แบดบอยคะนองใจ

บทที่ 11 เพราะกลัวว่าโลกจะไม่วุ่นวาย



บทที่ 11 เพราะกลัวว่าโลกจะไม่วุ่นวาย

ในขณะที่ผมกำลังมีความสุขอยู่นั้น ไม่ไปคิดเรื่องที่โจ วหยางคิดค้างการ”คุกเข่า”ผมอยู่ เพียงแค่ไม่มาหาเรื่อง ผมอีก ไม่ว่าใครจะไม่สนใจใคร ทุกคนต่างเดินไปตาม ทางของตัวเอง ผมเป็นคนชอบไกล่เกลี่ยเพื่อยุติความขัด แย้ง เพียงแต่ผมรู้สึกได้ถึงว่าโจวหยางกับหลี่เจ๋และคน อื่นๆเหมือนจะเดินใกล้กันมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังมักจะพูด อะไรลับหลัง เห็นได้ชัดว่าบางครั้งสีหน้าของโจวหยางก็ดู ร้อนรนมาก แต่หลี่เจ๋กลับส่ายหน้าถอนหายใจไม่หยุด

ผมไม่รู้ว่าตกลงพวกเขากำลังคุยปรึกษาอะไรอยู่กันแน่ มันเกี่ยวกับผมหรือไม่ ผมไม่อยากจะไปคิดเรื่องพวกนี้ ผม คาดหวังว่าจะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขดุจดั่งสายน้ำ ผม พบว่าตำแหน่งของผมในห้องค่อยๆสูงขึ้นมาเรื่อยๆ มีครั้ง หนึ่งผมล้างเท้าเสร็จ น้ำล้างเท้าอยู่ในกะละมัง ยังไม่ทัน ได้ไปเททิ้ง ก็มีเพื่อนนักเรียนอาสาไปทิ้งให้ผมจะไปพอดี เลย”เขาพูดพลางหัวเราะไปด้วย หลังจากนั้นก็ยื่นบุหรี่ ม้วนหนึ่งมาให้ผม

จะนั่งเรียน หรือกินข้าวล้วนมีเพื่อน บางครั้งมีสองสาม คน บางครั้งสี่ห้าคน แต่ผมยังคงรู้สึกเหงาอยู่ เป็นเรื่องที่ แปลกมาก

ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับเซี่ยเสวก็ค่อยๆดีขึ้นมา เรื่อยๆ อาจจะเพราะได้รับการกำลังใจจากหลิวจื่อหง ใน บางจังหวะผมจะชอบเอาตัวเข้าไปใกล้ชิดกับเธอนักเรียนที่อยู่ในห้องก็รู้สึกหวาดกลัวผมเล็กน้อย ไม่กล้า พูดอะไร โดยเฉพาะเพื่อนที่นั่งโต๊ะเดียวกันกับเซี่ยเสว่ ขอ เพียงแค่ไม่ใช่คาบของครูประจำชั้น เขาก็จะผมนั่งที่ตรง นั้นอย่างว่าง่าย ตลอดทั้งวัน เวลาส่วนใหญ่จะคลุกอยู่กับ เซี่ยเสว่ซะมากกว่า ยิ่งอยู่ผมก็ยิ่งชอบหญิงสาวน่ารักคนนี้ เรื่อยๆ

วันนั้นในคาบวิชาภาษาอังกฤษเขาเอากระถางดอกไม้ ทุ่มใส่หัวของโจวหยาง ในที่สุดเรื่องนี้ก็ไปถึงหูของครู ประจำชั้น ถึงครูวิชาภาษาอังกฤษจะไม่ได้ฟ้อง ก็ต้องมี นักเรียนที่ปากว่างเอาเรื่องไปฟ้องจนได้ ครูประจำชั้น เรียกผมเข้ามาพบในห้องพักครู แล้วถามเรื่องเหตุการณ์ ที่เกิดในวันนั้น ผมพูดอย่างจริงใจ”ครูเก่อ ไม่มีอะไรหรอก ครับ ไม่อะไรจริงๆ ผมกับโจวหยางมาจากตำบลตงกวน เหมือนกัน ในเวลาปกติเรามีความสัมพันธ์ที่ดีมากเลยนะ ครับ วันนั้นแค่ทะเลาะกันนิดหน่อย ตอนนี้เราดีกันแล้ว ครับ”

ผมเชื่อว่าโจวหยางไม่มีทางเอาเรื่องที่เขาถูกตีไปฟ้อง ครูประจำชั้นหรอก เขาเป็นคนรักศักดิ์ศรีมาก ไม่ไปหาครู เพื่อจัดการเรื่องนี้หรอก

ครูประจำชั้นเห็นผมพูดแบบนั้น จึงไม่พูดอะไรอีก การ ผิดใจกันระหว่างนักเรียนเป็นเรื่องปกติ เขาเป็นถึงครู ประจำชั้นจึงมีหน้าที่ขจัดปัญหาเหล่านี้ ตอนนี้นักเรียน จัดการปัญหากันเองได้ แน่นอนว่าเขาเองก็เบาใจลงได้ แล้วจบเรื่องนี้ไป
เซี่ยเสว่เป็นนักเรียนในท้องที่เป่ยหยวน มักจะเห็นเพื่อน ต่างห้องแวะเวียนมาเล่นกับเธออยู่บ่อยๆ มีทั้งผู้ชายและผู้ หญิง ท่าทางดูเป็นมิตรของเธอนั้น หน้าตาเป็นอาวุธชั้นดี เธอมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีมาก เพราะฉะนั้นผมคิดว่า ถ้าหาก ผมให้เธอออกหน้าช่วย เรื่องของโจวหยางต้องสามารถ จัดการได้แน่ แต่สุดท้ายก็หลีกเลี่ยงเสียงซุบซิบนินทา ของเพื่อนคนอื่นๆไม่ได้ อย่างน้อยฉายา”เกาะผู้หญิง กิน”เขาก็จะต้องแบกรับมันอย่างแน่นอน

เซี่ยเสวีเป็นเด็กสาวที่เฉลียวฉลาด ระหว่างที่เรียนอยู่ นั้นยังสามารถเขียนข้อความใส่กระดาษส่งมาให้ผม เธอ หนึ่งประโยคผมหนึ่งประโยค แถมยังมักจะส่งอิโมจิน่ารักๆ ในนั้นด้วย พวกเราคุยกันตั้งแต่เรื่องเรียนไปจนถึงเรื่อง จักรวาล เรียกได้ว่าน่าเบื่อมากๆ ความเหงาตลอดระยะ เวลาสามปีระหว่างที่เรียนชั้นม.ต้นนั้น เพราะฉะนั้นผม จึงอ่านหนังสือมาเยอะมากๆ ต่อหน้าของเซี่ยเสวีผมเลย เสแสร้งแกล้งทำว่าเป็นคนมีความรู้ แต่เธอเหมือนจะไม่ สนใจ ไม่ว่าผมจะคุยเรื่องอะไร เธอก็จะโต้ตอบกับผม

เด็กสาวนิสัยดี เธอเป็นเด็กสาวที่นิสัยดีมาก เพียบพร้อม ไปด้วยหน้าตาและความสามารถ สามารถเรียกได้เลยว่า เป็นสาวงามที่เพอร์เฟคไร้ที่ติ

ผมเริ่มค้นหาวิธีการสารภาพรัก สิ่งที่ผมสับสนมากที่สุด นั่นก็คือตกลงเซี่ยเสว่ชอบผมหรือไม่ เธอร่าเริงและกับผมมากจริงๆ แต่ก็ทําแบบนี้กับผู้ชายคนอื่นๆเหมือน กัน ตอนเรียนเราใช้กระดาษโต้ตอบกันไปมา ข้อความใน กระดาษจากผู้ชายคนอื่นๆเธอก็ตอบกลับเหมือนกัน ดูไป แล้วเธอจะปฏิบัติต่อทุกคนเหมือนๆกัน รอยยิ้มที่มีให้ผม ก็ไม่ได้แตกต่างจากคนอื่นๆ แน่นอนว่า เพราะเธอโกรธ เรื่องที่ผมถูกโจวหยางรังแก แต่นี่ไม่สามารถเหมารวมได้ ว่าเธอชอบผมเข้าให้แล้ว อาจจะเป็นเพราะเธอเป็นคนที่ จิตใจดีมาก ไม่อาจเห็นคนถูกรังแกได้เท่านั้นเอง

เพราะจุดนี้นี่เอง ทำให้ผมรู้สึกทุกข์ใจมาก ก่อนหน้าที่จะ รู้คำตอบชัดเจนนั้น ผมตัดสินใจจะปล่อยเรื่องสารภาพรัก ไปก่อน

ประมาณหนึ่งสัปดาห์ผ่านไป ผมรู้สึกว่ามีเรื่องไม่ชอบพา กลอีกแล้ว

โจวหยางเห็นผมไม่หลบหน้าหลบตาอีกต่อไป แต่ผิด ปกติไป เขาทำท่าทำทางยโสโอหัง อีกทั้งยังจ้องมองไป ที่ฟ้า ราวกับสายตาของเขาไม่มีผมอยู่ในนั้นก็ไม่ปาน นี่ คือการดูถูกเหยียดหยาม เป็นการเย้ยหยัน แต่ทว่า ผมไม่ สนใจเขา ขอแค่เพียงไม่รังแกผมก็พอแล้ว ตอนนี้พอมา คิดๆดูแล้ว ผมทำมันไปเพราะ“ความพึงพอใจ”ของตนเอง แต่มันคือความเศร้า ทั้งๆนี่คือสัญญาณเตือนแท้ๆ!

นักเรียนในห้องค่อยๆหายไปเรื่อยๆไม่สนใจผมอีก คนที่นั่งเรียนกับผม กินข้าวกับผมก็ใช้ข้ออ้างว่าขอตัวก่อน ผมรู้สึกสงสัยมาก แต่กลับไม่ได้แสดงมันออกมาเป็น พิเศษ อย่างไรเสียคนพวกนี้จะพูดหรือไม่พูดก็ไม่ได้มี ความหมายอะไรกับผมอยู่แล้ว เป็นเพียงแค่ใบหญ้าที่ล้ม ลงกับกำแพงเท่านั้น ขอแค่เซี่ยเสว่ยังคุยกับผมอยู่ ขอแค่ ไม่มีคนรังแกผมก็พอแล้ว

สุดท้ายถึงได้รู้ว่า โจวหยางทำอะไรผมลับหลังอีกแล้ว

ในคาบของครูประจำชั้น ผมปลีกตัวออกจากเซี่ยเสว่ กลับไปยังที่นั่งเดิม หลิวจื่อหงเอ่ยเสียงเบากับผมว่า “สอง สามวันนี้ระวังหน่อยนะ พวกของโจวหยางกับหลี่เจ๋จะหา คนมาจัดการนายอีกแล้ว!

หัวใจของผมกระตุกหนึ่งครั้ง แล้วถามไปว่า”จริงหรอ? ”

หลิวจื่อหงมองไปรอบๆอย่างระมัดระวัง เหมือนกับว่า เขาเป็นสมาชิกพรรคใต้ดินยังไงอย่างงั้น แล้วพูดเสียง เบา”จริงเหรอ โจวหยางพูดกับนักเรียนในห้องเราว่าคราว นี้นายจบเห่แน่ ยังเตือนว่าให้ทุกคนห้ามเข้าใกล้นายอีก ไม่อย่างนั้นเมื่อเกิดไฟไหม้ขึ้นมาแม้แต่ปลาในบ่อก็มีเวลา ไม่ดีได้ หลังจากจบเรื่องจะมาคิดบัญชีกับพวกเขา”

ครั้งนี้ ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมหลายวันมานี้ถึงได้รู้สึกอ้างว้างขึ้นมาอีกแล้ว

“นายต้องรีบส่งข่าวบอกคนที่วิทยาลัยเทคนิคอะไรนั้นที่ ชื่อว่า’พี่เลี่ยง ได้แล้วนะ……” หน้าของหลิว อหงเต็มไป ด้วยความกังวล

สถานการณ์แบบนี้ หลิวจื่อหงยังสามารถส่งข่าวบอกผม ได้ ผมรู้ดีต่อคนคนนี้ที่ดูเหมือนคนซื่อบื้อสี่ตาแล้วล่ะ

“ฉันคุยกับนายไม่ได้แล้ว” หลิวจื่อหงกระวนกระวายเล็ก น้อย”ถ้าถูกพวกโจวหยางเห็นจะต้องซวยแน่ นายเข้าใจ ฉันหน่อยนะ”พูดจบ เขาก็ย้ายหนังสือของเขาขยับออก ไป แบ่งเขตกับผมอย่างชัดเจน ทําท่าเหมือนปกติไม่มี อะไรเกิดขึ้น

ผมหันกลับไป เหลือบมองไปที่โจวหยางที่อยู่ด้านหลัง

โจวหยางมองมาที่ผมพอดี

เขามองเห็นผมหันกลับมา ทันใดนั้นมุมปากก็แสยะยิ้ม ขึ้น หลังจากนั้นก็ใช้นิ้วทำท่าลั่นไกปืน มาที่ผม

“ปิ้ว! ” โจวหยางทำปาก

แต่ผมกลับไม่ลังเลที่จะชูนิ้วกลางขึ้นให้เขา
ถึงแม้ภาพโดยรวมผมจะห่างไกลจากเขามาก แต่นั่นก็ ทําให้สีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นหน้าเสียในทันที

น่าจะเป็นเพราะว่าเขาไม่อาจรับการถูกผมเหยียบบน หัวได้ เพราะฉะนั้นขอเพียงแค่ผมมีท่าทีต่อต้านเพียงเล็ก น้อย ก็จะสามารถโหมไฟแห่งความโกรธของเขาได้

“ทำอะไรนะพวกนายสองคน! “ครูประจำชั้นเคาะโต๊ะ เสียงดัง พูดขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์

พวกเขาทั้งสองรีบเก็บสีหน้าและการกระทําของตนเอง ลงไป นักเรียนในห้องต่างพากันหันมา

นอกจากครูประจำชั้นแล้ว ทุกคนต่างรู้ดีว่าจะเกิด สงครามขึ้นอีกครั้งแล้ว

เวลาเลิกเรียน ผมรีบไปหาเย่จ่างทันที เล่าเหตุการณ์ทุก อย่างให้เขาฟัง

“จริงเหรอ? ” เย่จ่างพูดขึ้นอย่างไม่อยากจะเชื่อ”พวกโจ วหยางยังวางแผนกัดไม่ปล่อยอีกเหรอ? มีชีวิตเยอะเกิน ไปแล้วสินะ! ฉันจะไปคุยกับหลี่เจ๋เอง! ”

“จริงแท้แน่นอน”ผมไม่ค่อยร้อนรนเท่าไหร่ แต่พูดขึ้น อย่างนิ่งเฉย”ในห้องต่างพูดกันหนาหู ถ้าโจวหยางไม่ มั่นใจคงไม่มีท่าทียโสโอหังแบบนี้หรอก”ฉุกคิดอีกครั้งจึงพูดต่ออีกว่า”สรุปแล้วนายคอยจับตาดูสถานการณ์ใน ห้องของเราหน่อยนะ ถ้ามีเรื่องอะไรก็รีบวิ่งมาทันทีเลย นะ!

“ได้ ไม่มีปัญหา” เย่จ่างพูดอีกว่า”ไปกันเถอะ นายกับฉัน ไปหาหลี่เจ๋พร้อมกัน ดุสิไอ้หมอนั่นตกลงมันจะทำอะไร กันแน่”

ดูจากบทสนทนาข้างบนแล้วสามารถดูออกได้ว่า ผมกับ เย่จ่างเราสองคนเห็นความสำคัญต่างกัน ผมพูดถึงแต่โจ วหยาง แต่เขากลับพูดถึงหลี่เจ๋ไม่ขาดปาก ในใจของผม โจวหยางต่างหากที่เป็นศัตรูที่ใหญ่ที่สุดของผม แต่ในใจ ของเย่จ่างทําได้เพียงแค่อาศัยหลี่เจ

ผมกับเย่จ่างเดินมาจนถึงหน้าห้องเรียน หลี่เจ๋จึงรีบเดิน ออกมาอย่างรวดเร็ว

“อั้ยหยา ลมอะไรถึงพัดเทพองค์ใหญ่แบบนา ยมาเนี่ย? –

“น้อยๆหน่อยเถอะ” เย่จ่างชกไปที่หลี่เจ๋หนึ่งที หัวเราะ พลางพูดขึ้นมาว่า“เกิดเรื่องอะไรขึ้นอีกแล้วเนี่ย ยังกัดไม่ ปล่อยอีกเหรอวะ? ”

มีจุดหนึ่งที่ไม่จำเป็นต้องสงสัย เย่จ่างกับหลี่เจไม่ใช่คนที่ เดินบนเส้นทางเดียวกัน ถึงแม้จะโตด้วยกันมา แต่กลับมีอำนาจแตกต่างกัน เพราะฉะนั้นความสัมพันธ์ของพวก เขาจึงไม่เลวนัก ต่างคนต่างไว้หน้าซึ่งกันและกัน ต่างคน ต่างเหลือทางไว้ แต่สุดท้ายก็ไม่ใช่พี่น้องที่จะแลกใจกัน ได้

“อะไรคือกัดไม่ปล่อยกัน? ” หลี่เจ๋ทําท่าทําทางงุนงงไม่ เข้าใจ

“ได้ยินว่าพวกแกจะหาคนมาจัดการหวางห้าวงั้นเหรอ วะ? ” ใบหน้าของเย่จ่างยังคงเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เรื่อง การวางแผนหายไปอย่างมองไม่เห็น

“ที่ไหนกัน!” หลี่เจรีบปฏิเสธทันควัน”แกไปฟังเรื่องไม่ เป็นเรื่องพวกนั้นมาเนี่ยนะ? ครั้งก่อนพวกเราเคลียร์กัน จบแล้วไม่ใช่เหรอ ตั้งแต่นี้ต่อไปเราต่างคนต่างเดิน ใครก็ อย่าหาเรื่องใคร แกวางใจเถอะ คนอย่างหลี่เจ๋พูดคำไหน คำนั้น!

“อืม ฉันเชื่อใจนาย” เย่จ่างหัวเราะ แล้วยื่นบุหรี่ให้หลี่เจ๋ ไปหนึ่งม้วน

หลี่เจ๋เดินกลับเข้าห้องไป เย่จ่างกะพริบตาปริบๆใส่ ผม“เป็นไงล่ะ ฉันบอกนายแล้วไงว่าไม่มีอะไรหรอก”

ผมพยักหน้า เย่จ่างกับหลี่เจ๋เป็นอันธพาลชั้นม.สี่ที่มีหน้า มีตา ถ้าหากเรื่องนี้หลี่เจ๋โกหกเย่จ่างแล้วล่ะก็ ถ้าเจอหน้ากันจะมองหน้ากันยังไง?

“ไม่ต้องไปฟังคนนินทาของคนในห้องหรอกนะ พวกเขา กลัวว่าโลกนี้จะไม่มีความวุ่นวายแค่นั้นเอง! ” เย่จ่างพูด ทิ้งไว้หนึ่งประโยคแล้วก็เดินจากไป

หรือผมจะสงสัยเงาสะท้อนของคันธนูเป็นงู (กระต่าย

ตื่นตูม) ?

สีหน้าของหลี่เจ๋เมื่อครู่ จริงใจมาก เขาไม่ได้โกหกเย่จ่าง เย่จ่างเองก็ไม่มีทางให้เขาหลอกง่ายๆแน่

หรือโจวหยางจะแค่โม้เท่านั้น เพื่อกู้หน้าจากเรื่องที่เกิด ขึ้นครั้งนั้นกลับมา ความเป็นจริงแล้วเขาไม่ได้ไปหาใคร หรอก ชื่อของ”เมิ่งเลี่ยง”ก็ทําให้เขาตกใจแล้ว หลี่เจ๋ไม่มี ทางเอาตัวเข้าเสี่ยงหรอก

พอคิดเรื่องนี้ออกแล้ว ผมจึงถอนหายใจ แล้วกลับเข้า ห้องเรียนไป นั่งกลับที่เดิม พอคิดไปคิดมาเขายังคงรู้สึก ไม่ปลอดภัย จึงหันไปพูดกับหลิวจื่อหงว่า”ถ้าเกิดอะไรขึ้น กับฉัน นายช่วยไปเรียกเย่จ่างหน่อยนะ”

หลิวจื่อหงไม่สนใจผม ยังคงท่องศัพท์ต่อไป อีกทั้งยัง

ท่องเสียงดังมาก

“นายได้ยินไหมเนี่ย? “ผมขมวดคิ้วเป็นผม ไอ้หมอนี่ขึ้กลัวเกินไปแล้ว

หลังจากนั้นผมก็ได้ยินเขาพึมพ์ท่องศัพท์ภาษาอังกฤษ ออกมาสามคํา………………

” “ผมหัวเราะอย่างขมขื่นไปหนึ่งครั้ง ไอ้หมอนี่ กลัวโจ วหยางจะตามมาคิดบัญชี แต่ไม่กลัวว่าผมจะแตกหักหลัง จากจบเรื่องนี้?

เพราะว่าวิเคราะห์ปัญหานี้อยู่ ผมจึงไม่ได้ไปนั่งข้างๆ เขีย เสว่ พอเรียนจบคาบ เซี่ยเสวกลับมานั่งข้างๆผม


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ