แบดบอยคะนองใจ

บทที่ 5 ยังจะต่อยอีกครั้งนึง



บทที่ 5 ยังจะต่อยอีกครั้งนึง

เซี่ยเสว่พยักหน้า แสดงท่าทางที่เชื่อใจผมมาก ขอบคุณ เด็กผู้หญิงคนนี้ ที่ให้ความกล้ากับผมในตอนนั้น

ผมหันหน้ากลับไปอีกครั้ง สีหน้าของโจวหยางยิ่งโมโห ขึ้นไปอีก เมื่อกี้ที่ผมลูบผมของเซี่ยเสว่ เขาก็เห็นแล้ว ไม่ โมโห แปลก

ผมหัวเราะ แล้วก็กลับมาฟังครูสอนต่อ ดูๆ เหมือนกับเมื่อก่อนที่อดทนไว้ยังไงอย่างงั้น ไปแล้วก็

มีแค่ผมที่รู้ว่า ผมกำลังรอ รอการมาถึงของโอกาสนั้น

การกระทำของโจวหยางนั้นยิ่งกำเริบเข้าไปใหญ่ แล้วก็ โยนกระดูกไก่ใส่ผมต่อเนื่องไม่มีหยุด ประมาณห้านาที ครั้งนึง

ส่วนผมนั้น ไม่มีปฏิกิริยาอะไรทั้งนั้น เหมือนกับตอน มัธยมต้นไม่มีผิด

เซี่ยเสว่มองอย่างใจร้อนอยู่ข้างๆ พูดครั้งแล้วครั้งเล่าว่า “สรุปแล้วจะให้ฉันช่วยนายรึเปล่า”

แล้วผมก็พูดครั้งแล้วครั้งเล่าว่า “ฉันจัดการเอง”
ผมจะจัดการเอง ครั้งแรก ผมจะจัดการเอง

กระดูกไก่ถูกโยนมาเรื่อยๆ จากหนึ่งเป็นสองจากสอง เป็นสาม โดนหัวผมอย่างแม่นยำไม่มีพลาดอยู่ทุกรอบ

“ตั้ง”

“ติ๊ง”

กระดูกไก่เป็นชิ้นๆ นั้น ทุกครั้งที่ขว้างโดนหัวผมครั้งนึง ก็ ทำให้ความโกรธของผมเพิ่มขึ้นเปอร์เซ็นต์นึง

ส่วนหน้าของผม ก็ยิ้มอยู่อย่างนั้นไม่เคยเปลี่ยน

ต่อหน้าผู้หญิงที่ชอบ อย่างน้อยการรักษาท่าทางเอาไว้ก็ เป็นสิ่งที่จำเป็นมากเหมือนกัน

ไม่นาน กระดูกไก่ที่ละเอียดนั้นก็ตกอยู่เต็มพื้นข้างๆ ผม

คุณครูภาษาอังกฤษนั้นพูดสอนจนเข้าสู่ช่วงสุดท้ายแล้ว เธอใช้เวลาได้เยี่ยมาก และตอนนี้ก็ใกล้ถึงตอนที่ กําลังจะเล็กตาบแล้ว

“ครั้งสุดท้ายแล้ว” ผมแอบพูดในใจว่า “นี่เป็นครั้ง สุดท้ายแล้วที่โดนโจวหยางรังแก”

และทันใดนั้น หัวของผมก็โดนไปอีกหนึ่งที นี่ก็เป็นครั้ง สุดท้ายแล้วเหมือนกัน ครั้งนี้ไม่ใช่กระดูกไก่ แต่เป็นกระ ดาษทิชชู ขย่าเป็นก้อน

พอโจวหยางกันกระดูกไก่เสร็จแล้ว ก็ใช้กระดาษทิชชู เช็ดน้ามันบนมือ จากนั้นก็ขย่าเป็นก้อนแล้วขว้างมา

ไม่เจ็บเลยสักนิด แต่กลับทำให้ความโกรธของผมนั้นถึง ขีดสุดได้

หมัดทั้งสองข้างของผมกำแน่น อารมณ์นั้นอัดแน่นขึ้น เซี่ยเสวมองผมด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวล เธอ ไม่รู้ว่าผมจะทำอะไร

ผมไม่รู้ว่าเอาความกล้ามาจากไหน จู่ๆ ก็จับมือของเซีย เสว่ไว้ แล้วก็พูดเบาๆ ว่า “ขอบคุณเธอมากนะ”

เซี่ยเสวมองผมด้วยความแปลกใจ แต่ก็ไม่ได้เอามือเก็บ กลับไป
“กริ่ง………. ” ทันใดนั้น เสียงกริ่งก็ดังขึ้น

ครูสอนภาษาอังกฤษกำลังพูดสรุปก่อนจบคาบอยู่ แล้ว จู่ๆ ผมก็ลุกขึ้นแล้วตะโกนไปทีนึง

เสียงตะโกนของผมปนอยู่กับเสียงกริ่ง แล้วเพื่อนในห้อง ก็หันกลับมามองผมด้วยความตกใจ

ผมรีบไปพุ่งไปที่ข้างหน้าต่าง ยกกระถางดอกไม้มาก ระถางนึง รวบสามก้าวให้เหลือสองข้าง แล้วทุ่มไปข้างๆ ของโจวหยาง

โจวหยางมองผมด้วยความอึ้งทึ่ง ในขณะเดียวกันก็หด หัวกลับไปข้างหลังตามสัญชาตญาณ

กระถางดอกไม้นั้นหล่นไปที่ไหล่ของเขาแรงๆ ดินที่อยู่ ข้างในก็ร่วงหล่นลงมาบนพื้น

น่าเสียดายจริงๆ น่าจะขว้างไปบนหัวของมันตั้งแต่แรก

ในหัวของผมว่างเปล่าไปหมด ไม่มีเวลาไปคิดเยอะ ขนาดนั้นแล้ว กระถางดอกไม้นั้นโดนผมขว้างอยู่ที่พื้น กำปั้นนั้นร่วงไปบนหน้า บนไหล่ บนหลังเหมือนเม็ดฝน….….…….. อัดอั้นความโมโหมาตั้งสามปี ในที่สุดตอนนี้ก็ได้เอาคืน แล้วจริงๆ
เสียงกริ่งนั้นหยุดไปตั้งแต่แรกแล้ว แต่ในห้องนั้นไม่มีคน เลิกเรียน ตั้งแต่ครูยันนักเรียน ก็มองมาที่ผมกับโจวหยาง อย่างอึ้งทึ่ง

โจวหยางก็อึ้งไปหมดเหมือนกัน ประมาณว่านึกไม่ถึงว่า จู่ๆ ผมจะชกเขา กลับยอมให้ผมต่อยแบบโง่ๆ อีกด้วย

มือทั้งคู่ของผมหยุดไปที่คอของโจวหยาง ใช้แรงทำให้ เขาล้มลงไปที่พื้น จากนั้นก็ใช่เท้าเตะไปที่กระดูกซี่โครง เขาแรง

“ใครให้มึงรังแกกู ใครให้ถึงแก..….….…..” ผมเตะไปด้วย ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบแม่ของโจวหยางไปด้วย

ใช้ทั้งมือทั้งเท้า มือต่อยเท้าเตะ ทุกหมัดทุกเท้านั้นหล่น

ไปบนตัวของโจวหยางอย่างไม่หยุดหย่อน

“หวางห้าว พอได้แล้ว” ครูภาษาอังกฤษตะโกนเสียงดัง อยู่บนแท่นหน้าห้อง

ในที่สุดพวกเพื่อนๆ ในห้องก็รู้สึกตัวขั้น พากันลุกขึ้นมา มีอยู่สองสามคนที่ดึงแขนของผมไว้ แล้วลากผมไปอยู่อีก ฝั่งนึง

ไม่รู้ว่าทำไม จู่ๆ น้ำตาก็ไหลเต็มหน้าผม “กูจะเอามึงให้ตาย กูจะเอามึงให้ตาย” ผมตะโกนอยู่อย่างงั้น โหวกเหวก โวยวาย ยังอยากที่จะกระทืบโจวหยางต่อ

สามปีแล้ว สามปีแล้ว

ผมรอคอยเวลานี้ มานานมากแล้ว นานมากแล้ว

เพื่อนในห้องพากันกรูเข้ามา โจวหยางลุกขึ้นมาปัดไป บนตัว แววตานั้นยังนิ่งอึ้งอยู่ กลับไม่ได้พุ่งมาที่ผม หลี่เจ๋ นั้นก็พุ่งเข้ามา เดินไปข้างๆ โจวหยางแล้วพูดอะไรบาง อย่าง แต่ผมก็ไม่ได้กลัวพวกเขา ยังคงยกหมัดง้างมืออยู่ “มาสิ เชื่อไหมว่ากูจะเอามึงให้ตายไปเลย”

คุณครูสอนภาษาอังกฤษยังอยู่บนแท่นพูด แล้วก็พูดไม่ หยุดว่า “พอแล้ว พอแล้ว ฉันจะไปฟ้องครูประจำชั้นของ พวกนายแน่” ประมาณว่าในสายตาของเธอนั้น โจวหยาง เป็นผู้ถูกกระทำ ส่วนผมนั้นกลายเป็นคนที่รังแกคนอื่นไป ซะแล้ว

ผมเลยเลือกที่จะลงมือในตอนนี้อีก เพราะรู้สึกว่ายังไง พวกหลี่เจ๋ก็คงไม่ต่อยผมต่อหน้าครูหรอก

แล้วก็เลือกตอนที่เสียงกริ่งดังขึ้นนั้น ซึ่งเป็นจิตวิทยาที่ แปลกมาก ความกลัวของผมที่มีต่อโจวหยางยังคงฝันลึก อยู่ในกระดูก เพราะฉะนั้นก็เหมือนว่ากำลังให้คำสั่งกับตัว เองว่า “ให้ลงมือตอนที่กริ่งดังขึ้น” ผมพูดคำนี้ในใจตัวเองไม่หยุดว่า “ให้ลงมือตอนที่กริ่งดังขึ้น ให้ลงมือ ตอนที่เสียงกริ่งดังขึ้น!” ดูเหมือนคำนี้เป็นโปรแกรมอย่าง หนึ่งที่ป้อนเข้ามาในหัวของผม เพื่อเพิ่มพลังให้กับตัวเอง

ในห้องชุลมุนไปหมด มีคนที่ล้อมอยู่ข้างผม แล้วก็มีคน ที่ล้อมอยู่ข้างโจวหยาง พวกหลี่เจ๋นั้นกำลังพยุงโจวหยาง อยู่ ในขณะเดียวกันก็จ้องมองมาที่ผมอย่างเคียดแค้น

ครูภาษาอังกฤษเห็นสถานการณ์สงบลงแล้ว นึกว่าคงจะ ไม่ต่อยกันขึ้นอีกแล้ว ก็ดึงประตูห้องเรียนแล้วก็เดินออก

ผมนั่งอยู่บนที่นั่งของตัวเอง หายใจหอบๆอยู่ โจวหยางก็ นั่งอยู่บนที่นั่งของตัวเอง แล้วก็กระซิบกระซาบกันกับพวก หลี่เจ๋ เซี่ยเสวีที่อยู่ข้างๆ ผมก็ดึงแขนผม “นายไม่เป็นไร ใช่ไหม”

“ไม่เป็นไร” ผมส่ายหน้า อารมณ์ที่พลุ่งพล่านนั้น ค่อยๆ กลับสู่ความเป็นปกติ แล้วความกลัวก็เข้ามาในหัว อารมณ์นี้ระเบิดไปแล้ว ยังไงโจวหยางก็ไม่ปล่อยไปอย่าง ปรานีแน่นอน ต่อไปเขาต้องร่วมมือกับพวกหลี่เจ่แล้ว กระทืบผมแน่นอน

ผมเงยหน้ามองพวกเขาหลายๆ คน พวกเขายังคงแอบๆ ปรึกษากันอยู่ อีกอย่างก็มองมาผมเป็นครั้งคราว

อยู่ตรงนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว พวกเขาสามารถพุ่งเข้ามาต่อย ผมร่วงได้ตลอดเวลา แล้วความได้เปรียบเมื่อกี้ก็จะสูญ เปล่าไปทั้งหมด ผมลุกขึ้นทันที แล้วก็เดินออกจากห้องไป

ตอนที่เดินไปถึงหน้าประตูห้องเรียนนั้น จู่ๆ โจวหยางที่ อยู่แถวสุดท้ายก็พูดว่า “นายอย่าเพิ่งไป ถ้านายไปแล้ว ฉันจะต่อยใครล่ะ

ผมหยุดเดิน ยืนอยู่หน้าประตู มองดูโจวหยางที่อยู่แถว สุดท้าย แล้วพวกหลี่เจ๋ก็จ้องมองผมเหมือนกัน

“เที่ยงแล้วฉันจะกลับหอ” แล้วผมก็พูดว่า “ฉันจะต่อย

นายอีกครั้งนึงแน่”

พูดจบ ผมก็เดินออกห้องเรียนไป

บนหน้ายังมีคราบน้ำตาที่ยังไม่แห้งอยู่ ในตอนที่เดิน ออกจากตึกเรียนนั้นก็มีลมพัดมา กระทบหน้าแรงจนเจ็บ แปล้บๆ

ผมนึกย้อนถึงฉากเมื่อกี้อย่างตั้งใจ ระบายอารมณ์ได้ มากพอแล้ว แต่ที่ไม่พอใจนั้นก็คือการที่ตัวเองยังร้องไห้อยู่อีก แล้วผมก็หดหู่ไป ครั้งนี้ผมเป็นคนต่อยโจวหยาง ก่อน ทำไมตัวเองถึงยังร้องไห้อยู่อีก ช่างไม่มีประโยชน์ จริงๆ ไม่รู้ว่ามีคนเห็นแล้วก็หัวเราะไปตั้งเท่าไหร่

แต่พอนึกว่าได้กระทืบโจวหยางแล้ว ในใจก็สบายสุดๆ พอนึกถึงว่าตอนกลางวันยังต้องกลับหอพักอีก ก็มืดมน ขึ้นอีกครั้ง

เมื่อกี้ตอนอยู่หน้าประตูนั้นได้พูดจาปากกล้าไปแล้ว บอกว่าตอนเที่ยงยังจะกระทืบของอีกทีนึง ห้าวใช้ได้อยู่ เหมือนกัน แต่จริงๆ แล้วผมนั้นไม่ได้มีความสามารถขนาด นั้น

ไม่ต้องคิดก็รู้ว่า พอกลับไปที่หอพักตอนเที่ยงแล้ว โจ วหยางกับพวกหลี่เจ๋ต้องรอผมอยู่แน่นอน จากนั้นก็ปิด ประตู…….

พอนึกถึงว่าต้องเผชิญกับผลที่น่าเศร้า ผมก็อดที่จะตัว สั่นไม่ได้

แต่อย่างน้อยผมก็กล้าพูดประโยคนั้นออกมาแล้ว ในใจ ก็วางแผนไว้หน่อยๆ ไม่มากก็น้อย ก็กลัวแค่ว่าแผนนั้นจะ ตามความเปลี่ยนแปลงไม่ทันก็แค่นั้น

เป็นแบบนี้น่ะ ก่อนที่จะมาโรงเรียนมัธยมปลายเฉิงหนาน หยู่เฉิงเฟยที่เป็นเพื่อนบ้านเคยบอกกับผมว่า ถ้าทางนี้มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ก็ไปหาเขาได้ตลอดเวลา ถึง แม้ว่าตอนนี้จะไม่ได้เอามาใส่ใจเท่าไหร่ แต่หลังจากที่มา ถึงโรงเรียนมัธยมเมืองเป่ยหยวนแล้ว ปกติเวลาหลังเลิก เรียนก็จะไปเที่ยวเล่นที่ร้านเกม

ขึ้นชื่อว่าร้านเกมแล้ว แน่นอนว่าต้องมีคนผสมผสานกัน มีคนอยู่ทุกแบบ นักเลงแต่ละแบบก็มีเหมือนกัน

ที่ใกล้ๆ โรงเรียนมัธยมปลายเฉิงหนานนั้น นอกจาก วิทยาลัยอาชีวศึกษาเฉิงหนานแล้ว ตรงข้างยังมีโรงเรียน โรงเรียนมัธยมที่เจ็ดเมืองเป่ยหยวนที่มีทั้งมัธยมต้นและ มัธ แน่นอนว่าคุณภาพของโรงเรียนนั้นตาม โรงเรียนมัธยมปลายเฉิงหนานไม่ได้อยู่แล้ว คุณภาพของ นักเรียนก็ต่างกันอยู่แล้ว ทั้งสามโรงเรียนนี้มารวมอยู่ด้วย กัน ธุรกิจร้านเกมที่อยู่รอบๆ นั้นก็ยิ่งรุ่งโรจน์เข้าไปอีก

ในตอนที่ผมเข้าไปอยู่ในร้านเกมนั้น บางครั้งก็ได้เจ อกับหยู่เฉิงเฟย หยู่เฉิงเฟยนั้นเป็นนักเรียนของวิทยาลัย อาชีวศึกษาเฉิงหนาน มักจะเห็นเขามาเล่นเกมกับเพื่อน ของอยู่บ่อยๆ วิทยาลัยของพวกเขานั้นขึ้นชื่อในเรื่อง อันธพาลกับนักเลง ก็ดูออกว่ากลุ่มพวกของหยู่เฉิงเฟยก็ ไม่ใช่คนดี

เพราะฉะนั้น ผมในตอนนั้นก็หวังเกาะไปที่ตัวของหมู่ เฉิงเฟย แต่ถึงหยู่เฉิงเฟยพวกเขานั้นจะเป็นนักเลงอยู่ใน รั้วโรงเรียนอยู่ไม่เบา แต่ก็ไม่จำเป็นต้องยื่นมือมาถึงโรงเรียนมัธยมปลายเฉิงหนาน นี่เป็นจุดที่ผมค่อนข้างขึ้ ขลาด ถ้าหยู่เฉิงเฟยไม่สะดวกที่จะลงมือ ก็ถือว่าวันนี้ผม ได้ลงมือแล้ว

โรงเรียนมัธยมปลายเฉิงหนานนั้นเข้มงวดสุดๆ เวลาเข้า เรียนนั้นจะออกไปนอกโรงเรียนไม่ได้ ผมต้นอยู่ที่หน้า ประตูกับลุงยามเฝ้าประตูอยู่สักพัก แล้วสุดท้ายก็เลือกที่ จะปีนรั้วโรงเรียน นึกไม่ถึงเลยว่านักเรียนที่เรียนดีอย่าง ตัวเองก็มีวันที่หนีเรียนวันนึงเหมือนกัน ช่างทำให้คนน่า อายจริงๆ

ในตอนที่เดินอยู่บนทางไปร้านเกมนั้น ผมก็คิดอีกว่า “ถ้าเกิดว่าหยู่เฉิงเฟยไม่ได้อยู่ร้านเกมล่ะ จะทำยังไง” ตอนนั้นคนทั่วไปต่างก็ไม่มีโทรศัพท์ สามารถใช้เครื่อง สื่อสารพกพาได้ก็ถือว่าเจ๋งแล้ว แล้วก็ไม่มีวิธีที่จะติดต่อ หยู่เฉิงเฟยได้ แล้วก็คิดด้วยความหมดหวังอีกว่า “ถ้าห ยู่เฉิงเฟยไม่อยู่ที่ร้านเกม ก็ถือว่าพังแล้ว” ถ้ากลับไปที่ หอพัก การกระทืบหนึ่งยกนั้นต้องมีแน่นอน ผมรู้ว่าโจว หยางนั้นลงมือได้โหดเหี้ยม ตอนอยู่มัธยมต้นก็โดนเขา ต่อยมาไม่น้อย

ผมคิดไปเรื่อยอยู่ แล้วก็ตัดสินใจว่า ถ้าหยู่เฉิงเฟยไม่อยู่ ที่ร้านเกม ผมก็จะไม่เรียนหนังสือแล้ว พับผ้าห่มกลับบ้าน ก็ไม่ต้องโดนเขารังแกแล้ว

คิดอยู่แบบนี้ แล้วผมก็เดินเข้าไปในร้านเกม ตั้งแต่เช้า ตรู่ ในร้านเกมก็ไม่มีใคร ผมกวาดสายตาไปรอบนึง ก็ไม่เจอแม้แต่เงาของหมู่เฉิงเฟยในใจนั้นอึดอัดเหมือนโดนน้ำ เยืนสาดเข้ามายังไงอย่างงั้น แล้วผมก็คิดอีกว่า “เดี๋ยวเขา ก็คงมาแหละมั้ง” แล้วก็นั่งลงไป มองไปที่ประตูร้านเกม

คนที่มาจากทั้งสามโรงเรียนนั้นเดินเข้ามาไม่หยุด ดูจาก อัตราส่วนแล้วโรงเรียนมัธยมปลายเฉิงหนานนั้นน้อย ที่สุด ผมจ้องไปที่หน้าแต่ละคน แต่ในนั้นกลับไม่มีเงาของ หยู่เฉิงเฟยปรากฏตัวขึ้นเลย ในใจก็เริ่มมีความสิ้นหวังเข้า มาหน่อยๆ แล้ว

รอไปสักประมาณครึ่งชั่วโมง ร้านเกมก็มีเกือบจะเต็ม แล้ว ผมลุกขึ้น เดินไปเดินมาในร้านเกมอยากลุกลี้ ลุกลน ไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี

ในร้านเกมนั้น เห็นได้ชัดว่าแบ่งเป็นสามก๊ก นักเรียน แต่ละโรงเรียนนั้นแบ่งแปะตามสัญลักษณ์อาวุธ เหมือน กับว่ามีที่เป็นของตัวเองยังไงอย่างงั้น


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ