บทที่ 9
บทที่ 9
“จะสวมจะใส่อย่างไร ก็ไม่มีทางปิดความเป็นเด็กบ้าน นอกยากจนคนหนึ่งของนายหรอกนะ!”
ยังไม่ทันที่อีกฝ่ายจะรับสาย เขาก็ได้ยินคำพูดของจ้าว เผิงขึ้นมา แต่ไป์ยี่เฟยก็ทำเป็นไม่แยแส “คนบ้านนอก อย่างฉันซื้อได้ก็แล้วกัน แล้วนายล่ะ ซื้อได้งั้นหรือไง?”
จ้าวเผิงได้ยินก็อึ้งไป เขาซื้อไม่ได้เลยแม้แต่นิด เพราะ เงินทุนของบริษัทที่ผันผวนไปมา เขาจะมีเงินที่ไหนพอจะ ไปซื้อของพวกนี้กันล่ะ?
หากพูดแบบนี้ แสดงว่าเขาก็เหมือนกับคนจนบ้านนอก แบบนั้นน่ะสิ?
ขณะนั้นอีก อีกฝ่ายก็รับสายของเขาพอดี
“ฮัลโหล ผู้ช่วยหลง ฝากแจ้งผู้จัดการที่หลันโปสั่งให้ด้วย นะ บอกว่าให้ยกเลิกการเซ็นสัญญากับบริษัทโฆษณาเฟย เผิงเลยนะ”
หลงหลิงหลิงที่อยู่อีกสายก็ขมวดคิ้วแน่น “ท่านประธานคะ…”
“นี่เป็นการแจ้ง ไม่ใช่การปรึกษา” ไป์ยี่เฟยพูดจบก็วาง สายลงทันที
จ้าวเผิงที่ได้ยินชื่อผู้ช่วยของโหวจวี่กรุ๊ปกับชื่อบริษัท ของเขาเอง เขาก็นิ่งอึ้งไปทันที แต่หลังจากนั้นก็หัวเราะร่า ขึ้น “นี่สมองนายมีปัญหาใช่ไหมไปยี่เฟย? คิดว่าจะแสร้ง โทรศัพท์ ฉันจะเชื่อว่านายรู้จักกับผู้ช่วยหลงจริงๆ อย่าง นั้นหรือ?”
“ถึงจะรู้จัก แล้วนายคิดว่านายเป็นใครล่ะ? หากนายพูด อะไรแล้วผู้ช่วยหลงก็จะทำแบบนั้นหรือไง?” ไป๋เฟยยิ้ม อย่างไม่รู้สึกรู้สาอะไร “ไม่ได้มาเจรจาเรื่องสัญญาหรือ ไง? การไม่รักษาเวลาไม่ใช่เรื่องดีเลยนะ”
“นี่นาย!” จ้าวเผิงกัดฟันกรอด “ฝากไว้ก่อนเถอะ!”
พูดจบ จ้าวเผิงก็เดินเข้าไปหาผู้จัดการทันที เพราะ สัญญาฉบับนี้มันสำคัญต่อเขามาก จะต้องไม่มีความผิด พลาดใดๆ เกิดขึ้นเลย
ขณะนั้นเอง พนักงานที่จัดการเรื่องเซ็นสัญญาเสร็จ เรียบร้อย ก็กลับมาหาเขา พร้อมกับเอาทุกอย่างที่จัดการ จนเสร็จเรียบร้อยแล้ว มาส่งให้เขากับมือ
ไปยี่เฟยก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ ก่อนจะหยิบข้าวของ ต่างๆ แล้วเดินออกไปทันที
ส่วนจ้าวเผิงนั้น หลังจากที่เขาเดินเข้าไปหาผู้จัดการ ผู้ จัดการก็ออกมาต้อนรับเขาด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม
“ยินดีที่ได้พบครับประธานจ้าว”
จ้าวเผิงเองก็ยิ้มตอบ “ยินดีเช่นกันครับผู้จัดการหลิวยิน
ดีๆ”
ทั้งสองคนก็นั่งลง แล้วก็เริ่มคุยกันเรื่องสัญญาข้อตกลง
ทันที
เพียงแต่เริ่มคุยไปไม่กี่นาที ผู้จัดการหลิวก็ได้รับ
โทรศัพท์จากหลงหลิงหลิง “ขอโทษนะครับ ขอตัวไปรับ สายก่อนนะครับ”
“เชิญเลยครับ” จ้าวเผิงก็ไม่กล้าที่จะไปขัดจังหวะอะไร
ผ่านไปเพียงไม่นาน ผู้จัดการหลิวก็คุยเสร็จ ถึงในใจจะ มีข้อสงสัยเต็มไปหมด แต่เขาก็ยังท่าตามคำขอร้องที่ว่า
หลังจากเดินเข้ามา จ้าวเผิงก็ยิ้มพูดให้กับเขา : “กลับมา แล้วหรือครับผู้จัดการหลิว? ถ้าอย่างนั้นพวกเรามาคุยกัน ต่อเถอะครับ”
แต่ผู้จัดการหลิวกลับไม่ได้นั่งลงแต่อย่างใด เขากลับพูด ขึ้นมาว่า : “ต้องขอโทษด้วยนะครับ พอดีว่าพวกเราตัดสิน ใจ จะไม่ทำสัญญากับบริษัทของคุณแล้วน่ะครับ
พลันรอยยิ้มของจ้าวเผิงก็แข็งทื่อไปทันที เขานิ่งตะลึง งั้นอยู่แบบนั้น
นี่มันเป็นไปได้อย่างไรกัน?
เมื่อกี้นี้มันไม่ใช่แบบนี้นี่!
“ผู้จัดการหลิวเมื่อสักครู่นี้พวกเรายังคุยกันดีๆ อยู่เลย ไม่ใช่หรือครับ? ทําไมจู่ๆ ถึงได้…” จ้าวเผิงแทบไม่อยาก จะเชื่อ
แต่ผู้จัดการหลิวทำแค่ตอบกลับอย่างเรียบเฉย : “เป็น เพราะคุณไปผิดใจกับคนที่ไม่ควรไปผิดใจด้วยน่ะสิครับ เพราะฉะนั้นหลังจากนี้โหวจวี่กรุ๊ปจะไม่มีทางทำสัญญา ใดๆ กับบริษัทคุณแล้วล่ะครับ”
ปัง!
จ้าวเผิงเหมือนกับถูกสายฟ้าฟาดอย่างไรอย่างนั้น จน ทั่วทั้งตัวเขาชาไปหมด
ไปผิดใจกับคนที่ไม่ควรผิดใจด้วยงั้นหรือ?
แล้วเขาไปผิดใจใครกันล่ะ?
ขณะนั้นเอง จ้าวเผิงก็คิดถึงตอนที่ไปยี่เฟยคุยโทรศัพท์ เมื่อกี้ขึ้นได้ ก่อนที่ดวงตาจะเบิกโพลงอย่างตกใจ
“ไป์ยี่เฟย? เป็นไป์ยี่เฟยใช่ไหมครับ?” จ้าวเผิงลุกขึ้น
พรวด ก่อนจะถามขึ้น
แต่ผู้จัดการหลิวไม่รู้จักไป์ยี่เฟยมาก่อน แล้วก็ไม่รู้ด้วย ว่าประธานคนใหม่ของบริษัทคือไปยี่เฟย เขาทําเพียง ตอบไปว่า : “ประธานจ้าวครับ ผมแค่ทําตามคําสั่งของ เบื้องบนเท่านั้นครับ ส่วนเรื่องอื่นๆ ผมไม่รู้เลย
โดยที่ไม่รอให้จ้าวเผิงได้พูดอะไร ผู้จัดการหลิวก็พูดขึ้น ต่ออีกว่า : “พอดีผมยังมีธุระที่ต้องทำอีกน่ะครับ ขอเชิญ ประธานจ้าวครับ”
จ้าวเผิงถูกเชิญออกอย่างมีมารยาท
ทันทีที่เดินมาถึงห้องโถงของสำนักงานขาย จ้าวเผิงก็ยัง คงมีอาการเหม่อลอยอยู่แบบนั้น “นี่มันเป็นไปไม่ได้!
ไปยี่เฟยมันก็เป็นแค่คนบ้านนอกคอกนาเท่านั้นนี่นา ทำไมถึงไปรู้จักกับผู้ช่วยหลงได้ล่ะ?
ยิ่งไปกว่านั้น ความสัมพันธ์นี้มันเกี่ยวข้องถึงผลกำไร ของบริษัทเลยนะ แต่ผู้ช่วยหลงกลับทำตามคำสั่งของไป ยี่เฟยโดยไม่มีเหตุผลโต้แย้งสักคำเลยหรือ?
ใช่แล้ว มันต้องเป็นแค่เรื่องบังเอิญแน่ๆ! เมื่อกี้นี้เขาก็แค่ ทําให้เขาตกใจก็เท่านั้นล่ะ!
ซึ่งคนที่แทบจะไม่เข้าใจถึงสถานะของไปยี่เฟยในตอนนี้ ทําให้เขาคิดไม่ถึงเลยว่า ไป๊ยี่เฟยจะเป็นถึงประธานของ โหวจวี่กรุ๊ปจริงๆ
หลังจากที่ไป์ยี่เฟยกลับมาถึงห้องที่หลี่เสวีเช่าไว้ เขาก็ พบว่าหลี่เสว่ยังไม่ได้กลับมา เขาจึงเข้าห้องไป แล้วถอด เปลี่ยนชุดสูทที่เขาสวมอยู่ เอาไปซ่อนไว้ในตู้เสื้อผ้าทันที
หลังจากที่ออกมาเขาก็ไปเปิดตู้เย็นดู ก็พบว่ายังมี กับข้าวเหลืออยู่ ไป์ยี่เฟยจึงถกแขนเสื้อขึ้น เพื่อเตรียมจะ ไปทําอาหาร
ทันทีที่ทําเสร็จ หลี่เสว่ก็กลับมาพอดี
“ไป์ยี่เฟย?” หลี่เสว่ได้ยินเสียงดังออกมาจากในครัว
ไปยี่เฟยที่สวมผ้ากันเปื้อนไว้ ทำให้เขาดูเหมือนกับพ่อ บ้านคนพิเศษเลย “กลับมาแล้วหรือ? ผมเพิ่งจะทำอาหาร เสร็จพอดีเลย อีกเดี๋ยวก็ได้กินแล้วล่ะ”
หลี่เสวพยักหน้า เธอมองร่างของไปยี่เฟยที่เดินเข้าห้อง ครัวไป ก็รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นขึ้นมาทันที
หลังจากกินข้าวเสร็จ ไป์ยี่เฟยก็ลุกไปล้างจาน เพื่อให้ หลี่เสว่ได้พักผ่อน หลี่เสว่เองก็ไม่ได้พูดอะไรมาก ก่อนจะ กลับห้องของเธอไปแต่โดยดี
พอเขาออกมาจากห้องครัวหลังจากที่ล้านจานเสร็จ ไป ยี่เฟยก็มองไปที่ประตูห้องของหลี่เสวีที่ปิดสนิท ก่อนจะ ถอนหายใจดังเฮือก แล้วกลับห้องของตัวเองไป
พลันเขาก็ได้ยินเสียงคุยโทรศัพท์กันระหว่างหลี่เสบู่กับ โจวฉวี่เอ๋อดังมาจากห้องข้างๆ
“วันนี้เหนื่อยจังเลยที่รัก!”
“เป็นอะไรไป? ไปเจอเรื่องอะไรอีกล่ะ?”
โจวฉวี่เอ๋อส่งเสียงพ่นลมทางจมูก “ก็ไปเจอตาแก่โรคจิตน่ะสิ! แถมแววตายังดูบ้ากามด้วยนะ!”
“หา แล้วเธอไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”
“ไม่เป็นอะไรหรอก ต้องขอบคุณประธานของโหวจวี่กรุ๊ป คนนั้นเลยล่ะ เพราะเขามาปกป้องฉันเอาไว้ได้พอดี อ๊ะ พอพูดถึง
เขา ฉันก็รู้สึกใจเต้นทันทีเลยนะ!”
“ใจเต้นงั้นหรือ? กับประธานของโหวจวี่กรุ๊ปคนนั้นน่ะ นะ?”
“ก็ใช่น่ะสิ!” โจวฉวี่เอ๋อพูดไปพลางยิ้มไปอย่างน่ารักด้วย
หลี่เสว่ที่ได้ยินแบบนั้นก็พูดอะไรไม่ออก “อายุของ ประธานโหวจวี่กรุ๊ปน่าจะเยอะแล้วไหม? แล้วเธอเห็นไหม ว่าเขารูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร?”
โจวฉวี่เอ๋อจึงเอาเรื่องทั้งหมดเล่าให้หลี่เสว่ฟังรอบหนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นอีกว่า : “ฉันไม่สนใจหรอกนะ แต่ดูจากด้าน หลังดูเขายังหนุ่มๆ อยู่เลย คงไม่น่าเกินสามสิบหรอก แต่ ถึงอย่างไรฉันก็ใจเต้นอยู่ดีล่ะนะ!”
หลี่เสว่จําเป็นต้องพูดเตือนสติเพื่อนขึ้น : “เธอก็อย่าคิด ให้มันมากเกินไปล่ะ คิดถึงความเป็นจริงเสียหน่อยก็ดี นะ ไม่แน่ว่าประธานอย่างเขาอาจจะเห็นว่า เรื่องที่เกิดกับ พนักงานของเขามันไม่เหมาะไม่ควร เขาจึงออกหน้าแบบ นั้น ฉันคิดว่าเธอคงไม่รู้จักแม้แต่ว่าเขาเป็นใครใช่ไหมล่ะ
“ไม่ถึงกับขนาดนั้นหรอก แต่พอพูดขึ้นมา ฉันรู้สึกว่าพอ มองจากด้านหลังฉันรู้สึกคุ้นๆ อยู่หน่อยนะ น้ำเสียงก็ใช้ เหมือนกับสามีของเธอไป์ยี่เฟยเลย นี่สามีของเธอไม่ใช่ คนรวยที่ปกปิดตัวตน แล้วไปเป็นประธานของโหวจวี่กรุ๊ป จริงๆ ใช่ไหม?”
“จะเป็นไปได้อย่างไรกันล่ะ?” หลี่เสว่เบิกตาโพลง
โจวฉวี่เอ๋อก็หัวเราะลั่นขึ้นมา
ไป์ยี่เฟยที่นอนฟังผู้หญิงทั้งสองคนคุยกัน ก็ฝืนยิ้มอย่าง ขมขื่น ถ้าหากว่าโจวฉวี่เอ๋อรู้ว่าประธานของโหวจวี่กรุ๊ป เป็นเขาแล้วล่ะก็ คงจะต้องคลั่งไปแน่ๆ
สำหรับเสบู่เอ๋อนั้น มันคงยากที่เธอจะยอมรับล่ะนะใช่ ไหม? เห็นๆ อยู่ว่าตัวเขาเองเป็นคนที่มาจากบ้านนอก แล้วจะไปเป็นประธานของโหวจวี่กรุ๊ปได้อย่างไร?
วันต่อมา ตอนเช้าตรู่ ณ ห้องประชุมของกิจการผลไม้หลี่
ชื่อกรุ๊ป
พนักงานตระกูลหลี่ทั้งหมดของบริษัทต่างก็มาถึงกันครบ แล้ว
นายท่านหลี่หันไปมองทุกคน ก่อนจะพูดอย่างเคร่งขรึม ว่า : “ที่บริษัทมาจนถึงทุกวันนี้ได้ เพราะผ่านการฝ่าฟันมา ถึงสามชั่วอายุคน แต่ปัจจุบันนี้เทคโนโลยีพัฒนาไปอย่าง รวดเร็วเกินไป ทําให้การจัดการของบริษัทเสื่อมถอยลง”
“แต่การจะเปลี่ยนรูปแบบ เพื่อริเริ่มโครงการใหม่นั้น จำเป็นต้องใช้เงินทุนมหาศาล
พอนายท่านหลี่พูดจบ เขาก็ส่งสัญญาณให้กับผู้ช่วย ให้
เอาเอกสารแบ่งส่งออกไป ให้กับคนหนุ่มคนสาวทั้งหลาย
“พวกเราต้องการเงินทุน นี่เป็นกิจการที่พวกเธอจะต้อง ไปเจรจาเรื่องเงินทุนด้วย จะสำเร็จหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับพวก เธอทุกคนแล้วล่ะ”
“ถือเสียว่าเป็นโอกาสในการฝึกฝน ถ้าหากเรื่องเงินทุน ในครั้งนี้ ใครทำได้โดดเด่นมากที่สุด หลังจากนี้ก็จะได้รับ การดูแลอย่างดี จากตระกูลของพวกเรา
หลังจากที่เขาพูดเงื่อนไขนี้ไป ทุกคนต่างก็ดูจะตื่นเต้น ดีใจขึ้นมา ทุกคนต่างก็ถูนวดมือ ราวกับอยากจะลงมือ เต็มแก่
แต่พอหลี่เสว่เห็นกิจการของตัวเองเท่านั้น เธอก็ขมวด
คิ้วแน่นทันที
กิจการที่เธอต้องไปคุยเป็นกิจการของหลิ่ว อกรุ๊ป ซึ่ง เป็นบริษัทที่หลิ่วจาวเฟิงอยู่นั่นเอง
เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อสองวันก่อนยังคงเป็นภาพติดตาเธอ อยู่เลย เธอไม่มีทางยอมที่จะไปพบหน้ากับหลิ่วจาวเฟิง แน่ๆ
แต่ว่า ตอนนี้มีอยู่คนหนึ่งที่ดีใจเสียเต็มประดา
หลี่ผ่านเห็นว่าบริษัทของหลี่เสวีเป็นหลิ่วซื่อกรุ๊ป เขาก็ปิ๊ง ความคิดขึ้นมาทันที
เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ