที่อยู่กลางวงล้อมอย่าง ตกใจ ตกใจจนอ้าปากค้าง

สวรรค์ เมื่อกี้พวกเขาทำอะไรลงไป? พูดจาล่วงเกินต่อท่าน อ๋องห้า? เกือบจะจับท่านอ๋องห้า ในฐานะมือสังหาร? สวรรค์ ไหน กล่าวกันว่าท่านอ๋องห้าเป็นคนโง่ที่ปัญญาอ่อนไม่ใช่หรือ? แต่ว่า เป็นเพราะอะไร ฮือๆ เสียงร้องไห้) ท่านอ๋องห้าที่พวกเขาเจอถึง เดือดรุนแรงขนาดนี้? ฮือๆ สวรรค์กำลังกลั่นแกล้งพวกเขาอยู่ใช่ หรือไม่?

หลังจากที่เหล่าทหารได้ยินคำพูดที่หมู่เหวินฮั่วกล่าวออกมา แล้ว ก็เสียใจต่อการกระทำเมื่อครู่ของพวกเขาอย่างมาก แต่ละ คนต่างมองตงฟางอ้าวอย่างน่าสงสาร หวังว่าคงฟางข้าวจะ สงสารพวกตน ไม่ติดใจเอาเรื่องพวกเขา

ตงฟางอ้าวกลับมองโอวหยางหวั่นเอ๋อที่ตกใจกลัวอยู่ในอ้อม แขน กล่าวออกมาอย่างอ่อนโยน
“พระชายา เจ้าคิดว่าอย่างไร?” เป็นสถานการณ์ความรัก ระหว่างชายหญิงโดยสิ้นเชิง ถึงแม้โอวหยางหวั่นเอ๋อจะรู้ดีว่าตง ฟางข้าวกำลังเล่นละคร แต่เพื่อน้ำเสียงเช่นนั้นของตงฟางอ้าวก็ ยังรู้สึกสับสน ในความคิดและความรู้สึกจากก้นบึ้งของหัวใจ ถูก กระตุ้นความสนใจ ราวกับสาวน้อยธรรมดาทั่วไปคนหนึ่ง กล่าว ขึ้นว่า

“ท่านอ๋อง ปล่อยพวกเขาไปเถอะ” นางไม่อยากเห็นใครตาย อีกแล้ว แต่ไม่รู้ว่า ตงฟางข้าวจะฟังที่นางพูดหรือไม่

“ได้ พระชายาว่าอย่างไร ก็ทำอย่างนั้น ท่าทางของตงฟาง อ้าวเต็มไปด้วยการตามใจอย่างมาก ตอบตกลงด้วยรอยยิ้ม

เขาต้องการประกาศให้ทุกคนรู้ พระชายาคนนี้ ถูกเขา ทะนุถนอมเห็นเป็นสิ่งสำคัญราวกับอัญมณีในฝ่ามือตน

โอวหยางหวั่นเอ๋อมองตงฟางข้าวที่ตามใจตนมากอย่างตก ตะลึง ผู้ชายคนนี้ ทำไมเกิดการเปลี่ยนแปลงเร็วขนาดนี้ ช่างแตก ต่างจากการปฏิบัติตัวในจวนอ๋องอย่างสิ้นเชิง

แต่หลังจากนั้น ด้วยความเฉลียวฉลาดของโอวหยางหวั่นเอ๋อ ก็เข้าใจได้ว่าตงฟางข้าวกำลังใช้ประโยชน์จากตนเพื่อทำอะไร บางอย่างแน่นอน ถอนหายใจไปเฮือกหนึ่ง ปกปิดอารมณ์ในใจ ทอดรู้สึกหวั่นไหวต่อความอ่อนโยนของตงฟางอ้าวเมื่อไม่ได้ มองเหล่าทหารที่รู้สึกซาบซึ้งจนน้ำตาไหลพราก) ต่อตนอย่างไม่ แสดงสีหน้าใดๆ

“ท่านอ๋องห้า ท่านไปพร้อมกับข้าเถอะ ท่านไม่ได้มาเมืองหลวงหลายปี คิดว่าคงจะรู้สึกไม่คุ้นเคยกับที่นี่แน่ เหอะๆ ให้ข้าไปกับ ท่านเถอะ” หมู่เหวินชั่วอาสานำทางด้วยตัวเอง แต่ในใจกลับ ต้องการสังเกตตงฟางอ้าวว่าโง่จริงหรือว่าแกล้งโง่

ตงฟางอ้าวไม่ได้เอ่ยอะไร เพียงแต่ก้มหน้ามองโอวหยางหวั่น เอ๋อที่อยู่ในอ้อมแขน ความหมายนั้นชัดเจนมาก คือต้องการให้ โอวหยางหวั่นเอ๋อตัดสินใจ

“ในเมื่อใต้เท้าหมู่เหวินเชื้อเชิญขนาดนี้ หากผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่าง)ข้าเพียงแต่เคารพคงเทียบไม่ได้กับการทำตามคำสั่ง” โอว หยางหวั่นเอ๋อยังอยู่ในอ้อมแขนของตงฟางอ้าว ไม่สามารถ คารวะได้ จึงได้แต่พยักหน้าช้าๆเป็นการของขอบคุณหมู่เหวินชั่ว

แม้อยู่เหวินชั่วจะเดินนำอยู่ข้างหน้า ในใจกลับเต็มไปด้วย ความสงสัย

ดูเหมือนท่านอ๋องห้าจะโปรดปรานหญิงขี้เหร่คนนี้ที่ใครๆต่าง ก็รู้กันดีมากเป็นพิเศษ ถึงแม้ว่าตนจะไม่สามารถปฏิเสธได้ว่า แวบแรกที่เห็นโอวหยางหวั่นเอ๋อไม่ชัดเจนเมื่อกี้ ทำให้ตน ประหลาดใจไปจริงๆ แต่ว่าแม้แต่หยกขาวก็ยังมีตำหนิ ถึงจะ งดงามแค่ไหน อย่างไรก็เสียโฉมไปแล้ว นึกถึงตรงนี้ หยู่เหวิน วก็อดที่จะถอนหายใจไม่ได้ คนเรา ไม่มีคนที่สมบูรณ์แบบจริงๆ


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ