แม่หมอและลูกน้อยที่น่ารักของเธอ

บทที่ 6 อาหวั่นนางเปลี่ยนไป



บทที่ 6 อาหวั่นนางเปลี่ยนไป

“ท่านพี่! ท่านพี่! ท่านนำไก่กลับมาแล้ว! ท่านกลับมาแล้วจริงๆ ท่านเก่งอะไรเช่นนี้

เลี่ยนน้อยที่เศร้าสร้อยก่อนหน้านี้ ได้เปลี่ยนเป็นเด็ก น้อยจอมเจื้อยแจ้วที่กำลังกระโดดโลดเต้นไปมาทันที อหวั่นอุ้มน้ำแกงไก่แล้วเดินเข้าไปในครัว เลี่ยนน้อยวิ่งวนไปมารอบตัวอหวั่น เขาวิ่งจนอหวั่นเวียนหัว เธอจึงชี้ไปที่เก้าอี้เตี้ยๆ ด้านข้าง พร้อมกล่าวว่า “นั่งลง

“อื้อ” เถียนน้อยนั่งลงอย่างว่าง่าย

อวีหวั่นเปิดฝาโถออก

อันที่จริง เนื้อไก่ต้มสุกแล้ว ทั้งยังตักใส่โถไว้สักพัก ทำให้ เนื้อไก่ดูดซับกลิ่นหอมของหน่อไม้ ราวกับหมักเอาไว้ก็มิปาน สองรสเลิศผสมผสานกัน ทำให้น้ำแกงไก่ส่งกลิ่นหอมยิ่งกว่า

เดิม

เลี่ยนน้อยอยากกินจนน้ำลายไหล

อหวั่นป้อนเนื้อไก่ชิ้นสีเหลืองทองเข้าปากเลี่ยนน้อย
“อร่อยไหม” อวหวั่นเอ่ยถาม

เถียดนน้อยนํ้าตาคลอเบ้า เขาผงกหัว อร่อย! อร่อยจน เขากลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่

“ยังเจ็บแก้มอยู่ไหม” อวีหวั่นถามต่อ

เถียนน้อยส่ายหัวไปมา ได้กินเนื้อ ก็หายเจ็บเสียสนิท อวีหวั่นเห็นรอยแดงบนหน้าของเขาจางลงบ้างแล้ว จึง พยักหน้า ไม่ถามอะไรต่อ

ทันใดนั้นเอง เธอก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้ จึงหันไปถาม เลี่ยนน้อย “เมื่อวานเจ้าบอกว่า ไปกินข้าวที่บ้านใครนะ?”

“บ้านท่านย่า” เงี่ยนน้อยกล่าวจบ ก็มองอหวั่นอย่างก

ล้าๆ กลัวๆ

อหวั่นคิดในใจว่า ฉันยังไม่ได้ห้ามเธอไม่ให้ไปกินข้าวที่ บ้านคนอื่น ทำไมทำหน้าเหมือนกลัวฉันขนาดนั้น?

แต่ว่า ท่านย่าหน้าตาเป็นอย่างไร ในความทรงจําของ เจ้าของร่างเดิม ไม่มีบุคคลอันดับหนึ่งผู้นี้อยู่เลย

“เจ้าบอกว่ากินไม่อิ่ม” อวหวั่นเอ่ยถามอีก

เกี่ยต้นน้อยอ้าปากค้าง และตอบว่า “นั่น นั่นเพราะ” “อยู่ที่บ้านท่านย่าไม่สนุกสินะ” อวหวั่นกล่าวเสียงเบา

“เอ๋?” เลี่ยนน้อยทำตาโต
อหวั่นเปิดตู้เก็บถ้วยชาม หยิบชามใบใหญ่ออกมาหนึ่ง ใบ เธอตกเนื้อไก่และหน่อไม้ครึ่งหนึ่ง ใส่ชาม และบอกว่า “เจ้า เอาไปให้ท่านย่า พี่จะไปผัดผัก

“ท่าน…ท่านย่าตายไปนานแล้ว มีแต่ท่านลุงใหญ่” เถียน น้อยทำหน้าราวกับเห็นผี ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอวหวั่นไม่รู้ว่าท่าน ย่าเสียไปแล้ว หรือเพราะหวั่นให้นำอาหารไปให้บ้านนั้นกัน แน่

อหวั่นกล่าวเสียงเรียบว่า “แน่นอน พี่รู้ว่าท่านย่าตายไป นานแล้ว แต่พี่บอกว่าให้เอาไปให้ที่บ้านท่านย่า

เมื่ออหวั่นตักน้ำแกงไก่เสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็วางชาม ครอบไว้ด้านบน และนำผ้ามาผูกไว้ให้แน่น พร้อมกับบอก เลี่ยนน้อยว่า “ไม่ร้อนแล้ว อุ้มไปเถอะ”

เลี่ยนน้อยรับน้ำแกงไก่มา และเดินออกไปอย่างร่าเริง

ระยะทางไปบ้านลุงใหญ่เป็นกึ่งหนึ่งของระยะทางจากบ้าน ของอาหวั่นถึงแปลงผัก และอยู่ทิศตรงกันข้ามกับทางไปบ้าน สกุลจ้าว

เมื่อเลี่ยนน้อยอุ้มชามน้ำแกงไก่ไปถึงนั้น ลุงใหญ่กำลัง นั่งรับแสงแดด และกอดไม้เท้าหนึ่งอันไว้ในอ้อมอก

ทันทีที่ลุงใหญ่เห็นเลี่ยนน้อย ใบหน้าอันเต็มไปด้วย ความวิตกกังวลก็แปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มใจดี “เสี่ยตั้นมาแล้วเหตุใดวันนี้จึงมาช้านักเล่า ป้าสะใภ้ใหญ่ของเจ้าออกไปข้าง นอก มีโจ๊กอยู่ในหม้อ ลุงจะไปอุ่นให้

เขาพูดพลางใช้ไม้เท้าพยุงตนเองยืนขึ้น

เลี่ยนน้อยพยักหน้า เขาส่งชามที่อุ้มไว้ให้ลุงใหญ่ และ กล่าวว่า “ท่านลุงใหญ่ วันนี้ข้าไม่ได้มากินข้าว ข้านน้ำแกงไก่ มาให้ท่าน ในน้ำแกงมีเนื้อไก่เยอะมาก ทั้งยังมีหน่อไม้อีก ด้วย! ท่านพี่เป็นคนทำเอง! นางให้ข้านำมาให้ท่าน

ได้ยินเช่นนั้น รอยยิ้มบนใบหน้าของลุงใหญ่ก็หายไปทันที

ฟ้าในเหมันตฤดูมืดเร็วยิ่งนัก ทว่าท้องฟ้าสายันต์กลับสี จางลง เกล็ดหิมะเล็กๆ ปลิวเข้าไปกับสายลม

ป้าสะใภ้ใหญ่พาบุตรชายทั้งสามคนกลับมาแล้ว

วันนี้ครอบครัวหนึ่งในหมู่บ้านข้างๆ จัดงานเลี้ยง พวกเขา จึงไปช่วย งานนี้ไม่ได้เงิน แต่ได้แป้งข้าวโพดห้าจีน และข้าว กล้องสองจิน อีกทั้งยังได้กากหมูติดไม้ติดมือกลับมาอีกครึ่ง ชาม แม้ว่าของเหล่านี้จะไม่ได้มีปริมาณมากพอให้ผ่านพ้นฤดู หนาวนี้ไปได้ แต่ก็ทำให้มีชีวิตต่อไปได้อีกครึ่งเดือน

ครึ่งเดือนอาจฟังดูน้อยแสนน้อย แต่ใครใช้ให้ใน ครอบครัวมีกันหลายคนเล่า ยิ่งไปกว่านั้น นอกจากบุตรสาว สามขวบแล้ว คนอื่นๆ ก็ล้วนแต่ท้องยังพุงกระสอบ

“หลายวันมานี้เกี่ยต้นกินข้าวไม่อิ่ม ข้าจะไปนึ่งหมั่นโถวแป้งข้าวโพดให้ ป้าสะใภ้กล่าว และเดินยังห้องครัว

ลุงใหญ่เรียกให้นางหยุด เขาส่งเรื่องของอาหวั่นให้นางบุตรของเขา

สายของคนจับไปที่ชามที่วางอยู่บนโต๊ะ คน

ต่างทําหน้าเหลือเชื่อ

“ไก่มาจากบ้านนาง?” ป้าสะใภ้ใหญ่เอ่ยถาม

เหตุใดนางต้องนำไก่มาพวกเราด้วย” บุตรโต

“ตูด” บุตรสาวตัวน้อยกำลังฝึกพูด

ลุงใหญ่อุ้มบุตรสาวขึ้นมา และเหลือบมองบุตร

บุตรรองจมูกด้วยความโกรธเคือง เขากล่าวเสียงต่ำ

ว่า “เอาเป็นข้ามเชื่อว่านางเจตนาดี จะนำไก่มา

กล่าวได้เพียงครึ่งเดียว เขาเปิดที่ครอบขึ้น สิ่งที่เห็น

ทำให้เขากล่าวอะไรไม่ออก

ความสัมพันธ์ระหว่างอาหวั่นและตระกูลนี้แน่นอนว่าดี

นัก

บิดาของอาหวั่นไม่ใช่บุตรโดยกำเนิดของแต่เป็นเด็กที่เขาเก็บจากบนเขาตอนที่เมาสุรา นายท่านสกุลอวีและภรรยาเลี้ยงเด็กทั้งหมดห้าคน แต่คนที่พวกเขา เล็ก

ได้เลี้ยงจริงๆ มีเพียงสองคน คือบุตรคนรองและบุตรสาวคน

นายท่านและภรรยาใคร่ครวญดูแล้ว คิดว่ามีบุตรเพียงคน เดียวนั้นน้อยเกินไป ไม่เลี้ยงเพิ่มอีกหนึ่งคน ภายภาคหน้ายัง สามารถพึ่งพาได้

แม้ว่าบิดาของอาหวั่นจะถูกเก็บมา แต่เมื่อฟูมฟักอุ้มชูมา แล้ว ก็คิดว่าเขาเป็นเหมือนบุตรแท้ๆ

ลุงใหญ่กับป้าของอาหวั่นก็เลี้ยงดูเด็กชายผู้นี้เป็นอย่างดี ไม่เคยปล่อยให้ท้องหิว หากมีใครรังแกเด็กชาย พวกเขาทั้ง สองเป็นต้องแบกจอบแบกเสียมไปถึงบ้านคนเหล่านั้น

ในตอนที่ป่าออกเรือน บิดาของอาหวั่นถึงกับร้องไห้เสียง ดังไปไกลครึ่งหมู่บ้าน หลังจากนั้น ในซีเปียก็เกิดสงครามขึ้น ทางการส่งคนมาเกณฑ์ทหารที่หมู่บ้านเหลียนฮวา เดิมทีผู้ที่ไป ควรเป็นบุรุษฉกรรจ์ ทว่าบิดาของอาหวั่นมอมเหล้าพี่ชายใหญ่ และออกเดินทางไปแทน

ในปีนั้น อาหวั่นมีอายุเพียง 10 ขวบ นางเจียงเองก็เพิ่ง ตั้งครรภ์เกี่ยต้นน้อย

การตัดสินใจเช่นนี้นับเป็นการตัดสินใจที่ยากที่สุดในชีวิต กระนั้น เพื่อตอบแทนบุญคุณของสกุลอรี่ที่เลี้ยงดูจนเติบใหญ่ บิดาของอาหวั่นจึงไปอย่างไม่ลังเล
เรื่องเหล่านี้คือสิ่งที่อาหวั่นไม่เคยรู้ และนางไม่รู้ว่ามีผู้คน คอยซุบซิบนินทา ว่าบิดาของนางถูกเก็บมาเลี้ยง ในตอนที่ทาง การมาเกณฑ์ทหาร ผู้ที่ต้องไปคือลุงใหญ่ แต่ทางบ้านสกุลอ ไม่ยินยอม จึงส่งบิดาของนางไปตายแทน

ส่งทหารที่ไม่เคยฝึกซ้อมไปรบท่ามกลางไฟสงครามที่ กำลังปะทุ นั่นไม่เรียกว่าส่งไปตายหรอกหรือ?

อาหวั่นเชื่อคำกล่าวเหล่านี้ ทำให้ความสัมพันธ์กับบ้าน ใหญ่แย่ลง ภายหลังจึงแยกบ้านกัน ทั้งสองครอบครัวกลาย เป็นคนแปลกหน้า

ไม่ต้องกล่าวถึงตูดไก่ หากแม้แต่ขนไก่หนึ่งเส้น นางคงไม่ อยากให้พวกเขาเสียด้วยซ้ำ

เลี่ยนน้อยนำน้ำแกงไก่มาตั้งแต่ช่วงสาย ผ่านไปหนึ่งวัน เต็มๆ น้ำแกงไก่แข็งเสียแล้ว ข้างใต้ไขมันไก่จับตัวเป็นก้อน ก็ คือหน่อไม้และเนื้อไก่ หน่อไม้น้อย เนื้อไก่มาก ไม่เอ่ยถึงแล้ว ทว่า ในชามยังมีน้องไก่เต็มน้องอีกด้วย

นี่ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกัน

ทั้งครอบครัวต่างอยู่ในความตกตะลึง


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ