แม่หมอและลูกน้อยที่น่ารักของเธอ

[ภาคที่ 1} บทที่ 1 บทนำ



[ภาคที่ 1 บทที่ 1 บทนำ

วันที่มืดครึ้มได้ผ่านพ้นไป ในที่สุดวันที่สดใสก็กลับมาแล้ว อาหารในบ้านมีไม่เพียงพอ อาหวั่นจึงสะพายตะกร้าไปขุดหัว ผักกาด

“อาหวั่น! ไยเจ้ามาอยู่ที่นี่? สามีเจ้ามาแล้ว! สตรีนางหนึ่งเดินถือกุ้งที่เข้ามา

ใบหน้าอาหวั่นซึ่งกำลังนั่งยองอยู่ที่พื้นเปลี่ยนเป็นสีแดง “ท่านป้าอย่าพูดไป ใครกัน ใครคือสามีของข้า

ท่านป่าหัวเราะเย้าหยอก “ประเดี๋ยวก็จะแต่งงานกันแล้ว

หากมิใช่สามีของเจ้า แล้วจะเป็นสามีของข้าอย่างนั้นหรือ?

ณ อีกด้านหนึ่งของคันนา สตรีชาวนากลุ่มหนึ่งหัวเราะกัน คึกคัก

อาหวั่นหน้าแดงแปร๊ด แม้ปากจะไม่ยอมรับ แต่นางรู้ว่า นางมีว่าที่เจ้าบ่าวจริงๆ นั่นแล

ว่าที่เจ้าบ่าวสกุลจ้าว นามว่าจ้าวเหิง เป็นซิ่วไจ เพียงคน เดียวของหมู่บ้าน

จ้าวเหิงมิใช่คนในพื้นที่ ทว่าอพยพมาเมื่อสงครามเริ่ม ปะทุ อาศัยอยู่ในหมู่บ้านของพวกเขาตั้งแต่นั้นมา
บิดาของจ้าวเหิงตายระหว่างสงคราม เหลือเพียงเขากับ มารดาที่เป็นหม้าย และน้องสาวซึ่งอายุเท่ากับอาหวั่น

ปีนั้นช่างโชคดีเหลือเกินที่ครอบครัวของอาหวั่นต้องการ ความช่วยเหลือ สามแม่ลูกจึงพอผ่านพ้นความลำบากไปได้

สถานการณ์ของครอบครัวอาหวั่นก็ไม่ค่อยดีนัก โดย เฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่บิดาของอาหวั่นไปเป็นทหาร ครอบครัวขาดเสาหลัก และค่อยๆ ขัดสนขึ้นเรื่อยๆ

แต่ไม่ว่าจะขัดสนอย่างไร อาหวั่นก็ไม่ยอมให้จ้าวเพิ่งต้อง รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ

อาหวั่นนําหัวผักกาดที่เด็ดไว้ใส่ลงในตะกร้าสะพายหลัง จิตใจคิดเพียงว่าจะกลับบ้าน

นางเดินผ่านบ่อน้ำ จึงนั่งยองลงเพื่อล้างดินที่เปื้อนบนมือ

ออก

มือของนางโดนความหนาวเย็นกัด เมื่อแผลสัมผัสกับน้ำ ก็รู้สึกเจ็บจนสะดุ้งเฮือก!

จากนั้น นางปลดผ้าผูกผม ใช้แตะน้ำและสางเส้นผมจน เป็นมันเงา ถักเปียเส้นน้อยไว้ข้างหู และค่อยๆ หยิบผ้าผูกผมสี แดงที่ใช้ในวันปีใหม่ออกมามัดผมเปียไว้

เมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้ว นางก็ใช้มือที่หนาวเหน็บจนได้

ความรู้สึก วักน้ำอันเย็นเฉียบและมีกลิ่นคาวปลาขึ้นมาล้างหน้า

“หนาวจะตายอยู่แล้ว! อาหวั่นรู้สึกหนาวจนร้องออกมา
จ้าวเหิงเดินไปเดินมาอยู่หน้าบ้านของอาหวั่นมาพักใหญ่ ทว่าไม่เห็นอาหวั่น จึงตัดสินใจว่าพรุ่งนี้จะมาใหม่ ไหนเลยจะรู้ ว่า ขณะที่เขาเดินผ่านบ่อปลา ก็บังเอิญเห็นอาหวั่นกำลังล้าง หน้าอยู่ริมฝั่ง

จ้าวเหิงคิ้วขมวด น้ำที่ใช้ล้างหน้าได้หรือ? กลิ่นคาว รุนแรงเสียขนาดนี้

อาหวั่นเห็นจ้าวเหิง ก็รุดรีบลุกขึ้นยืน

มิได้พบกันครึ่งปี บัดนี้จ้าวเหิงสูงขึ้นมาก

แม้ว่าจ้าวเพิ่งจะอายุมากกว่าอาหวั่นสามปี ทว่า ในตอนที่ เพิ่งมาอยู่ที่หมู่บ้าน เขาผอมกว่าอาหวั่นเสียอีก

“อาเหิง!” อาหวั่นเดินไปมาพร้อมกับใบหน้าซึ่งเต็มไปด้วย

รอยยิ้ม

ดรุณีน้อยสวมเสื้อกันหนาวผ้าสำลีตัวใหญ่จนดูอ้วนกลม ที่หัวเข่าและข้อศอกมีรอยปะชุน ดูยากจนข้นแค้นยิ่งนัก ทว่า ใบหน้ารูปไข่นั้นสะสวย พื้นที่แถบนี้หาผู้ที่งามกว่านางได้ยาก

ก่อนหน้านี้ จ้าวเหิงยังคิดว่าอาหวั่นคือสตรีที่งดงามที่สุด เท่าที่เขาเคยพบ เพียงแต่หลังจากที่พบบุตรสาวจากตระกูล ใหญ่ในเมืองหลวงแล้ว และเมื่อได้พบกับอาหวั่นอีกครั้ง เขาก็ มองเห็นเพียงกลิ่นดินกลิ่นโคลนและความยากจน

อาหวั่นมองไปยังมือของจ้าวเหิง มือของบัณฑิต นิ้วเรียวสะอาดสะอ้าน

อาหวั่นรีบมือโดนความเย็นกัดจนเข้าไปใน แขนเสื้อ นางยิ้ม และถามเขา“เจ้าทำไมหรือเพิ่งกลาง เดือน ยังไม่เช่นนั้นข้าจะเงินให้

ที่จริงเหลือสุดท้าย ยังมิซื้อของสำหรับวันขึ้นศึกษาของจ้าวเหิงสำคัญ ท่านแม่คงไม่อะไร

“อาหวั่น” จ้าวเหิงเรียกนาง

อาหวั่นหันหลังกลับมา รอยยิ้มอ่อนหวานนางซึ่งแดงเรื่อเพราะสัมผัสกับความหนาวเย็น “?”

ทำไมเล่า เจ้าไม่เรียนหนังสือแล้วหรือ” อหวั่นเอ่ยถาม ด้วยความตกใจ

จ้าวเหิงชะงักไป …

เสื้อของพลางกล่าวว่า “เจ้าวางใจเถิด ข้าเงินอยู่…ได้เข้าฤดูใบไม้ผลิ ก็จะไปเก็บในป่า! ข้าไปตัด ฟินแล้วปลูก….

อาหวั่น เงินของเจ้าเอามาจากใดจ้าวเพิ่งตัดบท
อาหวั่นรู้สึกตะลึง

จ้าวเหงกล่าวด้วยสีหน้าหนักใจว่า “เจ้ามิต้องปิดบังข้า ข้า รู้หมดแล้ว เงินของเจ้าได้มาอย่างไม่ใสสะอาด…เมื่อสองปีที่ แล้วเจ้าไม่ได้ไปบ้านท่านยาย เจ้า…เจ้าไปทำงานในหอคณิกา

สายฟ้ากลางวัน สายหนึ่งผ่าลงเหนือศีรษะของอาหวั่น

อาหวั่นผงะไป ตะกร้าสะพายหลังตกลงบนพื้น หัวผักกาด สีแดงกลิ้งกลุกๆ

อาหวั่นหน้าซีดเผือด นางมองจ้าวเหิงพร้อมกล่าวว่า “ใคร? ใครบอกเจ้า

จ้าวเหิงกำหมัดแน่น “เจ้ามิต้องใส่ใจว่าผู้ใดบอกข้า เจ้า เพียงบอกมาว่าจริงหรือไม่! เจ้าไปเป็นนางคณิกา ใช่หรือไม่

ขอบตาของอาหวั่นแดง นางจับแขนของจ้าวเทิง “อา เหิง…”

จ้าวเหิงเหลือบเห็นมือบวมๆ ของนางโดยไม่ทันตั้งตัว ก็ รีบดึงแขนกลับด้วยความกลัว

อาหวั่นสัมผัสได้ถึงความรังเกียจของเขา จึงไม่กล้าเอื้อม มือไปจับเขาอีก จึงได้แต่พูดอย่างสะอึกสะอื้นว่า “ข้าข้าไม่ได้ ไปเป็นนางคณิกา อาเทิงเจ้าเชื่อข้าเถิด เงินของข้าเป็นเงิน สะอาด! ข้านป้ายหยกไปแลก!

จ้าวเหิงเอ่ยถามนางด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เจ้านำป้ายหยก มาจากที่ใด”
“ข้าเก็บได้! อาหวั่นตอบ

จ้าวเห้งแตกดันว่า “แค่เก็บป้ายหยกไปแลกจะได้เงินมาก เพียงนี้เชียว?”

แต่เดิมเขาไม่ประสีประสา คิดว่าเงินค่าเล่าเรียนแสนแพง นี้ ล้วนได้มาจากอาหวั่นซึ่งปลูกผักและตัดฟืน ทว่าใครจะรู้

เล่า…ว่าแท้จริงแล้วอาหวั่นนำร่างกายไปแลกมา

นางไม่รู้สึกอับอายบ้างหรือ? รู้สึกหรือไม่? อาหวั่นได้หมั้นหมายกับเขาไว้แล้ว แต่ยังไปทำเรื่องพรรค์ นันกับชายอื่น!

นางสกปรกยิ่งนัก!

“อาเหิงเจ้าเชื่อข้า ข้าไม่ได้ไปเป็นนางคณิกา ข้าสาบาน ได้” อาหวั่นร้องไห้จนแทบขาดใจ นางไม่ได้ไปเป็นนางคณิกา ไม่เคยเลยจริงๆ…

ทั้งสองเติบโตมาด้วยกันมาเป็นเวลานาน จ้าวเหิงและน้อง สาวล้วนกินข้าวที่บ้านของอาหวั่น อาศัยอยู่ในบ้านของอาหวั่น เขายังจำได้ว่า ในตอนที่ทั้งหมู่บ้านต้องเผชิญกับความอดอยาก ก็เป็นอาหวั่นที่แบ่งอาหารของตน มาป้อนให้เขากินทีละค่าๆ

หากมิใช่เพราะอาหวั่น ไม่แน่ว่าเขาอาจหิวตายไปนาน

สรุปแล้วก็รู้สึกดีต่ออาหวั่น
“เจ้าวางใจเถิด เห็นแก่ที่ข้ากับเจ้ารู้จักกันมานาน ข้าจะไม่ น่าเรื่องนี้ไปบอกใคร เพียงแต่ข้าจะไม่แต่งงานกับเจ้าแล้ว จ้าวเหงกล่าวด้วยความเมตตา

จ้าวเพิ่งคิดว่า เขาทำดีที่สุดแล้ว อย่างไรเสียชื่อเสียง สำคัญที่สุดสำหรับสตรี เขายินดีรักษาเกียรติของนาง นางก็ ควรจะรู้จักพอ

จ้าวเหิงกล่าวอย่างผ่าเผยว่า “ข้าเป็นซิ่วไจ อาจารย์กล่าว ว่าความสามารถเช่นข้า สักวันหนึ่งจะได้เข้ารับราชการ แต่งงานกับสตรีที่ไม่บริสุทธิ์เช่นเจ้า…เรื่องงานแต่งข้าจะยกเลิก เอง จากนี้เจ้าไม่ต้องมาหาข้าแล้ว

กล่าวจบ จ้าวเหิงก็ไม่กล้ามองใบหน้าอันโศกสลดของอา หวั่น เขารีบเดินไปประหนึ่งกำลังหลบหนี

ทว่าเมื่อวิ่งไปได้เพียงไม่กี่ก้าว ก็ได้ยินเสียงดังราวกับมี บางอย่างตกลงไปในน้ำ

“อาหวั่น….”


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ