แม่หมอและลูกน้อยที่น่ารักของเธอ

บทที่ 5 คนที่รังแกก็คือเจ้า



บทที่ 5 คนที่รังแกก็คือเจ้า

เมื่ออหวั่นเก็บต้นกระเทียมเสร็จและกลับถึงบ้าน นางจ้าวก็ยก ไก่ตุ๋นหน่อไม้ร้อนๆ ไปเสียแล้ว

“คนชั่ว! เอาไก่ของบ้านข้าคืนมานะ! นี่ไม่ได้ไว้ให้ท่านกิน ท่านพี่ไปจับมาให้พวกเรากิน

เสียงโหวกเหวกของเถียนน้อยดังมาจากห้องครัว

อหวั่นเร่งฝีเท้า เมื่อเธอเดินผ่านห้องโถงไป ก็เห็น ใบหน้าที่มีรอยแดงของเถียนน้อย เขายืนเท้าเอวตะโกน อยู่ที่เล้าหมูอันว่างเปล่า

ช่วยไม่ได้ที่เขาตัวเล็ก ปืนอย่างไรก็ปืนไม่ได้

บ้านของพวกเขาไม่ได้เลี้ยงหมูมานานแล้ว เล้าหมูจึงดู สะอาดสะอ้าน แต่ถึงเป็นเช่นนั้น เมื่อเห็นน้องชายถูกขังไว้ เธอ ก็ระงับโทสะไว้ไม่อยู่

อหวั่นปลดกลอนบนไม้กระดาน และอุ้มน้องชายออกมา เธอเดินเข้าไปยังห้องครัว แง้มฝาหม้อดู ก็พบว่าไก่ตุ๋นหน่อไม้ที่ เดิมที่มีอยู่เต็มหม้อ ถูกตักไปจนหมดไม่เหลือแม้แต่เศษ

“เกิดอะไรขึ้น ใครทำ” เธอเอ่ยถาม

เลี่ยนน้อยเล่าเรื่องนางจ้าวให้เธอฟังโดยละเอียด
เมื่อฟังเรื่องที่เกี่ยต้นน้อยเล่าจบ เธอก็พบว่าแท้จริงแล้ว ยังมีการสมรสของเธอที่ยังมิได้จัดขึ้นอีก ที่น่าแปลกคือ เรื่อง ใหญ่เช่นนี้ เหตุใดจึงไม่หลงเหลืออยู่ในความทรงจำของ เจ้าของร่างเดิมเลย

นางจ้าวกล่าวออกมาว่า ลูกสะใภ้ของข้า แต่ดูเสียว่านาง

ทำอะไรลงไปบ้าง ในตอนที่เธอหมดสติไปก็ไม่มาเยี่ยมเยียน แย่งน้ำแกงไก่ไป ไม่บอกไม่กล่าวสักคำ ทั้งยังหยิกแก้มน้อง ชายของเธออีกด้วย

จะโทษเจ้าของร่างเดิมที่ก่อนตายไม่อยากจดจำนางก็มิได้ คนชั่วร้ายเช่นนี้ จะให้จดจำไว้ฉลองเทศกาลตรุษจีนด้วยกัน หรืออย่างไร?

“ไม่มีไก่เหลือแล้ว….เป็นข้าที่ไม่ได้เฝ้าไก่ให้ดี…” เถียน

น้อยกล่าว ขอบตาเริ่มแดง

อหวั่นใส่ต้นกระเทียมลงในกะละมัง พร้อมกล่าวว่า “เจ้า รออยู่ที่บ้าน เดี๋ยวพี่กลับมา

“ท่านพี่จะไปไหน” เถียนน้อยถามอย่างไม่เข้าใจ

อหวั่นไม่ได้ตอบ เธอมุ่งหน้าตรงไปที่ห้องครัว หยิบมีด หั่นผักมาหนึ่งเล่ม และเดินออกไปด้วยสีหน้าเย็นชา

หลังจากที่นางจ้าวออกมาจากบ้านของอวหวั่น ก็รีบอ้าว กลับบ้านทันที ระหว่างทางมีชาวบ้านเอ่ยทักทายนาง นางกลับไม่สนใจเลยแม้แต่คนเดียว

กลิ่นหอมกรุ่นของน้ำแกงไก่ลอยไปไกลครึ่งค่อนหมู่บ้าน

นางจ้าวเดิมที่เป็นชาวนาจากหมู่บ้านสกุลจ้าวจากซีเปีย หลังจากเกิดสงคราม หมู่บ้านสกุลจ้าวก็ถูกศัตรูยึดครอง นาง กับสามีพาลูกชายลูกสาวหลบหนีออกมา ระหว่างทางสามีของ นางตายเพราะถูกลูกหลงจากศรธนู นางกับลูกเล็กรอนแรม ผ่านลมฝนมาด้วยกัน จนในที่สุดก็มาอาศัยอยู่ที่หมู่บ้านเหลื ยนฮวา

หญิงหม้ายและลูกกำพร้าผ่านพ้นความยากลำบากมา และที่โชคดีก็คือ นางจ้าวมีบุตรชายที่ดีหนึ่งคน

จ้าวเพิ่งมีเพียงสติปัญญาดี แต่ยังขยันหมั่นเพียร ฝึกฝน

ตนเอง ไม่นานก็สอบผ่านถึงเชิง ด้วยเหตุนี้เองจึงได้ทลายกฎ

ทะเบียนราษฎร์ และลงหลักปักฐานที่หมู่บ้านเหลียนฮวา

ทว่า ครอบครัวของพวกเขาไม่มีทหารฉกรรจ์ และชะตา

ชีวิตของจ้าวเหิงก็คือการเรียนหนังสือ ไหนเลยนางจ้าวจะยอม

ให้เขาออกแรงทำไร่ไถนา ตัวนางข้าวเองเป็นคนเกียจคร้าน

บุตรสาวที่เลี้ยงมาก็มิได้เอางานเอาการ หลายปีมานี้จึงได้แต่

หยิบยืมจากอาหวั่น แม้แต่ที่ดิน อาหวั่นก็เป็นคนช่วยลงแรง

เพาะปลูก

จะว่านางจ้าวไม่พอใจว่าที่ลูกสะใภ้คนนี้ ก็คงไม่เสียที เดียว จะว่านางชอบ ก็คงไม่ใช่เช่นกัน
อันที่จริง บุตรชายของนางเป็นถึงซิ่วไฉคนเดียวใน หมู่บ้าน นางเด็กอาหวั่นจะได้ตกล่องปล่องชิ้นกับบุตรชายของ นาง ก็นับว่าเป็นบุญของสกุลอแล้ว!

ในตอนที่นางจ้าวเดินเข้าไปในบ้าน จ้าวเป่าเมียเพิ่งตื่น พอดี ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง ยังไม่ทันตื่นเต็มตา ก็ได้กลิ่น หอมยั่วยวนของน้ำแกงไก่ลอยมาแตะจมูก

นางลุกพรวดขึ้นมา พร้อมเอ่ยถามว่า “ท่านแม่! นั่นอะไร

นางรีบไปเปิดฝาโถดู กลับถูกนางจ้าวปัดมือออก นางจ้าวเอ่ยถามว่า “พี่ชายเจ้าเล่า?”

จ้าวเป่าเม่ยเบะปาก ตอบไปว่า “ท่านพี่ไปสำนักการศึกษา แล้ว เพิ่งออกไป

นางจ้าวมองดูโถที่ขณะนี้ส่งกลิ่นหอมอบอวลไปทั่วบ้าน กลืนน้ำลายด้วยความลำบากใจ “เช่นนั้นน่าจะไปไม่ไกลนัก แม่จะตักไว้ ให้เจ้านำไปส่งให้พี่

แม้จ้าวเป่าเม่ยจะไม่ค่อยพอใจนัก แต่ก็ตระหนักดีว่า ใน

ครอบครัวนี้พี่ชายสำคัญที่สุด

“เข้าใจแล้ว ท่านแม่” นางกล่าวพลางยิ้มน้อยๆ

นางจ้าวเดินเข้าไปในห้องครัวเพื่อหยิบชามเปล่าสองใบ ขณะที่กำลังจะตักน้ำแกงไก่ให้บุตรชายนั้น กลับไม่พบโถน้ำ แกงแล้ว เห็นเพียงมีดหั่นผักเงาวับปักอยู่บนโต๊ะไม้
นางจ้าวกลัวจนขนลุกไปทั้งร่าง

“คนแซ่อ! หมายความว่าอย่างไร” จ้าวเป่าเมียที่ยืนอยู่ ด้านข้างได้สติกลับมาก่อน เมื่อเห็นอวหวั่นยืนทำหน้าราวกับจะ กินเลือดกินเนื้อ เธอถึงกับตกตะลึง

อวีหวั่นขี้คร้านจะสนใจนาง สายตาจับจ้องไปที่นางจ้าวที่ ตกใจกลัวจนหน้าซีดเผือด เธอเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงไม่ยี่หระว่า “เมื่อครู่ คนที่ไปบ้านข้าคือเจ้า

นางจ้าวมิได้คาดคิดเลยว่าอาหวั่นที่ยืนระเบิดโทสะอยู่ตรง หน้าของนางนั้น จะกล้าลุกขึ้นมาต่อปากต่อคำ มิหนำซ้ำยังถือ มืดมาด้วย!

แต่ในเมื่อกดอาหวั่นมาหลายปี นางก็มิได้รู้สึกเกรงกลัว อาหวั่น “เจ้าคิดจะทำอะไร ถือมีดมาบ้านข้าตั้งแต่ฟ้าสาง เสีย สติไปแล้วหรืออย่างไร

อหวั่นตอบด้วยน้ำเสียงแตกดันว่า “รังแกน้องชายข้า ขโมยไก่ขา ยังมีหน้ามาถามอีกหรือว่ามาที่นี่ทำไม คนแซ่จ้าว ตกลงเจ้าเสียสติไปแล้วหรืออย่างไร

คนแซ่ คนแซ่จ้าว? นางเด็กชั่วนี่เรียกนางว่าอะไรนะ?!

นางจ้าวเริ่มมีโทสะแล้ว นางชี้นิ้วไปที่อหวั่น พร้อมกล่าว ว่า “เจ้ายังกล้าพูด เจ้าซื้อไก่มา แต่ไม่นำมาให้ข้า! กลับแอบ เก็บไว้กินที่บ้าน สบายใจเสียไม่มี เจ้ายังเห็นข้าอยู่ในสาย

น่ารำคาญ!
อหวั่นรู้สึกเหลืออดจนทนไม่ไหว เธอไม่รอให้นางจ้าว กล่าวจบ ก็ยกมีดหั่นผักบนโต๊ะขึ้นมา และโบกไปทางนางจ้าว

นางจ้าวกลัวจนต้องกระโดดหนี

จ้าวเป่าเมียยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง

นางตะลึง ในโทสะของอวหวั่นตั้งแต่แรกแล้ว กลัวจนทำได้ เพียงยืนมองอหวั่นทิ้งผมนางจ้าวราวกับดึงกระสอบป่านก็ไม่ ปาน อหวั่นถึงนางจ้าวไปที่เล้าหมูหลังโถงกลาง

ทีนี้เล้าหมูของบ้านนางก็มีหมูแล้ว

“โอ๊ย!”

นางจ้าวถูกผลักลงไปในรางข้าวหมู

เหตุการณ์หลังจากนั้น จ้าวเป่าเม่ยจำไม่ค่อยได้ จำได้ เพียงว่า หลังจากที่นางได้สติกลับมา โถน้ำแกงไก่ก็ถูกอหวั่น อุ้มกลับบ้านไปเสียแล้ว

เถียนน้อยนั่งอยู่ที่ธรณีประตูด้วยความเศร้าสร้อย เขารู้ดีว่าท่านพี่ไปที่บ้านสกุลจ้าว ทว่าเขาไม่มั่นใจว่านาง จะนำเนื้อไก่กลับมาได้

ท่านที่เป็นเช่นนี้ ของดีๆ ก็ล้วนให้บ้านสกุลจ้าวก่อนเสมอ บ้านสกุลจ้าวใช้เสร็จ ของที่เหลือจึงตกถึงพวกเขา
เขาไม่ได้เกลียดท่านพี่ เพราะท่านแม่บอกไว้ ว่าเกลียด ท่านที่ไม่ได้ แต่ต้องรู้สึกเห็นใจนางไปชั่วชีวิต

แต่กระนั้น บางครั้งเขาก็หวังว่าท่านจะเห็นใจพวกเขา เช่นกัน…

เนื้อไก่ไม่เหลือแล้วเป็นแน่

เลี่ยนน้อยเช็ดน้ำตาด้วยความรู้สึกผิด

“อากาศหนาวเช่นนี้ เจ้ามานั่งทำอะไรที่ประตู

ทันใดนั้นเสียงที่คุ้นเคยก็ดังขึ้นเหนือศีรษะของเลี่ยนน้อย

เมื่อเลี่ยนน้อยเงยหน้าขึ้นด้วยความรู้สึกว่างเปล่า เขาก็ เห็นมือข้างหนึ่งของอวหวั่นกำลังถือมืด ส่วนอีกข้างหนึ่งกำลัง อุ้ม โถน้ำแกงด้วยสีหน้าเรียบเฉย


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ