แม่หมอและลูกน้อยที่น่ารักของเธอ

บทที่ 3 เริ่มต้นชีวิตใหม่



บทที่ 3 เริ่มต้นชีวิตใหม่

บ้านที่ครอบครัวนี้อาศัยอยู่นั้นไม่ใหญ่นัก พื้นที่รวมกันมีขนาด เพียงสองห้อง แยกกันที่ห้องโถงกลาง ต่อให้ปิดตาเดินก็ไม่มี ทางไปผิดห้อง

อวีหวั่นเดินไป พลางจัดระเบียบความทรงจำในหัว จะว่าไปก็บังเอิญเหลือเกิน ครอบครัวนี้สกุลอ เจ้าของ ร่างเดิมชื่ออาหวั่น ชื่อเดียวกับเธอ

ครอบครัวนี้ไม่ซับซ้อน สมาชิกประกอบด้วยบิดาผู้ซึ่งถูก เนรเทศไปเป็นทหารหนึ่งคน มารดาที่ป่วยออดๆ แอดๆ หนึ่ง คน น้องชายที่ผอมโซหนึ่งคน และยังมีเธอซึ่งมาอยู่ในร่างนี้อีก หนึ่งคน

ในความทรงจำ ครอบครัวนี้ดีกับเธอ และไม่เคยเลือก ที่รักมักที่ชังเพียงเพราะเธอเป็นสตรี แม้แต่น้องชายตัวน้อยก็รู้ ว่าควรแสดงความนอบน้อมต่อเธอ

เธอเป็นคนที่กินดีอยู่ดีที่สุดในบ้าน เรื่องแบบนี้คงเกิดขึ้น ไม่ได้เลยในหมู่บ้านที่บุรุษเป็นใหญ่

แต่แน่นอนว่าชีวิตของเจ้าของร่างนี้ไม่ได้สบายนัก บิดาไม่ อยู่แล้ว ส่วนมารดาก็ไม่สามารถลงแรงทำไร่ไถนาได้ เธออายุ ยังน้อยก็ต้องแบกรับภาระเลี้ยงดูปากท้องของคนในบ้าน หากเทียบกับอวหวั่นที่เป็นมอดตัวใหญ่ในอีกโลกหนึ่งแล้ว เรียกได้ ว่าต่างกันราวฟ้ากับดิน

ที่กล่าวมานี้ เป็นความทรงจำทั้งหมดที่อวหวั่นได้รับมา จากเจ้าของร่างเดิม

หรืออาจกล่าวได้ว่า นี่คือความทรงจำที่เจ้าของร่างเดิม

ต้องการรักษาไว้ก่อนตาย

“ท่านพี่ ระวัง” ขณะที่เกี่ยต้นน้อยที่จูงมืออหวั่นไปที่ประตู นั้น เขาก็ร้องเตือนขึ้นมา เสียงนี้เรียกสติอหวั่นที่ตกอยู่ในห้วง ความคิดได้อย่างประจวบเหมาะ

อหวั่นลูบศีรษะเล็กๆ ของเขา

เขาคือน้องชายของเธอ ส่วนในห้องก็คือมารดาของเธอ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป พวกเขาคือคนที่เธอยอมสละชีวิต เพื่อปกป้อง

เธอเพิ่งมาถึง ความคิดเช่นนี้ส่วนใหญ่คงจะมาจาก ปณิธานของเจ้าของร่างเดิม หรือไม่ก็เพราะปณิธานอันแรงกล้า เช่นนี้เอง ที่สามารถเรียกจิตวิญญาณที่อยู่อีกโลกหนึ่ง ให้มา เติมเต็มปณิธานแทนเจ้าของเดิมได้

ในห้องไม่มีเตาไฟ ไม่มีตะเกียง ทั้งยังมืดสนิท ลมหนาว สายหนึ่งพัดวูบเข้ามา ที่จริงแล้วข้างในไม่ได้หนาวน้อยไปกว่า ข้างนอกเลย

อหวั่นเดินทางในความมืดไปยังเตียงนอน
เมื่อคุ้นเคยกับความมืดในห้องแล้ว อหวั่นก็พอจะมอง เห็นร่างของสตรีนางหนึ่ง

ใบหน้าซีดขาวซึ่งปราศจากสีเลือดฝาดนั้น ซูบผอมจน แก้มทั้งสองข้างยุบลงไปเป็นหลุม มองเห็นโหนกแก้มได้อย่าง ชัดเจน ทว่าประสาทสัมผัสทั้งห้าของนางยังดีเหมือนแต่ก่อน โดยเฉพาะคิ้วและจมูกที่งามโดดเด่นเป็นพิเศษ

มารดาเจ้าของร่างเดิมไม่ได้รับบาดเจ็บ หากแต่ได้รับ ความกระทบกระเทือนด้านจิตใจจนหมดสติ บวกกับหลายวัน มานี้ไม่มีอะไรตกถึงท้อง จึงได้แต่นอนหายใจ โรยรินเช่นนี้

เมื่อเห็นนางเจียง อหวั่นจึงยกเตาไฟจากห้องของตนเข้า มา พร้อมทั้งนำผ้านวมมาห่มให้นาง

หลังจากนั้น อหวั่นก็เดินถือตะเกียงน้ำมันไปในห้องครัว

ถึงแม้จะเรียกว่าห้องครัว กระนั้นก็เป็นเพียงครัวเล็กๆ ที่ ใช้หญ้าแห้งมุงขึ้นมา ตรงข้ามกับเตาหุงต้มมีพื้นแห้งที่ถูกใช้ งานไปเกินครึ่งมัดหนึ่ง

แม้แต่ปืนยังไม่ค่อยมี อหวั่นรู้สึกได้ถึงลางไม่ดี

เป็นดังคาด ไม่นานอวหวั่นก็พบว่าข้าวสารในถังก็เหลือ

น้อยแล้วเช่นกัน

อหวั่นค้นตู้กับข้าวดูอีกครั้ง นอกจากน้ำพริกครึ่งถ้วย ก็ ไม่มีอะไรเหลือเลย กระนั้น เงี่ยนน้อยก็ยังเดินอุ้มตะกร้ามา และกล่าวว่า “ท่านพี่ หัวผักกาด
ในตะกร้ามีหัวผักกาดที่ดูไม่สดเท่าไรนักอยู่สองสามหัว และยังมีมันเทศอีกหนึ่งหัวที่ไม่รู้ว่าไปรวมอยู่ในนั้นได้อย่างไร

นี่คือสิ่งที่เธอไม่มีโอกาสพบเจอในอีกโลกหนึ่ง ตอนนี้เธอ เรื่องมากไม่ได้แล้ว

อวีหวั่นล้างพร้อมกับปอกเปลือกหัวผักกาดและมันเทศ นั่นมันเทศเป็นท่อนๆ ผสมเข้ากับเมล็ดข้าวที่เหลือน้อยจนน่า เวทนา เพื่อนำมาทำเป็นโจ๊ก ส่วนหัวผักกาดก็นั่นเป็นเต่า และ คลุกรวมกับน้ำพริก

เป็นครั้งแรกที่อหวั่นได้ใช้เตาฟืนหุงต้มเช่นนี้ ควบคุมไฟ ยากเสียเหลือเกิน ทำให้โจ๊กบางส่วนเหนียว

เลี่ยนน้อยยืนอยู่หน้าประตูครัว บางครั้งก็โผล่หัวน้อยๆ

เข้ามา และมองด้วยสายตาอันคาดหวัง

ไอร้อนซึ่งกลิ่นหอมเหมือนมันเทศลอยขึ้นมาจากหม้อ มา รวมกับกลิ่นหอมอ่อนๆ ของข้าวและข้าวก้นหม้อ ทำให้เด็ก ชายตัวน้อยรู้สึกน้ำลายสอขึ้นมา

“ท่านพี่ ข้าหิว” เถียนน้อยกล่าวพลางเช็ดน้ำลาย

“เสร็จแล้ว” อวหวั่นกล่าว

โจ๊กมีไม่มาก สามารถแบ่งได้สามถ้วยพอดี

อหวั่นส่งถ้วยที่มีมันเทศมากที่สุดให้เลี่ยนน้อย และส่ง ถ้วยที่โจ๊กข้นที่สุดให้กับนางเจียง
นางเจียงยังคงนอนไม่ได้สติ ไม่สามารถกินข้าวเองได้

อวีหวั่นจึงลองปลุกนาง

นางเจียงค่อยๆ ลืมตาขึ้น แต่ว่าสติยังคงพร่าเลือน

อวีหวั่นป้อนข้าวนางเจียงที่มึนงงทีละน้อย เมื่อเธอนำถ้วย เปล่ากลับไปวางที่โต๊ะ เกี่ยต้นน้อยก็กินโจ๊กมันเทศในชาม หมดแล้ว ช้อนก็วางลงแล้วเช่นกัน

แต่แล้ว อหวั่นก็สังเกตเห็นว่ามีมันเทศก้อนใหญ่สองสาม ก้อนเพิ่มมาในชามซุปใสจืดชืดของเธอ

เถียนน้อยนั่งอยู่ตรงนั้นอย่างว่าง่าย ทั้งยังกะพริบตา ปริบๆ มองมาทางเธอ ราวกับกำลังบอกว่า “ท่านพี่ กินสิ

อ หวั่นรู้สึกใจอ่อนขึ้นมา

เธอเข้าใจแล้วว่านี่ไม่ใช่ความรู้สึกของเจ้าของร่างเดิม หากแต่เป็นความรู้สึกของเธอเอง

“ท่านพี่” เถียนน้อยเห็นว่าอวหวั่นไม่ขยับ เขากลืน น้ำลาย แล้วดันถ้วยโจ๊กไปด้านหน้า “รีบกินเถอะ โจ๊กไม่ร้อน แล้ว”

อหวั่นรู้ว่าเขากินไม่อิ่ม แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธใจ เธอยก ถ้วยขึ้น และชุดโจ๊กที่แทบไม่เหลือไอร้อนจนหมด ไม่เหลือ แม้แต่หยดเดียว

ลมหนาวพัดผ่านช่องหน้าต่างจนเกิดเสียงดัง นางเจียงและเลี่ยนน้อยเข้าสู่ห้วงนิทราไปแล้ว

อหวั่นนอนด้านในสุด

แต่เธอยังคงนอนไม่หลับ

เดิมที่คิดว่าคืนนี้คงนอนไม่ค่อยหลับ แต่ใครจะรู้ เธอนั้น

หลับจนไม่ฝันเลย ตื่นมาก็เห็นแสงอาทิตย์ที่เส้นขอบฟ้าเสีย แล้ว เกี่ยต้นน้อยกำลังหลับสบาย แก้มแดงระเรื่อ ไม่รู้ว่านาน

เท่าไรแล้วที่เขาไม่ได้นอน ในที่อื่นๆ เช่นนี้

นางเจียงยังคงหลับใหล ทว่าลมหายใจสม่ำเสมอกว่าเมื่อ คืนเล็กน้อย

อหวั่นไม่ได้ปลุกทั้งคู่ เธอลงจากเตียงอย่างระมัดระวัง แต่งตัวและดื่มน้ำเย็นเพื่อบรรเทาความหิว จากนั้น เธอก็หยิบ มีดและสะพายตะกร้าจากในครัว เดินไปบนน้ำค้างที่จับตัว แข็งในความหนาวเหน็บ ไปตามทางในความทรงจำของเธอ

ที่นี่คือแปลงผักของเจ้าของร่างคนเดิม ในแปลงมีทั้งต้น กระเทียม หัวผักกาด และผักกาดขาว

ผักกาดขาวโตพอสำหรับเก็บเกี่ยว เพียงแต่ดูแหว่งๆ อื่นๆ ทั้งยังไม่รู้ว่าไก่บ้านไหนมาจิกกินไป ส่วนหัวผักกาดยังมีเหลือ อยู่บ้าง อหวั่นดึงออกมาหนึ่งหัว ไม่ทันได้ล้าง เธอก็ใช้มีด ปอกเปลือก และกินหัวผักกาดนั้น

ที่บ้านไม่มีข้าวเหลือแล้ว กินหัวผักกาดเพียงอย่างเดียวไม่พอเป็นแน่

ขณะที่อวหวั่นกำลังขบคิดว่าจะทำอย่างไรเพื่อให้คนทั้ง บ้านอิ่มท้องอยู่นั้น สายตาอันเฉียบคมก็เหลือบไปเห็นรอยเท้า ของไก่

ผักกาดขาวในแปลงผักถูกไก่จิก เห็นรอยเท้าไก่ในแปลง จึงย่อมไม่ใช่เรื่องแปลก ทว่า สิ่งที่ดึงความสนใจของอวีหวั่นก็ คือ มีขนนกสีไพลินเส้นหนึ่งไหวเบาๆ อยู่ข้างรอยเท้าไก่

ไก่บ้านไม่น่าจะมีขนที่สวยงามเช่นนี้

ไก่ป่านั่นเอง!

ไก่ป่าเข้ามาในแปลงผักของครอบครัวเธอ…

นั่นทำให้เธอรู้สึกโกรธ

ตกยากถึงขนาดแม้แต่ไก่ยังดูแคลน โทสะก็ไร้ที่ระบาย อีกฝ่ายเปิดฉากหาเรื่องก่อน ก็อย่าโทษว่าเธอไม่เกรงใจแล้ว กัน

ไก่ป่าอาศัยอยู่รวมกันเป็นฝูง มีวัฏจักรการดำรงชีวิตที่ ค่อนข้างแน่นอน ไม่น่าจะลงเขามาง่ายๆ ทว่าเหมันตฤดูมาถึง แล้ว ไก่ป่าหาอาหารได้ยากยิ่ง ช่างบังเอิญนัก แปลงผักของอา หวั่นแปลงนี้ใกล้กับเชิงเขาที่สุด กันดารที่สุด ในหมู่บ้าน จึงมี ไก่ป่าลงมาหาอาหาร

ไก่ป่าจิกกินใบผักอย่างสบายอารมณ์ ไม่ได้ระแวดระวัง ภัยที่จะเกิดขึ้นแม้แต่น้อย
อหวั่นเดินย่อง ยื่นมือออกไป และจับไก่ป่าใส่ลงใน

ตะกร้า!


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ