แฟนเก่าวันนั้น ปัจจุบันเป็นสามี ครับผม

ตอนที่3 รอยร้าว



ตอนที่3 รอยร้าว

เข้าแล้ว…

ทิมรีบตื่นแต่เข้าเพื่อไปทำงาน เขาแวะซื้อโจ๊กและกาแฟ เพื่อไปให้สิทธา และหวังว่าจะได้อธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ให้ เขาฟัง

สิทธา นั่งอยู่ในห้องทำงาน โดยมีวารีเพื่อนร่วมงานอีกคน ยืนอยู่ข้างๆ

“สรุปว่าไปโดนอะไรมา เมาแล้วเอาหน้าไปถูพื้นมาเหรอ” เพื่อนร่วมงานถามด้วยความสงสัย

“นี่ ถามทำไมไม่ตอบ หน้าขนาดนี้ไปฟัดกับหมาที่ไหน

มาเหรอ?”

แต่สิทธาไม่ตอบคำถาม เขาเอาแต่นั่งเครียดอยู่ที่โต๊ะ

ทํางาน

“สิทธา” ทิมเรียกเขาจากหน้าประตูห้องทำงาน

ทั้งคู่หันกลับมา

วารีพูดว่า “แฟนนายมาละ ทิมมาดูหน้าสิทธาหน่อยสิ ไม่รู้

ไปทําอะไรมา”

วารีหันมาพยักหน้าให้ทิม แล้วบอกว่า “ไปทิม ไปดูแล แฟนหน่อย สภาพดูไม่ได้เลย”
ทีมเดินเข้าไปหาสิทธา พร้อมถาม “สิทธา เป็นยังไงมั่ง ทา นอะไรรึยังผมซื้อโจ๊กกับกาแฟมาให้

“เราไม่เกี่ยวข้องกันแล้ว คุณไม่จำเป็นต้องมาดูแลผม สิทธาบอกกับทีมอย่างเย็นชา

“คุณกำลังพูดอะไร ถ้าเป็นเรื่องเมื่อคืน ขอให้ผมได้ อธิบายหน่อยได้มั้ย” ทิม พูดพร้อมหายใจเข้าลึกๆ เขาอยากจะ อธิบายและทำความเข้าใจกับสิทธา ทิมยังหวังว่าทั้งคู่จะกลับ ไปเป็นเหมือนเดิม

“ยังจะมีอะไรต้องอธิบายอีก พอเหอะผมเห็นมาพอแล้ว ระหว่างเรามันจบแล้ว” สีหน้าเย้ยหยันและน้ำเสียงเชือดเฉือน ของสิทธา ทำให้ทีมเจ็บปวด

นี่เหมือนไม่ใช่สิทธาที่ทิมรู้จักมาตลอดหลายปี สามปีที่คบ

กับมาสิทธา เป็นคนสุภาพ ใจเย็นและมีเหตุผล

แตกต่างจากคนที่อยู่ตรงหน้าของทิมตอนนี้

“สิทธา คุณไม่รู้จริงๆ เหรอว่าผมเป็นคนแบบไหน เราอยู่ ด้วยกันมาสามปีแล้วนะ” ทิมถามสิทธา

“สิทธาเราอยู่ด้วยกันมาสามปีแล้วคุณไม่รู้จักผมเหรอ เป็นคนแบบไหน”

สิทธาหันมามองหน้าทีมและยิ้มเยาะ “ผมคิดว่าที่ผ่านมาผมไม่ได้รู้จักคุณจริงๆ เลยต่างหาก ถ้าไม่เพราะเมื่อ คืนนี้ผมคงเห็นคุณเป็นคนแสนดีเหมือนที่ผ่านมา คุณคิดว่าผม เป็นไอ้หน้าโง่ ที่จะยอมให้คุณสวมเขาได้เหรอ ใครจะรู้ว่าลับ หลังผม คุณจะไปสำส่อนกับใครบ้าง” สิทธาถามด้วยน้ำเสียง หัวน

ทิมหน้าซีดหลังจากที่ได้ยินสิ่งที่สิทธาพูด เขาไม่คิดเลยว่า สิทธา คำพูดหยาบคายแบบนี้จะออกมาจากปากคนที่เขาคิดว่า เป็นคนที่ดีที่สุด

สายตาทิมที่มองไปยังสิทธาเต็มไปด้วยความผิดหวัง ทุก คนก็มีอดีตทั้งนั้น และระหว่างผมกับเขา มันก็เป็นอดีตไปนาน แล้ว”

“คุณหุบปากเหอะ” สิทธาตวาด

“ต่อไปนี้คุณจะไปหาใครที่ไหน ผู้ชายเก่าหรือผู้ชายใหม่ ก็เชิญมันไม่เกี่ยวกับผมแล้ว” สิทธาพูดต่ออย่างโมโห

แม้ว่าจะตกใจกับสิ่งที่สิทธาพูด แต่ทิมก็พยายามสงบสติ อารมณ์พร้อมบอกว่า “ถ้าตอนนี้คุณยังรู้สึกไม่ดี ไว้เราค่อยคุย กันทีหลัง ตอนที่คุณใจเย็นกว่านี้ดีกว่า”

ทิมวางโจ๊กและกาแฟที่ซื้อมาให้สิทธาไว้บนโต๊ะแล้วเดิน ออกไปจากห้องทํางานของเขา
ยิ่งได้เห็นทีม สิทธา ยิ่งรู้สึกโมโห เขาใช้เวลาหลายปีใน การตามจีบทิม และตอนนี้ตอนที่ทั้งคู่กำลังจะแต่งงานกัน เขากลับได้รู้ว่าทีมมีอดีต อดีตที่เขาไม่อยากยอมรับ

สิทธา มองว่าตนเองเป็นชายหนุ่มที่เพียบพร้อม เขามี อาชีพการงานมั่นคง รูปร่างหน้าตาที่ดูดีและเขาคิดว่าตนเอง เป็นแฟนที่ดีมากของทิม เขาปฏิบัติกับทิมด้วยดีเสมอมาแต่ อดีตของทิม ทำให้เขารู้สึกว่าทีมไม่คู่ควรกับเขาอีกต่อไป

ทั้งวัน ทิมทำงานด้วยความกระสับกระส่าย สมองมีเรื่อง มากมายให้เขาคิด ทั้งเรื่องการปรับความเข้าใจกับสิทธา และ เรื่องของวิน เขากลับมาแล้วจริงๆ หรือ?

เมื่อถึงเวลาเลิกงานทิมเห็นสิทธาเดินไปทางลานจอดรถ

เขารีบคว้ากระเป๋าเดินตามไป

สิทธาขึ้นรถเก๋งสีขาว รถที่ทั้งคู่ช่วยกันผ่อนมาด้วยกัน แม้ สิทธาจะเป็นคนใช้รถเสียเป็นส่วนใหญ่ แต่เขาก็ขับรถไปรับส่ง ทีม เสมอ

ทีมรีบวิ่งตามเพื่อไปขึ้นรถ แต่…สิทธาขับรถออกไปแล้ว
ทีมรีบกดโทรหาสิทธา และไม่กี่วินาทีหลังจากนั้นเขารับ

“สิทธาเลิกงานรึยัง กลับบ้านพร้อมกันมั้ย” ทีมถามสิทธา

“ยัง ผมมีงานต้องทำต่อ คุณกลับไปก่อนเลย” สิทธาตอบ เสียงห้วนแล้ววางสายทันที

ทิมวางสายพลางแค่นยิ้ม สิทธาเขาโกหกได้หน้าตาเฉย ได้อย่างไร ดูเหมือนว่าสามปี ที่ผ่านมาไม่ได้ทำให้ทีมได้รู้จัก เนื้อแท้ของผู้ชายคนนี้เลย

ในขณะที่ทิม กำลังรู้สึกสะเทือนใจกับสิ่งที่เขาเจอ อาร์ท เพื่อนสนิทก็โทรเข้ามา…

“ทิม … เลิกงานรึยัง?” อาร์ทถามทันทีที่ทิมรับสาย

“เลิกแล้ว มีอะไรเหรอ?” ทิมถาม

“มากินข้าวที่บ้าน วันนี้เราออกเวรเร็ว เดี๋ยวทำอะไร อร่อยๆ ให้กิน” อาร์ทเพื่อนสนิท มักจะพยายามทำให้ทีมรู้สึกดี

เสมอ

“กำลังหิวพอดีเลย จะรีบไปนะ”

บ้านของอาร์ท เป็นเหมือนที่หลบภัย เป็นสถานที่ที่ทีมสามารถผ่อนคลายและผ่อนคลายเมื่ออยู่ที่นั่น

ทิมเดินเข้าไปในบ้านอาร์ท และล้มตัวนอนบนโซฟาอย่าง เหนื่อยอ่อน

“อย่าเพิ่งนอน ลุกมากินข้าวได้แล้ว ชั้นทำต้มยำที่นาย ชอบไว้ด้วย”

“OK” ทิมพูด

ยังไม่ทันที่ทีมจะตักอาหารเข้าปาก อาร์ทก็ยิงคำถามที่

สงสัยใส่ทันที

“เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น? หลังจากนายออกไป วันก็ตามออก

ไปเลย ”

“เค้าตามนายไปรึเปล่า?”

“ตามไปมั้ย? ได้เจอกันมั้ย? เค้าว่ายังไงบ้าง?

“นี่นายปล่อยให้เรากินสักคำก่อนมั้ย ถามมาเป็นชุดขนาด นี้ใครจะไปตอบทัน” ทิมพูดพลางถอนหายใจ

“เออ โทษที นายกินก่อนเลย แล้วค่อยตอบคำถามเรา

ระหว่างที่ทานอาหารอยู่ มีสายเรียกเข้า จากไลลาน้องสาวของทิม
“ฮัลโหลไลลา” ทีมรับสาย แต่ยังไม่ทันจะพูดอะไรไป มากกว่านั้น เสียงน้องสาวก็แทรกเข้ามา ” พี่แม่เป็นลม ตอนนี้ อยู่ที่โรงพยาบาล พี่รีบมาได้มั้ย

“แม่เป็นอะไรมากมั้ย แล้วอยู่โรงพยาบาลอะไร ไลลา พี่จะ

รีบไป

“หมอให้แอดมิทดูอาการ ตอนนี้อยู่รพ.ลานนา ชั้น5 ห้อง 506 พี่รีบมานะ”

“พี่จะรีบไป รอแป๊บเดียวนะ

ทีมวางสายด้วยสีหน้าเป็นกังวล

“แม่เป็นอะไรทิม มีอะไรให้ช่วยมั้ย” อาร์ทถามด้วยความ

เป็นห่วง

“แม่เป็นลมตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาลลานนา” ทีมบอกด้วย น้ำเสียงเคร่งเครียด

“งั้นไป เดี๋ยวชั้นไปส่ง” อาร์ทบอกพร้อมลุกขึ้นจุดทีมให้

ลูกตาม

เมื่อทิมไปถึงโรงพยาบาลก็รีบเดินเข้าไปที่ห้องที่แม่นอน อยู่ทันที

แม่ของทิมนอนอยู่บนเตียงผู้ป่วยด้วยท่าทางเหนื่อยล้า สาวน้อยวัย 20 ผมสีดำเข้มนั่งอยู่ข้างๆแม่ เธอลุกขึ้นทันทีที่เห็น ทิมเดินเข้าไป
“พี่ มาแล้วเหรอ” ไลลา น้องสาวของทีมถาม “ไลลา มันเกิดอะไรขึ้น แล้วน้องมาอยู่นี่ได้ยังไง

ทีมถามด้วยความแปลกใจเพราะน้องสาว พักอยู่ที่หอพัก ใกล้มหาวิทยาลัยแม่โจ้ที่เธอเรียนอยู่ ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านหลาย กิโล

“หนูเลิกเรียนแล้วกำลังจะกลับหอ แต่อาข้างบ้าน โทร มาบอกว่าแม่เป็นลมอยู่หน้าบ้าน เลยรีบมาหาแม่ทันที

“แม่ก็ปกติดีมาตลอด แล้วเป็นลมขนาดนี้ได้ยังไง” ทิม ถามด้วยความกังวล

ในตอนนั้นเอง พยาบาลก็เดินเข้ามาในห้อง แล้วแจ้ง ว่า “ญาติคุณอารีย์ ถ้ามาแล้วเชิญพบคุณหมอที่ห้องค่ะ

“ไลลาอยู่กับแม่เถอะ พี่ไปคนเดียวก็พอ” ทีมบอกน้อง แล้วเดินตามพยาบาลออกไป

หลังจากทีมเข้าไปนั่งที่เก้าอี้ในห้องของหมอได้สักครู่

“ทราบรึเปล่าครับว่าผู้ป่วยเป็นโรคหัวใจ” หมอถามทันที ที่ทิมนั่งลงในห้องตรวจ

“ทราบครับ แต่แม่ก็ทานยาและมาตรวจตามนัดตลอด แล้วแม่ก็ไม่เคยมีอาการหนักแบบนี้นานแล้วนะครับ” ทิมตอบพร้อมแสดงความกังวล

“ทางเราคาดว่า ผู้ป่วยได้รับการกระทบกระเทือนทาง จิตใจอย่างรุนแรง ทำให้อาการกำเริบขึ้น หมออยากให้คุณ ระมัดระวังอย่าให้มีอะไรไปกระทบความรู้สึกของผู้ป่วยอีกนะ ครับ เพราะอาจทําให้อาการหนักกว่านี้เนื่องจากผู้ป่วยค่อนข้าง มีอายุแล้ว”

“กระทบกระเทือนจิตใจ เหรอ?” สิ่งที่ได้ยิน ทำให้ทีมรู้สึก แปลกใจ เพราะเขาและน้องกลับบ้านทุกสัปดาห์และทั้งก็มีใคร ในบ้านที่จะทำอะไรให้แม่โกรธหรือเสียใจเลย

“วันนี้หมอแนะนำให้คนไข้ แอดมิทเพื่อดูอาการหนึ่ง สัปดาห์ ก่อนนะครับ ถ้าอาการดีขึ้นหลังจากนี้ก็สามารถกลับไป พักที่บ้านได้แล้วค่อยมาตรวจตามที่หมอนัด” หมอแจ้งราย ละเอียด ให้ทราบ

หลังจากออกพูดคุยกับหมอแล้วทิมจึงเดินไปยังห้องการ

เงิน

“ผู้ป่วยคุณอารีย์ ยอดจ่ายห้าพันสี่ร้อยบาทค่ะ” เสียงเจ้า หน้าที่แจ้งให้ทมทราบ

จํานวนค่าใช้จ่ายที่ได้ยินทำให้ทีมอึ้งไปช่วงหลายปีมานี้ทิม ใช้จ่ายเงินส่วนหนึ่งไปกับค่าเล่าเรียนของ ไลลา เงินที่เหลือก็ใช้ไปกับการผ่อนรถและดาวน์คอนโดกับ สิทธาไปหมดแล้ว ตอนนี้ทีมไม่เหลือเงินเก็บเลย

ตอนนี้ทีมไม่มีทางเลือก เขาต้องใช้บัตรเครดิตรูดจ่ายค่า

รักษาพยาบาล ให้แม่

เมื่อทิมเดินกลับไปถึงห้องพัก แม่ก็ตื่นแล้ว

“แม่ตื่นแล้วเหรอ เป็นยังไงบ้าง” ทิมถามด้วยความเป็น

“มาทำไม” แม่ถามด้วยน้ำเสียงห้วน

“หนูโทรบอกพี่เอง แม่” ไลลารีบบอกแม่

“มาทำไม ฉันไม่ได้เป็นอะไร แค่เป็นลมทำไมต้องพามา โรงพยาบาล ไปไลลาพาแม่กลับบ้าน” นางอารีย์พูดพลาง พยายามยันกายลุกจากเตียงเพื่อกลับบ้าน

“แม่คะ หมอบอกให้แม่นอน หนึ่งสัปดาห์นะคะ ถ้าอาการ ดีขึ้นแล้วแม่ถึงจะกลับบ้านได้” ไลลาพยายามห้ามแม่ไม่ให้ลง จากเตียง

“ทั้งหมด เป็นเพราะแกคนเดียว ไอ้ทิม” อารีย์หันไปพูดกับ ลูกชายที่พึ่งเดินเข้ามา
“แม่พูดอะไร พี่ไม่ได้ทำอะไรเลย” ไลลาถามด้วยความ สับสนกับสิ่งที่แม่พูดออกมา

“เงียบไปเลยไลลา ถ้าไม่ใช่เพราะพี่แก ชั้นคงไม่ถูกนั่ง คุณนายนั่น ตามมาด่าถึงบ้านเรา คิดว่ามีเงินแล้วจะทำอะไร ก็ได้เหรอ พ่อแกก็ตายไปแล้วคนหนึ่ง แกอยากให้ชั้นตายตาม อีกหรือไง” อารีย์น้ำตาคลอเบ้าเมื่อพูดถึงสามีที่เสียไป

สิ่งที่นางอารีย์พูดทำให้ทีมเริ่มเข้าใจแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น กับแม่

“แม่ของวิน เขามาที่บ้านเราเหรอแม่? ทีมถาม

“แกยังมีหน้ามาถามชั้นอีกเหรอ ชั้นบอกแกแล้วใช่มั้ยว่า อย่าไปยุ่งเกี่ยวกับคนบ้านนี้อีก ทำไมแกถึงไปเจอกับมันอีก นางอารีย์ตะคอกใส่ทิมอย่างมีอารมณ์

ทีมอยากจะอธิบายให้แม่เข้าใจ แต่รู้ดีว่าหากพูดอะไรไป ตอนนี้ก็มีแต่จะทำให้แม่โกรธมากกว่าเดิม

“แม่นอนพักเถอะ ไว้พรุ่งนี้ผมจะมาหาใหม่” ทิมบอกกับ

แม่

“ถ้าไม่อยากให้ชั้นตายเร็วเหมือนกับพ่อของแกก็อย่าโผล่ หน้ามาให้ชั้นเห็นอีกจะดีกว่า” คำพูดทำร้ายจิตใจ ที่แม่พูดออกมา ทำให้ทีมรู้สึกเจ็บปวดอย่าง บอกไม่ถูก

สิบปีแล้ว แต่การตายของพ่อก็ยังคงเป็นแผลในใจของทุก คนในบ้านและทีมทั้งรู้สึกผิดและเจ็บปวดเสมอเมื่อนึกถึงสิ่งที่ เกิดขึ้น

ทีมเดินจากมาเงียบๆ

“เดี๋ยวหนูเดินไปส่งค่ะ” ไลลาน้องสาวเดินตามมาส่งเธอรู้ ดีว่าเขาคงเจ็บปวดไม่น้อย

“พี่ ไม่ต้องเป็นห่วงนะ หนูจะดูแลแม่เอง” ไลลาพยายาม ปลอบให้พี่ชายคลายกังวล

“พี่จะลางาน มาเฝ้าแม่นะ เธอจะได้กลับไปเรียน” ทีมบอก

กับน้องสาว

“นี่ค่าขนมเดือนนี้ น้องเก็บไว้นะ” ทิมพูดและควักเงินออก มาให้น้องสาว

“พี่ไม่ต้องให้หนูหรอก หนูยังมีเงินที่ได้จากงานพาร์ทไทม์

เก็บเงินไว้เถอะพี่ต้องใช้เงินอีกเยอะสำหรับงานแต่งงานนะ ไลลาพยายามปฏิเสธค่าขนมที่พี่ชายมอบให้เธอรู้ดีว่า พี่ชายมี ภาระค่าใช้จ่ายที่ต้องรับผิดชอบหลายอย่าง

“เก็บไว้เถอะ ไลลา พี่ยังพอมีอยู่ เธอควรจะตั้งใจเรียน มากกว่าเอาเวลาไปทำงานพิเศษนะ
ทีมเดินออกจากโรงพยาบาลพร้อมความรู้สึกสับสน

ทำไม และใครในครอบครัววินที่มาพบแม่ พวกเขา ต้องการจะทำอะไรกันนะ?

ทีมอยากจะถามวินจริงๆ ว่าทำไม ทำไมครอบครัวเขาถึง ต้องกลับมาสร้างความเจ็บปวดให้กับครอบครัวทิ่มอีก

ทิมหยิบโทรศัพท์ออกมาหาหมายเลขโทรศัพท์ที่วินใช้ โทรเข้ามาเมื่อคืนนี้ หลังจากลังเลอยู่สักพักเขาก็กดปุ่ม โทรออก

“วิน คุณอยู่ที่ไหน” ทิมถามทันที ที่มีการกดรับจาก

ปลายสาย

“ขอโทษค่ะ คุณวินเข้าประชุมอยู่ ไม่ทราบสะดวกฝากเรื่อง ไว้มั้ยคะ? คุณชื่ออะไรคะ?” เสียงผู้หญิงที่ไม่คุ้นเคยตอบกลับ มาจากปลายสาย

“ดิฉันชื่อรัตนา เป็นเลขาของคุณวินค่ะ คุณสามารถฝาก เรื่องไว้ได้นะคะ”

“ไม่เป็นไร ครับ” ทิมตอบสั้นๆ แล้ววางสายไป

ณ ห้องประชุมใหญ่ LP Group บริษัทพัฒนา อสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่
วินใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวเรียบกริบสวมทับด้วยสูทสีดำ นั่งอยู่ ปลายโต๊ะประชุมด้วยใบหน้าเรียบเฉย วันในฐานะลูกชายคน เดียวที่เข้ารับตำแหน่งประธานบริษัทต่อจากคุณเจริญ บิดา ทันทีที่กลับมาจากต่างประเทศ

จากผลงานการดูแลสาขาที่ต่างประเทศของวันทำให้บิดา ไว้วางใจส่งมอบอำนาจการตัดสินใจให้วินทั้งหมด

“ต่อไปเป็นการรายงาน แผนก่อสร้างคอนโดแห่งใหม่ Bright Complex” พนักงาน เกริ่นนำก่อนเริ่มประชุม

โครงการก่อสร้างคอนโดแห่งใหม่นี้ เป็นโครงการขนาด ใหญ่ ประกอบไปด้วยส่วนของคอนโดที่พักหลายอาคารและมี คอมมูนิตี้มอลล์ อยู่ในพื้นที่เดียวกันอีกด้วย

ในการประชุมครั้งนี้ มีผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ระดับสูงร่วม ประชุมมากกว่า สิบคน แต่วินกลับถอนหายใจและกล่าวว่า “โครงการนี้ผมบอกไปแล้วไม่ใช่เหรอว่าให้ ไปทบทวนมา ใหม่”

“แต่ท่านประธานครับ โครงการนี้เราวางแผนมาสองปี แล้วนะครับ ขั้นตอนการเตรียมงานก็ใกล้เสร็จแล้ว เราสามารถ เริ่มทําการปรับพื้นที่เพื่อก่อสร้างได้ทันทีที่ท่านประธานอนุมัติ นะครับ” ผู้อำนวยการ โครงการแย้งขึ้นมา อย่างกล้าๆ กลัวๆ

“เราคาดว่า โครงการนี้จะสร้างผลกำไร ให้กับบริษัทของ เราได้ไม่น้อยเลยนะครับ” เขาสำทับต่อ

วิน มองไปที่ผู้อำนวยการโครงการแล้ว พูดว่า “แต่ รายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ยังไม่ผ่านการ อนุมัติ แล้วคุณจะเริ่มสร้างได้ยังไง

“จะให้ผมอนุมัติโครงการ ไปส่งๆ แค่เพราะอยากได้กำไร เหรอ พวกคุณไปพิจารณามาใหม่เถอะ” วินพูดอย่างเย็นชา จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นแล้วเดินออกจาห้องประชุมทันทีที่พูดจบ

แผนการพัฒนาพื้นที่ของโครงการนี้จะกระทบกับโรงเรียน มัธยมที่อยู่ใกล้เคียง โรงเรียนที่มีความทรงจำระหว่างเขาและ ทิมอยู่ ความทรงจำที่มีเพียงเขาที่รู้ว่ามันมีค่ามากแค่ไหน

“เมื่อสักครู่ มีสายโทรเข้ามา แต่ปลายสายไม่ได้ฝากเรื่อง ไว้และไม่ได้แจ้งไว้ว่าเป็นใครคะ” เลขาของเขารายงานแล้วยื่น โทรศัพท์คืนให้อย่างระมัดระวัง

วินมองไปที่สายเรียกเข้าและเมื่อเห็นว่าเป็นหมายเลขของ ทิม เขาจึงรีบโทรกลับไปทันที

“ทิม คุณโทรมาหาผมเหรอ” วินกล่าวทันทีที่ทมรับสาย

“คุณอยู่ไหน ผมมีเรื่องจะคุยด้วย” ทีมถามกลับ

“ผมอยู่ที่ทำงาน คุณจะให้ผมไปเจอที่ไหน? ให้ผมไปรับ

ไหม?” วินรีบถาม

“ไม่ต้อง ไปเจอกันที่ร้านกาแฟสีขาว ตรงข้ามประตูท่าแพ ดีกว่า” ทิม นัดหมายให้วินไปเจอที่ร้านกาแฟ ที่อยู่ไม่ไกลจาก โรงเรียนที่ทั้งคู่เคยเรียน และเป็นร้านที่ทั้งคู่เคยไปนั่งด้วยกัน บ่อยๆ สมัยมัธยม

“ได้ ผมจะรีบไป” วินตอบรับ

หลังจากวางสาย วินก็ยิ้มเล็กน้อย ทำให้เลขาที่มองอยู่ รู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก ตั้งแต่เธอทำงานให้ท่านประธาน มา ยังไม่เคยเห็นเขายิ้มเลยสักครั้ง เขามักจะมีท่าทีนิ่งเฉยและ เย็นชากับทุกคน แต่ตอนนี้ การคุยโทรศัพท์กับใครบางคน กลับเรียกรอยยิ้มจากเขาได้อย่างง่ายดาย

ดูเหมือนว่าปลายสายคงจะเป็นใครบางคนที่สำคัญกับ ประธานเป็นอย่างมาก “ทิม” เป็นชื่อที่รัตนาบอกตัวเองว่าต้อง จดจําไว้ให้ดี


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ