ยอดหญิงอันดับหนึ่

บทที่ 1 หงส์ร่วงลงสู่พื้นดินดุจวิหค (1)



บทที่ 1 หงส์ร่วงลงสู่พื้นดินดุจวิหค (1)

ปีที่36สมัยเทียน ฮ่องเต้จึงหลงสิ้นพระชนม์ ขณะพระชนมายุ หกสิบพรรษา มีพระโอรสอยู่เก้าองค์ รัชทายาททรงขึ้นเป็น ฮ่องเต้ได้เนื่องจากได้รับการสนับสนุนจากหมู่เหวินยั่วผู้ที่เป็นไป เซี่ยง(อัครเสนาบดี) เปลี่ยนชื่อราชวงศ์เป็นชิงเส้น และทรงขึ้น ครองราชย์เป็นฮ่องเต้

ในปีที่ผ่านมาฮ่องเต้จึงหลงได้ทิ้งหนังสือหมั้นหมายไว้หนึ่ง ฉบับ และปีเดียวกันนั้นตระกูลโอวหยางก็ได้สร้างความดีความ ชอบที่ยิ่งใหญ่ต่อฮ่องเต้จึงหลง ฮ่องเต้พระราชทานสมรสให้แก่ คุณหนูใหญ่โอวหยางหวั่นเจ๋อตระกูลโอวหยางเป็นพิเศษให้แก่ผู้ สืบทอดบัลลังก์ในเวลาต่อมา

ตามเสียงลือเสียงเล่าอ้าง โอวหยางหวั่นเอ๋อผู้นี้อัปลักษณ์จน มิอาจหาอะไรมาเปรียบ บนใบหน้าปรากฏรอยแผลเป็นที่น่าสะ พรึงกลัวและทำให้ผู้คนรู้สึกสยดสยองเป็นอย่างยิ่ง ราวกับนาง คือปีศาจร้ายตนหนึ่ง

เนื่องจากแต่ไหนแต่ไรโอวหยางหวั่นเอ๋อไม่เคยก้าวออกจาก ห้องของนางแม้แต่ครึ่งก้าว ข่าวลือนั้นเป็นจริงหรือไม่จึงมิอาจมีผู้ ใดทราบได้
ปีที่1สมัยชิงเส้น รัชทายาทตงฟางนี้ได้สืบราชบัลลังก์ ฟังจาก ข่าวลือจากประชาชน ในพระทัยนั้นทรงรู้สึกมิชอบใจเป็นอย่าง มาก ในเวลานี้หมู่เหวินชั่วได้เสนอแผนการ พระราชประสงค์ของ ฮ่องเต้องค์ก่อนมิอาจฝ่าฝืน เช่นนั้นมสู้หาวิธีประนีประนอม ถึง อย่างไรก็ต้องเข้าพิธีอภิเษกสมรสกับคุณหนูตระกูลโอวหยาง นางเป็นผู้ใด ทั้งยังมีความสัมพันธ์ที่ไม่รู้ที่มาที่ไปอีก?

หลังจากประกาศพระราชโองการออกไป เห็นชัดว่าพระราช ประสงค์ฮ่องเต้องค์ก่อนนั้นได้กำช่องโหว่ไว้มิด ประกาศว่า ให้ โอวหยางหวั่นเอ๋อเข้าพิธีอภิเษกสมรสกับองค์ชายห้าของฮ่องเต้ องค์ก่อน พระราชทานยศเป็นพระชายาหวั่นโดยเฉพาะ เนื่องจากตระกูลโอวหยางเป็นขุนนางผู้จงรักภักดีและซื่อสัตย์มา จากรุ่นสู่รุ่น และพระราชทานยศโอวหยางเหยียนเสี้ยวเป็น กุ้ยเฟย (พระสนมเอก) ตามนี้

เดิมทีควรจะเป็นพระสนมของฮ่องเต้ ทว่าเนื่องจากเสียงร่ำลือ จึงได้เปลี่ยนจากพระสนมของฮ่องเต้เป็นพระชายา ในระหว่าง นั้นเบื้องลึกเบื้องหลังทำให้คาดคิดได้ไม่ยากว่าผลลัพธ์จะเป็น อย่างไร

ภายใต้อำนาจที่อยู่เบื้องหลังของหมู่เหวินชั่ว ทำให้เหล่าข้า ราชบริพารไม่กล้าที่จะเอ่ยวาจาอันใดในขณะนี้ อย่างไรเสีย เปลี่ยนตัวนายก็ต้อง เปลี่ยนบ่าวด้วยเป็นธรรมดา

แม้ว่าจะมีเสียงเล่าลือมาจากประชาชนเป็นระยะ ทว่าฮ่องเต้ยัง ทรงเมินเฉยต่อการอภิเษกสมรส ดังนั้นจึงได้โยนไปให้แก่น้อง ชายที่โง่เขลาเบาปัญญาของตนเอง แม้ว่าจะเป็นการฝ่าฝืนกฎ ศีลธรรม แต่จากมุมมองของบุรุษผู้หนึ่งก็สามารถเข้าใจได้และ แสดงให้เห็นถึงเหตุผลที่อันควร

จวนโอวหยาง ณ ห้องใต้หลังคาอันลับตาคน

สาวที่อายุราวสิบหกสิบเจ็ดปีและแต่งตัวบ่าวรับใช้ วิ่งอย่าง รีบร้อนเข้าประตูมา ยังคงหายใจไม่ทันเนื่องจากความเร็วในการ วิ่งทำให้ลมหายใจยังคงปั่นป่วน พลางกล่าวด้วยความตื่น ตระหนก

“คุณหนู คุณหนู แย่แล้ว คุณหนูเจ้าคะ

“หลิงหลง เหตุใดเจ้าต้องทำท่าทางตื่นตระหนกเช่นนี้ มิใช่ว่า ฮ่องเต้องค์ใหม่สืบราชบัลลังก์หรอกหรือ? ”

สตรีที่นั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งมีแผ่นหลังที่เหยียดตรง และ ผมสีหมึกที่ตรงยาวได้บดบังแก้มด้านซ้ายของนางเอาไว้ แม้ว่า มองเพียงแก้มด้านขวา ก็สามารถจินตนาการได้ว่าสตรีผู้นี้คงจะ เป็นสาวงามล่มเมืองเป็นแน่

“คุณหนู มิใช่เจ้าค่ะ คุณหนู คือฮ่องเต้ฮ่องเต้ทรงแก้ไขพระราชประสงค์เจ้าค่ะ”

หลิงหลงหอบหายใจพลางมองใบหน้าด้านขวาของนางที่ งดงามราวกับหยกขาว ก็อดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจออกมา หากว่าใบหน้าด้านซ้ายของคุณหนูไม่มีรอยแผลเป็นที่ถูกไฟลวก คงจะดียิ่งนัก เช่นนั้นวันนี้คงจะมิได้รับความอัปยศอดสูเช่นนี้

ฮ่องเต้ทรงแก้ไขพระราชประสงค์? ไม่ต้องการให้ข้าอภิเษก สมรส? นิ้วมือที่กำลังสางผมของโอวหยางหวั่นเอ๋อชะงักไปเล็ก น้อย มองไปยังหลิงหลงและกล่าวถามอย่างสงสัย

“มิใช่เจ้าค่ะ คือ ฮ่องเต้ ฮ่องเต้ทรงต้องการอภิเษกสมรสกับ คุณหนูสามโอวหยางเหยียนเสี้ยวเจ้าค่ะ”หลิงหลงกล่าวอย่าง ร้อนอกร้อนใจ พลางมองไปทางคุณหนูของตนที่ท่าทางสงบ เยือกเย็นอย่างเป็นกังวล

“จริงหรือ? เช่นนั้นก็ขอแสดงความยินดีกับน้องสามแล้ว หลัง หลง ช่วยข้าเตรียมของขวัญมอบให้แก่น้องสามที”สตรีที่นั่งอยู่ หน้ากระจก โต๊ะเครื่องแป้งมิได้แสดงอารมณ์ใดๆออกมา และยัง คงสงบเย็นชาเช่นเดิม คล้ายกับกำลังแลกเปลี่ยนความคิดเห็น เกี่ยวกับสภาพดินฟ้าอากาศของวันนี้

“ฮ่า ฮ่า พี่สาวช่างสูงส่งยิ่งนัก ถูกฮ่องเต้ทอดทิ้งเช่นนี้ยังระงับอารมณ์เอาไว้ได้อีก น้องรู้สึกเลื่อมใสท่านพี่เป็น อย่างมาก ฮ่า ฮ่า”เสียงที่นุ่มนวลและงดงามแต่กลับมีเจตนาที่ไม่ ดีแอบแฝงดังออกมาจากทางด้านนอกประตู เป็นน้องสาวของโอวหยางหวั่นเอ๋อในชาตินี้ โอวหยางเหยียน

เสี้ยว

โอวหยางเหยียนเสี้ยวพาสาวใช้ข้างกายของตนก้าวออกมา จากประตูด้านนอกอย่างช้าๆ มองไปที่หญิงสาวชุดขาวที่สง่า งามนั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งอย่างแสดงพลังอำนาจ ดวงตาก็ เต็มไปด้วยความริษยาอย่างไม่มีสิ้นสุด

ตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าจะเป็นคู่ฉิน หมากรุก เขียนพู่กัน วาดภาพ หรือว่าจะเป็นการร้อง ร่ายรำ เย็บปักถักร้อย ตนเองก็มิอาจ เทียบได้กับพี่สาวที่ได้รับการขนานนามว่าอัจฉริยะแห่งจวนโอว หยาง หากมิใช่เมื่ออายุสิบขวบเกิดไฟไหม้ ตนเองคงได้แต่ใช้ ชีวิตอยู่ภายใต้เงาของสาวปาฏิหาริย์อันดับที่หนึ่งในเมืองหลวง ไปตลอดชีวิต

เพียงแต่หลังจากเหตุไฟไหม้ครานั้น เปลวไฟได้ทำลาย ใบหน้าของโอวหยางหวั่นเอ๋ออย่างโหดร้ายทารุณ ทำให้นาง อาจออกไปจากห้องใต้หลังคาได้แม้แต่ครึ่งก้าว เมื่อเป็นเช่นนี้ เมืองหลวงกลับยังแพร่สะพัดชื่อเสียงอันดีงามของโอวหยางหวั่นเอื้อมาโดยตลอด ว่าโอวหยางหวั่นเอ๋อถึงแม้ใบหน้าทั้งหมดจะ ถูกทำลาย แต่ความรู้ความสามารถกลับเป็นหนึ่งในใต้หล้า แม้ว่าตนเองจะรู้สึกเคียดแค้น ทว่ากลับมิอาจเทียบได้กับพี่สาว ตนเองอย่างสิ้นเชิง

บัดนี้ ฮ่องเต้มีพระราชประสงค์เช่นนี้ จึงทำให้จิตใจของตน รู้สึกสบายขึ้นเป็นอย่างมาก

หากว่าเจ้ามีความสามารถและชื่อเสียงเป็นอย่างมากแล้ว อย่างไร หากว่าเจ้ามีพรสวรรค์ที่ทำให้คนแปลกใจก็แล้วอย่างไร มิใช่ว่าอย่างไรก็ถูกว่าที่เจ้าบ่าวของตนเองทอดทิ้งไม่ต่างกัน หรอกหรือ? เป็นรางวัลให้แก่คนโง่? โอวหยางเหยียนเสี้ยวพอ คิดเช่นนี้ ก็มองไปที่โอวหยางหวั่นเอ๋อที่มีสีหน้าราบเรียบเยือก เย็นอย่างแสดงพลังอำนาจ ส่งเสียงไม่พอใจ ทันใดนั้นก็ยื่นมือ ออกมา สาวใช้ที่อยู่ด้านหลังจึงได้ส่งพระราชโองการหนึ่งฉบับ ให้แก่นางทันที

โอวหยางเหยียนเสี้ยวเหลือบมองไปที่โอวหยางหวั่นเอ๋ออย่าง เย่อหยิ่ง ในแววตามีประกายความพึงพอใจไม่น้อย

“โอวหยางหวั่นเอ๋อ รับพระราชโองการ โอวหยางหวั่นเอ๋อคุกเข่าลงไปอย่างสงบนิ่ง น้ำเสียงที่กล่าวออกมานั้นช่างเยือกเย็น

“โอวหยางหวั่นเอ๋อ รับพระราชโองการ

“ด้วยโองการแห่งฟ้า ฮ่องเต้จึงทรงมีพระบัญชา จวนโอวหยาง เป็นขุนนางผู้จงรักภักดีและซื่อสัตย์มาจากรุ่นสู่รุ่น ทั้งยังเป็น แบบอย่างที่ดีของเหล่าข้าราชบริพาร ทรงพระราชทานยศ โอว หยาง… “กล่าวถึงตรงนี้ โอวหยางเหยียนเสี้ยวดวงตาก็ได้ฉาย แววครุ่นคิดเล็กน้อย มองไปยังโอวหยางหวั่นเอ๋อที่สีหน้าไม่มี การเปลี่ยนแปลง จึงส่งเสียงไม่พอใจ และกล่าวต่อไป

“ทรงพระราชทานยศ กุ้ยเฟย (พระสนมเอก) ให้แก่โอวหยาง เหยียนเสี้ยว และ พระราชทาน โอวหยางหวั่นเอ๋อให้แก่ฮ่องอัน เล่อเป็นพระชายาหวั่น ตามนี้

กล่าวจบ ถือโอกาสมองไปทางโอวหยางหวั่นเอ๋อที่นั่งคุกเข่า บนพื้นอย่างลำพองใจ อดรนทนไม่ไหวที่จะคุยโวโอ้อวดถึงฐานะ ที่สูงส่งกว่าผู้อื่นไปหนึ่งขั้นของตน

“ยินดีกับน้องสาวด้วย พี่สาวไม่มีอะไรจะให้น้องสาว มีเพียง กําไรหยกมรกตนี้ หวังว่าน้องสาวจะรับไว้

โอวหยางหวั่นเอ๋อลุกขึ้นยืนอย่างสงบนิ่ง การแสดงออก ปราศจากร่องรอยอารมณ์ใดๆ ยกมือขึ้นถอดกำไลข้อมือหยกมรกตทั้งสองวงออกจากมือ ส่งให้แก่โอวหยาง เหยียนเสี้ยว มองไป ไม่มีความอิจฉาริษยาแม้แต่น้อย มีเพียง ความอบอุ่นระหว่างพี่น้องเพียงเท่านั้น

“ฮ่า ฮ่า ขอบใจพี่สาวเป็นอย่างมากเจ้าค่ะ ทว่าของขวัญที่ สำคัญเช่นนี้เป็นของที่ท่านแม่ของพี่สาวมอบให้แก่พี่สาวมิใช่ หรือ ข้าจะรับไว้ได้อย่างไร พี่สาวนำกลับไปเถิด ” โอวหยางเหยี ยนเสี้ยวยิ้มบางๆ ขณะที่กล่าวก็ได้ผลักของคืนให้แก่โอวหยาง หวั่นเอ๋อ

หากมองจากสีหน้า ก็คล้ายว่าสองพี่น้องต่างก็มีความถ่อมตน และความเอื้อเฟื้อ หาได้รู้ไม่ นั่นก็เป็นเพียงแค่การแสดง

โอวหยางเหยียนเสี้ยวดวงตามีประกายโหดร้ายคล้ายกับ อาวุธที่แหลมคมแวบผ่านเล็กน้อย ขณะที่ผลักของคืนให้แก่โอว หยางหวั่นเอ๋อ กลับใช้มือตีไปที่มือของโอวหยางหวั่นเอ๋ออย่าง แรง โอวหยางหวันเอ๋อเก็บมืออีกข้างไม่ทัน พลั้งมือทำกำไรหยก เนื้อที่ทั้งคู่ร่วงลงพื้น ได้ถ่ายทอดเสียงอันไพเราะของกระเบื้อง เคลือบแตกเป็นเสี่ยงๆ

“เจ้า เป็นเจ้าที่ตั้งใจ…หลิงหลงมองไปยังชิ้นส่วนที่อยู่บนพื้น แตกเป็นเศษเล็กเศษน้อย แววตาโกรธแค้นมองไปยังใบหน้าที่ ยิ้มแย้มของโอวหยางเหยียนเสียว โดยไม่คำนึงถึงความแตกต่างระหว่างนายและบ่าว รับใช้พลางชี้ไปทาง โอวหยางเหยียนเสี้ยวและกล่าวขึ้น

“บังอาจ บ่าวรับใช้อย่างไรก็เป็นบ่าวรับใช้ เหตุผลใดที่จัก ต้องปีนขึ้นมาบนหัวนาย? หรือว่าเจ้าท่าเช่นนี้กับนายเป็นปกติ อย่างนั้นหรือ? ปีนขึ้นไปบนหัวนายเพื่อวางอำนาจบาตรใหญ่ อย่างนั้นหรือ? “โอวหยางเหยียนเสี้ยวมองไปที่หลิงหลงอย่าง น่าเกรงขาม แม้ปากจะบอกว่าสั่งสอนบ่าวรับใช้ แต่ผู้คนต่างก็ มองออกว่าโอวหยางเหยียนเสี้ยวกำลังที่ต้นหม่อนแต่ด่าต้น ฮวาย (อุปมาถึงการด่าอีกคน แต่ที่จริงกำลังว่าอีกคน)

“น้องสาว ปล่อยผ่านไปเถิด คนของข้า ข้าจักอบรมสั่งสอน เอง ไม่จําเป็นต้องให้น้องสาวเก็บมาใส่ใจ ” ในแววตาที่ไม่ แสดงออกใดๆของโอวหยางหวั่นเอ๋อ ในที่สุดก็มีความรู้สึกโมโห อยู่บ้างแล้ว พลันมองไปยังโอวหยางเหยียนเสี้ยวที่มีท่าทีอวดดี และเอ่ยขึ้น

ตั้งแต่ใบหน้าของตนเองถูกทำลายลง โอวหยางเหยียนเสี้ยว ก็ได้เป็นที่โปรดปรานของผู้คนในวงศ์ตระกูล

ไม่มีผู้ใดที่ต้องการให้หญิงสาวผู้ที่สูญเสียใบหน้ากลายมา เป็นความภาคภูมิใจของตระกูลตนเองแม้ว่าในอดีตจะเคยมีชื่อเสียงมากแค่ไหนก็ตาม ดังนั้น ไม่ว่าโอ วหยางหวั่นเอ๋อจะเคยได้รับการยกย่องจากฮ่องเต้องค์ก่อนว่า เป็นสตรีหนึ่งในใต้หล้า ทว่าหลังจากใบหน้าถูกทําลายลง ก็ได้ สูญเสียการถูกสรรเสริญเยินยอไปเช่นกัน

ไม่ว่าตระกูลโอวหยางจะโปรดปรานโอวหยางหวั่นเอ๋อที่มี พรสวรรค์ผู้นี้อย่างไร แต่ว่าสำหรับหญิงสาวใบหน้าถือเป็นสิ่งที่ สำคัญที่สุด เช่นนั้นจึงทำได้แต่ทอดถอนใจ

“ฮ่าฮ่า พี่สาว จะปล่อยผ่านได้อย่างไรเล่า ถึงแม้จะกล่าวว่าพี่ สาวพลั้งมือทำกำไรข้อมือที่งดงามเช่นนี้หล่นแตก แต่ข้าเห็นว่า สาวใช้ผู้นี้ปากคอเราะร้าย เวลาปกติจะต้องเป็นมีนิสัยหยาบ กายอย่างแน่นอน พี่สาวมินิสัยที่อ่อนโยนเช่นนี้ ข้าเกรงว่าสาว ใช้ที่ไม่ได้รับการสั่งสอนผู้นี้ ซักวันอาจจะรังแกผู้เป็นนายก็เป็นได้ พี่สาวอย่าได้ปฏิเสธ ให้น้องสาวช่วยเหลือพี่สาวเถิด”

โอวหยางเหยียนเสี้ยวยิ้มบางๆ เพียงคำพูดไม่กี่ประโยคกลับ ทำให้เรื่องที่ตนทำกำไรหยกหล่นแตกนั้นราวกับไม่มีความ เกี่ยวข้องกันแม้แต่น้อย ทั้งยังกล่าวโทษโอวหยางหวั่นเอ๋อที่มือ ไม่มั่นคงเองด้วยรอยยิ้มที่บางเบา ทว่าขณะที่ลงมือกลับทำอย่าง โจ่งแจ้ง จึงได้หันไปตบหน้าของหลิงหลงด้วยความแค้นเคือง

“เพียะ”เสียงฝ่ามือดังกังวานออกมาจากห้องใต้หลังคาของ หญิงสาว หลิงหลงกุมใบหน้าด้านซ้ายของตนอย่างเจ็บปวด และจ้อมมองไปยังโอวหยางเหยียนเสี้ยวอย่างไม่ยินยอม

โบราณกล่าวไว้ว่า สุนัขจักต้องดูเจ้าของ วันนี้ โอวหยาวเห ยียนเสี้ยวไม่เพียงแต่รังแกโอวหยางหวันเอ๋อตามอำเภอใจ การกระทำทั้งหมดมิใช่อย่างที่น้องสาวควรจะเป็น นอกจากนั้น ยังตบหลิงหลงต่อหน้าโอวหยางหวั่นเอ๋อ นี่ต่างจากการตบ หน้าของโอวหยางหวั่นเอ๋อหรอกหรือ ซึ่งเดิมทีนางก็มิได้เห็นพี่ สาวเซนตนอยู่ในสายตาอยู่แล้ว

“เห็นได้ชัดว่าเป็นคุณหนูสามเป็นผู้ที่ทำผิด เหตุใดต้องตีบ่าว เจ้าคะ”หลิงหลงกุมใบหน้าด้านซ้ายของตนที่เริ่มรู้สึกแสบร้อน มองไปที่โอวหยาวเหยียนเสี้ยวพลางกล่าวอย่างไม่ยินยอม ดวงตากลมโตคู่หนึ่งมองไปทางโอวหยางหวั่นเอ๋อ ด้วยแววตาที่ เต็มไปด้วยความรู้สึกไม่ได้รับความยุติธรรม

“เหอะ บ่าวรับใช้ช่างบังอาจยิ่งนัก คาดไม่ถึงว่าเจ้าจะกล้าพูด จามั่วซั่ว? “โอวหยางเหยียนเสี้ยวฟังอย่างโกรธเคือง และมอง ไปยังหลิงหลงราวกับต้องการจะยกมือตนขึ้นมาว่าจะตบลงไป

“น้องสาว ข้าบอกเจ้าไปแล้ว สาวใช้ของข้า ข้าจักอบรมสั่ง สอนด้วยตนเอง ไม่ต้องการให้เจ้าเข้ามายุ่งวุ่ยวายดอก” โอว หยางหวั่นเอ่อมองไปที่โอวหยางเหยียนเสี้ยวที่ทำราวกับจะตบ หลิงหลงอีกรอบ ขมวดคิ้วและยืนขัดขวางอยู่หน้าหลิงหลง พลางมองไปยังน้องสาวที่บิดาเดียวกันแต่ต่างมารดาของตนแวว ตาเต็มไปด้วยความต้องการที่จะขัดขวาง

“หึ เป็นบ่าวรับใช้ที่ต่ำช้านัก วันนี้ถือว่าเจ้าโชคดี หากเจ้ายัง กล้าเหิมเกริมอีก แม้ว่าจะพบท่านพ่อของข้าก็จักไม่ไว้ชีวิตเจ้า อย่างแน่นอน”

โอวหยางเหยียนเสี้ยวกล่าวอย่างไม่พอใจ พลางมองไปที่ หลิงหลง

ไม่ทราบว่าเหตุใด แม้เห็นชัดได้ว่าตนเองเป็นฝ่ายได้เปรียบ ทว่ากลับรู้สึกว่าอยู่ภายใต้สายตาที่ถูกเพ่งมองจากโอวหยาง หวั่นเอ๋อ ตำแหน่งของทั้งสองคล้ายว่าสับเปลี่ยนอย่างไรอย่าง นั้น ราวกับว่าตนเองต่างหากที่เป็นผู้ที่ถูกรังแก

โอวหยางเหยียนเสี้ยวสะบัดศีรษะไปมาเพื่อสลัดทิ้งความรู้สึก เช่นนี้ของตนออกไปอย่างระอา รวมถึงเป็นการปลอบใจตนเอง ว่านี่คือความรู้สึกที่ไม่ถูกต้อง
ในไม่ช้าตนเองจะได้เป็นถึงพระสนมของฮ่องเต้แล้ว หลังจาก นั้นก็จักสูงส่งไปกว่าผู้อื่นอีกหนึ่งชั้น อย่าได้ไปอิจฉาริษยาความสามารถของโอวหยางหวั่นเอ๋ออีก

เลย

มีความสามารถแล้วอย่างไร? มิใช่ว่ายังต้องไปแต่งงานกับ คนโง่ผู้หนึ่งหรอกหรือ

โลกใบนี้ เพียงมีรูปโฉมที่งดงาม จึงจะถือได้ว่าสำคัญที่สุด

โอวหยางเหยียนเสี้ยวส่งเสียง หูเบาๆ คิดได้เช่นนี้แล้ว ก็ให้ รู้สึกผ่อนคลายลงไปอย่างมาก พลันมองไปที่ โอวหยางหวั่นเอ๋อ และกล่าวว่า

“พี่สาว วันนี้ข้าเหนื่อยแล้ว ก็ไม่อยากที่จะคุยเรื่อยเปื่อยกับพี่

สาวแล้ว”

กล่าวจบ ก็ไม่แม้แต่ปฏิบัติมรรยาทขั้นพื้นฐานแก่หวั่นเอ๋อ ถือ โอกาสเดินออกไปท่ามกลางกลุ่มคนที่ติดตามมา


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ