ยอดหญิงอันดับหนึ่

บทที่ 7 รู้จักตนเองอย่างแจ่มแจ้ง



บทที่ 7 รู้จักตนเองอย่างแจ่มแจ้ง

ตงฟางอ้าวมองไปยังโอวหยางหวั่นเอ๋อด้วยแววตาที่สุขุมเยือก เย็น ภายในใจรู้สึกไม่สบายใจอย่างแปลกประหลาด เงยหน้า มองไปยังโอวหยางหวั่นเอ๋อและกล่าวอย่างดื้อรั้น

“ปรนนิบัติข้าพักผ่อนเกิด”

“เพคะ ท่านอ๋อง”ชั่วพริบตาเดียวแววตาที่มีประกายความผิด หวังของโอวหยางหวั่นเอ๋อก็แวบผ่านไป สุดท้ายแล้ว ตนเองก็ไม่ สามารถหลุดพ้นจากเรื่องนี้ไปได้หรือ?

ในเมื่อตนเองเป็นหญิงอัปลักษณ์ที่น่ารังเกียจในสายตาผู้คน เพียงเท่านี้ ตนเองก็ไม่เคารพในตนเองได้หรือ?

ผลลัพธ์เช่นนี้ ลูกของตนต้องไม่ยินยอมอย่างแน่นอน ทว่าไม่

ยินยอมแล้วอย่างไร? ตนเองจะทำอย่างไรได้?

ร่อยรอยความผิดหวังปรากฏขึ้นในแววตาของโอวหยางหวั่น เอ๋อ เพียงครู่เดียว ก็ถูกโอวหยางหวั่นเอ๋อเก็บซ่อนเอาไว้เป็น อย่างดี ราวกับทรายระยิบระยับที่จมลงทะเล และจมลงสู่ท้อง ทะเลที่ลึกอย่างไม่มีที่สิ้นสุด แม้แต่ฟองคลื่นต่างก็ไม่อาจพัดมา ได้

“สาวน้อย ดีที่เจ้าเข้าใจตนเองอย่างแจ่มแจ้ง ว่าข้าอยู่ใน ระดับที่มิอาจกินไม่เลือกเช่นนี้ได้”

ตงฟางอ้าวราวกับมองเห็นความกังวลที่ซ่อนอยู่ในใจของโอวหยางหวั่นเอ๋อ จึงได้กล่าววาจากระทบกระทั่ง

“เพียงแค่ไม่อยากให้ผู้อื่นพูดว่าข้าใจจืดใจดำไร้เหตุไร้ผล คืนแต่งงานก็มีท่าทีโกรธและจากไป

“ท่านอ๋องจำเป็นต้องอธิบายแก่หวั่นเอ๋อเพคะ หวั่นเอ๋อนั้น อ่อนแอ รู้ตัวดีว่าไม่คู่ควรกับท่านอ๋องที่อยู่ท่ามกลางหมู่มังกร

หวั่นเอ๋อจดจําฐานะของตนไว้ตลอดเวลาเพคะ”

น้ำเสียงที่ดูอ่อนน้อมถ่อมตนยังคงราบเรียบอยู่เช่นเดิม ไม่ได้ ใส่อารมณ์แม้แต่น้อย ราวกับการเยาะเย้ยถากถางของตงฟาง อ้าวเมื่อครู่กล่าวถึงผู้อื่นก็มิปาน กลับกล่าวลดคุณค่าคำพูด ตนเองให้ต่ำลง คล้ายกับรู้สึกในซาเสียแล้ว เดิมทีตนเองก็ไม่ ได้รู้สึกลำบากเวลาที่ถูกเย้ยหยันอยู่แล้ว

ถูกโอวหยางหวั่นเอ๋อตอบโต้กลับมาอย่างไม่ได้ใส่ใจ ก็มอง ไปยังท่าทีที่สงบนิ่งของโอวหยางหวั่นเอ๋อ ตงฟางข้าวส่งเสียง เหอะอย่างเย็นชา แต่กลับไม่พูด ปล่อยให้โอวหยางหวั่นเอ๋อผลัด เปลี่ยนเสื้อผ้าต่อไป

เมื่อรู้ถึงสิ่งที่ตงฟางอ้าวครุ่นคิดแล้ว โอวหยางหวั่นเอ๋อ เบาใจลงไปมากเกี่ยวกับคืนงานแต่งงานที่น่าเป็นกังวลและน่า หวาดกลัว

ในเมื่อตงฟางอ้าวกล่าวว่าจะไม่แตะต้องตนเอง ไฉนตนเองจัก ต้องเป็นกังวลเล่า?

ก็ใช่ หญิงสาวที่ถูกทำลายใบหน้าไปแล้ว ยังจะมีอะไรให้ อวดดีได้อีก?
โอวหยางหวั่นเอ๋อเม้มริมฝีปากอย่างเยาะเย้ยตนเอง พลาง ถอดเสื้อนอก ให้แก่ตงฟางอ้าว และเสื้อด้านในออกอย่างเป็น ธรรมชาติทีละตัวๆ

“ท่านอ๋อง ควรพักผ่อนได้แล้วเพคะ”กล่าวด้วยเสียงทื่อๆ แก้ม ทั้งสองข้างยังคงแดงระเรื่ออยู่ ทว่ากลับไม่หลงเหลือความกระ สับกระส่ายอีกแล้ว

โอวหยางหวั่นเอ๋อก้มศีรษะ อยู่ข้างๆ ตงฟางอ้าว ดวงตาคู่นั้น กลับจ้องมองไปบนพื้นอยู่ตลอด ไม่กล้าที่จะเหลือบมองไปที่ตั้ง ฟางอ้าวชายหนุ่มผู้นั้น

“อืม เก็บของตนเองให้เรียบร้อย นอนที่พื้น ข้าไม่คุ้นเคยที่จะ ร่วมเตียงกับหญิงอัปลักษณ์

ตงฟางอ้าวกล่าวอย่างเย็นชา โยนผ้าห่มลงมาจากบนเตียง

กล่าวอย่างเหยียดหยาม

“เพคะ”

โอวหยางหวั่นเอ๋อมิได้เอ่ยปากคัดค้าน คัดค้านแล้วอย่างไร? ตนเองคงจะถูกตงฟางอ้าวโยนลงมาจากบนเตียง? จากนั้นก็ถูก ตงฟางอ้าวจัดการอย่างไร้ความรู้สึก

คืนวันแต่งงาน เจ้าบ่าวอยู่บนเตียง เจ้าสาวกลับพักผ่อนอยู่บน พื้นที่เย็นเยียบ ช่างเป็นเรื่องที่แปลกใหม่เสียจริง

แต่ทว่า วันนี้กลับทำให้โอวหยางหวั่นเอ๋อได้ค้นพบบางอย่าง และตระหนักได้ด้วยตนเอง
ดึงปิ่นปักผมที่ประณีตงดงามที่อยู่บนศีรษะที่ยุ่งเหยิงของตน ออกอย่างสงบนิ่ง หากล่องมาหนึ่งใบและใส่เก็บลงไป

สิ่งของเหล่านี้ มีชิ้นใดบ้างที่มิได้เลี่ยมทองประดับหยก ช่างมี คุณค่ายิ่งนัก? โอวหยางหวั่นเอ๋ออดที่จะหัวเราะในใจมิได้

จวน โอวหยาง ให้ความสำคัญกับหน้าตา หากว่าเป็นนาง ครอบครัวนี้จะต้องละทิ้งหญิงสาวเป็นแน่ ทว่าเมื่อออกเรือน กลับ ออกเงินเพียงพอให้ตนเองได้มีหน้ามีตาในงานแต่ง

แต่น่าเสียดาย โอวหยางหวั่นเอ๋อเพียงกวาดตามองอย่างราบ เรียบ และปิดฝากล่องลง

เครื่องประดับที่มีค่าเหล่านี้ ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับตนเอง

ผมสีหมึกได้เอียงลง หญิงสาวที่งดงามและบริสุทธิ์ก็ได้ปรากฏ อยู่ในกระจก ราวกับดอกลิลลี่ในน้ำลึกดอกหนึ่งที่ยังไม่ผลิดอก

อ่อนหวานอย่างงดงามด้วยการผลิบานของตนเอง

แต่ช่างน่าเสียดาย ใบหน้าที่ด้านซ้ายได้ปรากฏรอยแผลเป็นที่ น่ากลัว นี่ได้ทำลายจินตนาการทั้งหมดไปทำให้ผู้คนนึกถึงหญิง สาวในตำนานอย่างเย่ชา (ปิศาจที่น่าเกลียด)

“ใบหน้าที่อัปลักษณ์มีอะไรให้มองนักหนา? ”

ตงฟางอ้าวมองไปยังโอวหยางหวั่นเอ๋อที่นั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่อง แป้งอย่างมึนงง พลันใช้ฝ่ามือดับไฟเทียนไขอย่างหงุดหงิด

ทั้งห้องจมดิ่งอยู่ท่ามกลางความมืดมิด
โอวหยางหวั่นเอ๋อนั่งอยู่ที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ความมืดอย่าง ฉับพลันทำให้ตนเองยังปรับตัวมิได้ จึงกระพริบตาเล็กน้อย เพื่อ ให้สายตาของตนปรับแสงให้เข้ากับความมืด

ร่างคนที่นอนอยู่บนเตียงราวกับหลับสนิท

จากบนพื้นแสงจันทร์ที่สมองสว่างทำให้มองเห็นบนเตียงได้ อย่างชัดเจน

ไม่ได้ยินเสียงที่ทอดถอนใจอย่างแผ่วเบา โอวหยางหวั่นเอ๋อ จัดการความรู้สึกของตนเองอย่างดีแล้ว ก็เลิกผ้าห่มของตนและ สอดตัวเข้าไป

ชัดเจนว่าเป็นวันที่ใช้สมองเป็นอย่างมากแล้ว เดิมควรที่จะ เหนื่อยจนหลับไปในทันที กลับทำอย่างไรก็นอนไม่หลับ

คำพูดของตงฟางอ้าวยังคงสะเทือนจิตใจของตนอยู่ตลอด

เวลา

“สาวน้อย ดีที่เจ้าเข้าใจตนเองอย่างแจ่มแจ้ง ว่าข้าอยู่ใน ระดับที่มิอาจกินไม่เลือกเช่นนี้ได้”

กินไม่เลือกหรือ? ตนเองกลายเป็นอาหารที่ให้ชายหนุ่มเลือก กินอย่างนั้นหรือ?

โอวหยางหวั่นเอ๋อยิ้มเจื่อนๆท่ามกลางความมืด มือขวาไว้ แน่นภายใต้ผ้าห่ม

ระหว่างนั้น ตนเองก็นึกถึงท่านแม่ขึ้นมา คิดถึงเหลือเกินท่านแม่กล่าวไว้ว่า ขอเพียงแค่ตนเองเป็นคนดี ว่านอนสอน ง่าย จักต้องมีคนค้นพบข้อดีของตนอย่างแน่นอน และจักต้อง รู้จักทะนุถนอมตนเองเป็นอย่างดี ก็เหมือนกับท่านพ่อและท่าน แม่ ที่ปฏิบัติต่อกันเสมือนไข่มุกและของล้ำค่า

เพียงแต่ ท่านแม่กลับไม่ได้บอกตนเอง หากหญิงสาวผู้หนึ่ง รูปลักษณ์ที่สำคัญได้ถูกทำลายลงไป จะมีความสุขได้อย่างไร?

นึกถึงตรงนี้ โอวหยางหวั่นเอ๋อก็อดที่จะเสียใจขึ้นมาไม่ได้

วันเวลาเหล่านั้นนางยังคงถูกผู้คนดูถูกว่าเป็นคุณหนูใต้ หลังคา แต่ผ่านมาเพียงไม่กี่วัน ตนเองแต่งงานแล้ว ในคืนวัน แต่งงานกลับถูกสามีของตนเองรังเกียจอย่างไร้ความปราณี

แม้ว่าการแสดงออกของโอวหยางหวั่นเอ๋อจะยังคงสงบนิ่งอยู่ เช่นนั้น และไม่มีการแสดงออกทางสีหน้าใดๆ

แต่ทว่ากลับลอบกำหมัดแน่อยู่ภายใต้ชุดแต่งงาน เล็บได้แทง เข้าไปที่เนื้ออย่างรุนแรง แทงอย่างเจ็บปวดไปจนถึงหัวใจ ขอ เพียงสามารถควบคุมอารมณ์ของตนเองได้ ขอเพียงไม่ทำให้ ตนเองแสดงความอ่อนแอและเสียหน้าต่อหน้าผู้อื่น

ความเจ็บปวดของตน ตนเองก็จะซ่อนเอาไว้และลิ้มรสความ ทุกข์แต่เพียงผู้เดียว

นางคือโอวหยางหวั่นเอ๋อ ไม่จําเป็นต้องสงสารและเห็นอก เห็นใจ

ตนเองถือได้ว่าอยู่ในจวนท่านอ๋องนี้ ไม่ว่าจะได้รับการเหยียดหยามมากเพียงใด ตนเองก็จักต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป แต่ไหนแต่ไร ตนเองก็ไม่อาจให้ผู้อื่นดูถูกเหยียดหยามได้

โอวหยางหวั่นเอ๋อกัดริมฝีปาก และกลืนน้ำตาที่กำลังจะไหลลง มาอย่างหักห้ามใจ

นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้น ตนเองจะร้องไห้ได้อย่างไร? ตนเองจะ

ยอมแพ้ได้อย่างไร?

โอวหยางหวั่นเอ๋อ หนทางยังอีกยาวไกล ทางนี้ไม่ง่ายเลย ดังนั้น ขอเจ้าโปรดรักษาความมีเหตุผลและความสงบเยือกเย็น ไว้ให้อยู่ต่อไป ใช้ชีวิตของตนเองให้ดีต่อไป

โอวหยางหวั่นเอ๋อบอกตนเอง ว่ามิอาจอ่อนแอได้อีก

“โอวหยางหวั่นเอ๋อ ข้าจะบอกเจ้าให้ ดีแล้วที่เจ้าเข้าใจตนเอง อย่างแจ่มแจ้ง ในจวนอ๋องแห่งนี้ ไม่มีผู้ใดที่เห็นเจ้าเป็นพระชายา อย่างแท้จริง หากต้องการเป็นพระชายาของข้า เช่นนั้น จักต้อง ทำตามกฎของข้าแต่เพียงเท่านั้น มิฉะนั้น ข้าจะไม่สนใจและโยน เจ้าออกไป”

ตงฟางอ้าวเอ่ยปากขึ้นท่ามกลางความมืด ทำลายบรรยากาศ ในคืนฤดูหนาวและความเงียบสงบ คำที่พูดออกมากลับยิ่ง ทำให้คืนนี้เป็นคืนที่หนาวเหน็บยิ่งขึ้นไปอีก

“หวั่นเอ๋อทราบแล้ว หวั่นเอ๋อพยายามเป็นพระชายาที่อยู่ในใจ ของท่านอ๋องอย่างสุดความสามารถเพคะ” โอวหยางหวั่นเอ๋อ ควบคุมตนเองไม่ให้ร้องไห้ออกมา
กล่าวตอบอย่างใจเย็น

แต่ทว่าตงฟางอ้าวกลับฟังออกถึงสิ่งผิดปกติในคำตอบของโอ วหยางหวั่นเอ๋อ จึงขมวดคิ้วอย่างประหลาดใจ

“เจ้าร้องไห้หรือ? “ไม่ใช่เพคะ หวั่นเอ๋อมิได้ร้อง เพียงแค่รู้สึกไม่สบายในลำคอ

เล็กน้อย”

“อืม เช่นนั้นก็รีบนอนเถิด พรุ่งนี้จำไว้เจ้าต้องปักภาพวิหค คำนับหงส์ ปักไม่เสร็จไม่อนุญาตให้กินข้าว

น้ำเสียงที่เย็นชา สำหรับโอวหยางหวั่นเอ๋อแล้วคล้ายกับ เครื่องหมายของพญามัจจุราชที่กำลังรบเร้าจะเอาชีวิตอย่างไร อย่างนั้น

ภาพวิหคค่านับหงส์? ใช้ด้ายสีที่แตกต่างกันไปมากกว่าสอง ร้อยกว่าเส้น ปักไม่เสร็จ ไม่อนุญาตให้กินข้าว ตงฟางอ้าวจิตใจ โหดเหี้ยมนัก โอวหยางหวั่นเอ่อลอบหัวเราะเยาะในใจ แต่ก็ตก

ปากรับคำอย่างอ่อนโยน

“หวั่นเอ๋อรับทราบเพคะ”

ฟังโอวหยางหวั่นเอ๋อที่ตอบกลับอย่างนิ่งเงียบเช่นเคย ตงฟาง อ้าวก็อดไม่ได้ที่จะมุ่นคิ้ว หญิงผู้นี้ ไม่รู้จักแสดงความอ่อนแอเห รอกหรือ? จึงได้เข้มแข็งอยู่ตลอดเช่นนี้?

บุรุษ มิได้ชื่นชอบหญิงสาวที่เข้มแข็งมากไป เขาก็เช่นกัน
เพียงแต่ทั้งหมดนี้ โอวหยางหวั่นเอ๋อกลับไม่ทราบ

ขณะเดียวกัน ตงฟางอ้าวก็มิอาจทราบ

โอวหยางหวั่นเอ๋อ มีความเคารพในศักดิ์ศรีและความภาค ภูมิใจต่อตนเอง ที่ไม่สามารถขอได้จากผู้คน


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ