เจ้ากุหลาบซ่อนหนาม

บทที่ 7 ปิดประตูไม่รับแขก



บทที่ 7 ปิดประตูไม่รับแขก

พ่อบ้านที่อยู่หลังประตูตัวสั่นเทาไปทั้งตัว

นี่เป็นครั้งแรกที่คุณหนูรองพูดด้วยน้ำเสียงเด็ดขาดเช่น นี้ ภายในใจของเขาสั่นเทาเล็กน้อย แต่พอนึกถึงความ รังเกียจเดียดฉันท์ของท่านหวางเฟยที่มีต่อคุณหนูรอง รวมถึงเงินที่คุณหนูสามตบรางวัลให้ในกระเป๋าเสื้อ

พ่อบ้านพยายามแข็งแกร่ง แล้วพูดเสียงดังขึ้นมาว่า “คุณหนูรอง บ่าวไม่อาจฝ่าฝืนคำสั่งของท่านหวางเฟยได้ หรอกขอรับ”

พอได้ยินคำพูดนี้ เวินชื่อก็รู้ว่า จะต้องเป็นเวินจิ่นกับท่าน ย่าผู้แสนดีของนางที่เป็นคนออกคำสั่งอย่างแน่นอนว่าให้ ปิดประตูไม่ต้อนรับนาง ไม่ให้เวินชื่อกลับเข้าจวน

ดวงตาของเวินชื่อค่อยๆถูกย้อมไปด้วยน้ำค้างแข็ง นาง มองหรูเอ๋อร์ที่อยู่ข้างๆแล้วพูดว่า “ไปเชิญจิงจ้าวยิ่นมา ข้า อยากจะดูสักหน่อย ว่าวันนี้ ใครมันจะกล้าไม่ให้บุตรสาว คนโตแห่งจวนอ๋องหัวผู้สง่างามอย่างข้าเข้าไปในจวน” (จิง จ้าวยิ่น เป็นผู้ดูแลราชธานี)

“เจ้าค่ะ” หรูเอ๋อร์ตอบรับ แล้ววิ่งเยาะๆออกไป

จวนอ๋องหัวอยู่ไม่ไกลจากตลาดของเมืองหลวง และอ่องหัวก็มีฐานะเทพเจ้าสงครามแห่งราชวงศ์เทียนห รง เป็นที่รักของประชาชนในราชวงศ์นับไม่ถ้วน ในวัน ธรรมดาจะมีประชาชนหลายคนเดินทางผ่านไปมา เพียง เพื่อให้สามารถมองเห็นเทพเจ้าสงครามผู้นี้หรือความ กว้างใหญ่ไพศาลของจวนอ๋องหัวได้จากระยะไกล

ในเวลานี้ เวินชื่อกำลังยืนอยู่ที่หน้าประตูอย่างโดด เดี่ยวเดียวดายพร้อมกับกระเป๋าเดินทาง แม้ว่าร่างเงา จะสูงสะโอดสะองและเพรียวบาง แต่เมื่อเทียบกับประตู ใหญ่ของจวนอ๋องหัวอันมหึมาบานนี้แล้ว ก็ดูอ่อนแอและ บอบบางเป็นพิเศษอย่างเห็นได้ชัด

ปกติเวินซื่อก็ไม่ใช่หญิงสาวอ่อนช้อยบอบบางที่ไม่ ออกนอกประตูใหญ่ไม่ร่วงข้ามประตูสอง นางสนใจใน ประเพณีและกิจกรรมบางอย่างในตลาดเป็นพิเศษ และ สถานที่ที่มีเครื่องประดับที่ล้ำค่าและกำยานแดงหลายๆ แห่ง ก็เป็นสถานที่ที่นางไปเยือนเช่นกัน

โดยเฉพาะอย่างยิ่งนางยังมีชื่อว่าเป็นสี่สาวงามแห่ง เทียนหรง ทำให้นางเป็นที่รู้จักในหมู่ประชาชนเป็นอย่างดี

ในเวลานี้นางกำลังยืนอยู่ เม้มริมฝีปากบางๆ สีหน้าที่เป็น ชาและลักษณะท่าทางที่เย่อหยิ่งที่อยากจะตัดเช่นนี้ ได้ ดึงดูดผู้คนรอบตัวมากมายให้เดินผ่านเข้ามา
“นี่คุณหนูเวินรองหรือไม่? ทำไมมายืนอยู่นอกจวนเยี่ยง นี้เล่า?”

“ในอากาศช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วงเช่นนี้ ทำไมคุณหนู รองถึงได้ใส่เสื้อผ้าบางๆตัวเดียวเยี่ยงนี้?”

“ไอ้หยา แล้วพ่อบ้านล่ะ ทำไมยังไม่มาเปิดประตูให้คุณ หนูรองอีก?”

ผู้คนมารวมตัวกันรอบประตูของจวนอ๋องหัวและเริ่มโห ร้องเสียงดัง บางคนถึงกับเคาะประตูให้เวินชื่อเลยทีเดียว

พ่อบ้านที่อยู่ภายในประตูเหงื่อออกทั้งตัวด้วยความ หวาดกลัว แล้วรับใส่กลอนประตูให้แน่นหนา แล้วสั่งให้ ข้ารับใช้ที่อยู่ข้างกายไปรายงานท่านหวางเฟยและคุณ หนูสามทันที

พอเห็นบรรดาผู้คนที่ซื่อสัตย์เหล่านี้ ภายในหัวใจของ เวินซื่อก็อบอุ่นขึ้นมาเล็กน้อย ในขณะเดียวกันก็พูดในใจ อย่างเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ว่า คราวนี้ นางจะไม่ปล่อยให้ท่าน พ่อถูกใส่ร้ายกลั่นแกล้งอย่างไม่เป็นธรรมอีก และนางจะ ไม่ยอมให้คนร้ายมาทำร้ายผู้คนในเทียนหรงแห่งนี้เป็น อันขาด

เมื่อเห็นว่าร้องตะโกนและเคาะประตูอยู่นาน แม้แต่คนตาบอดก็ได้ยินเสียงการกระทำและคำพูดนั้น แต่ประตู จวนอ๋องหัวนี้ก็ยังไม่เปิดออก ด้วยเหตุนี้ ผู้คนมากมายจึง เริ่มพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาอย่างเซ็งแซ่

“ท่านอ๋องหัวรักและเอ็นดูคุณหนูรองถึงเพียงนั้น คนใน จวนนี้ทำเยี่ยงนี้ได้อย่างไร?”

“หรือว่าท่านหวางเฟยไม่ชอบคุณหนูรอง เลยไม่ให้ใคร

เปิดประตูให้นาง?”

“แปลกจัง เหตุใดคุณหนูรองถึงได้กลับเข้าจวนในตอน เช้าตรู่เช่นนี้ล่ะ…”

ในขณะที่ได้ยินคำวิพากษ์วิจารณ์ของกลุ่มคนเหล่านี้ ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ เวินชื่อก็มองด้วยสายตาที่เย็นชาเล็ก น้อย ถอนหายใจเบาๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่อบอุ่นว่า “ท่านย่าดีต่อชื่อเอ๋อร์มาก ทุกท่านได้โปรดอย่าคาดเดา เอาเองซุ่มสี่ซุ่มห้าเลยนะเจ้าค่ะ ก่อนหน้านี้เป็นเพราะ ซื่อเอ๋อร์ทำผิด อย่างไรท่านย่าก็ต้องลงโทษ ซื่อเอ๋อรู้ดี เจ้าค่ะ…” แม้ว่าน้ำเสียงของเวินชื่อจะดูมีน้ำใจและเชื่อฟัง มากอย่างนั้น ถึงกับกล่าวคำพูดดีๆแก่ท่านหวางเฟย

แต่ทว่า พอหลายคนได้เห็นหยดน้ำตาปรากฏออกมา จากมุมตาของเวินซื่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าสาวงามที่ สวยเลิศล้ำและเย็นชามีน้ำตา ดูเหมือนว่าจะทำให้ผู้คน เวทนาสงสารมากขึ้นกว่าเดิม
“ลงโทษก็ไม่เห็นจะต้องทำถึงขนาดนี้เลยนะ!” ใครบาง คนเห็นสภาพของเวินชื่อ ก็เลยอดไม่ได้ที่จะพูดออกมา

ในเวลานั้นเอง ขุนนางชั้นผู้ใหญ่แห่งเมืองหลวงจิงจ้าวยิ่ นก็เดินมาอย่างรีบร้อน พอเห็นฝูงชนที่ห้อมล้อมอยู่หน้า ประตูจวนของท่านอ๋อง รวมถึงเวินชื่อที่ยืนอยู่อย่างโดด เดี่ยว เขาก็รู้สึกโมโหในใจ

“นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น?

จิงจ้าวยิ่นเป็นลูกศิษย์ของท่านอ๋องหัว แล้วก็เป็นพี่น้อง ร่วมสาบานของอ๋องหัวพ่อของเวินชื่อด้วย ปกติเขาจะรัก และเอ็นดูเวินชื่อมากเหมือนกับบุตรสาวของตัวเอง พอ มองเห็นเวินชื่อกำลังยืนอยู่หน้าประตูจวน อีกทั้งประตู จวนยังถูกปิดแน่น เขาจึงบันดาลโทสะขึ้นมาในทันที

เขารีบถอดเสื้อคลุมที่อยู่บนตัวออกแล้วนำมาสวมบน ไหล่ของเวินซื่อ บนใบหน้าที่มุทะลุดุดันเต็มไปด้วยสีหน้า ที่เป็นกังวล เขาพูดขึ้นมาว่า “เสี่ยวซื่อเป็นอะไรไป ทำไม ถึงได้สวมเสื้อผ้าบางๆตัวเดียวแล้วมายืนอยู่หน้าประตู เช่นนั้น?พ่อบ้านที่ดูแลจวนไปไหนล่ะ! “

“ท่านลุงหู” มุมตาของเวินซื่อแดงเล็กน้อย ในขณะที่ กำลังมองไปยังจิงจ้าวยิ่นผู้มีร่างกายสูงใหญ่และกำยำ ล่ำสันที่ยืนอยู่ตรงหน้านาง ความเศร้าอาดูรและความคิดถึงที่ไม่มีที่สิ้นสุดภายในหัวใจก็พรั่งพรูออกมา

จิงจ้าวยิ่นหูเก๋อ ก็เป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่เชื่อในท่านพ่อ ของนางในชาติที่แล้ว เพราะความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้น ฉันพี่น้องที่มีต่อท่านพ่อ เขาถึงกับทัดทานราชสํานัก จนถูกปลดออกจากตำแหน่งและถูกเนรเทศให้ไปอยู่ ชายแดนเลยทีเดียว

“เกิดอะไรขึ้น? เจ้าบอกลุงหู ลุงหูจะจัดการให้เจ้าอย่าง แน่นอน” จิงจ้าวยิ่นพูดด้วยสีหน้าท่าทางที่เปิดเผยตรงไป ตรงมาและเป็นห่วงเป็นใย

ดังนั้น เวินชื่อจึงบอกเรื่องที่เป็นจิ่นทุบพระพุทธรูปหยก ที่อดีตฮ่องเต้พระราชทานให้แตก แล้วโยนความผิดมา ให้ตนเอง และท่านย่าก็โกรธเกรี้ยวจึงให้นางไปอยู่ที่บ้าน สวนนอกชานเมืองกับหูเก๋ออย่างละเอียดไม่มีตกหล่นเลย แม้แต่นิดเดียว

พอหูเก๋อฟังจบ เขาก็ขมวดคิ้วขึ้นมาด้วยความโกรธทันที แล้วพูดด้วยความโมโหขึ้นมาว่า “กำเริบเสิบสานนัก! เวิน จิ่นอายุยังน้อย คิดไม่ถึงเลยว่าจะร้ายกาจเช่นนี้! ท่านหวา งเฟย…คิดไม่ถึงเลยว่าจะสับสนมึนงงได้ถึงขนาดนี้!”

แม้ว่าหูเก๋อจะเป็นลูกศิษย์ของท่านอ๋องหัว แต่ท่านหวา งเฟยที่อยู่ในจวนตอนนี้ กลับไม่ใช่ภรรยาคนแรกของท่านอ๋อง แต่ทว่าคือภรรยาที่ถูกยกย่องขึ้นมาในภายหลัง ด้วยเหตุนี้ เขาก็เลยไม่ได้เรียกนางว่าอาจารย์หญิง

“ท่านลุงหู ท่านอย่าโทษน้องจิ่นเลย…” ใบหน้าของเงิน ชื่ออ่อนโยนแต่กลับมีความกลัดกลุ้มระทมทุกข์อยู่เล็ก น้อย นางพูดด้วยน้ำเสียงยาวว่า “ข้าคิดว่า นางเพียงแต่ หวาดกลัวเกินไปจึงทำเรื่องแบบนี้ออกมา”

“เช่นนั้นทำไมท่านหวางเฟยถึงไม่ตรวจสอบเรื่องราวให้ ชัดเจนก่อน ก็ใส่ร้ายเจ้าเสียแล้ว!” ความโกรธของหูเก๋อ ไม่ลดน้อยลงเลย เขาหันหน้ากลับไปและกุมศีรษะของ คนคนหนึ่ง แล้วพูดว่า “ไป เคาะประตูให้ข้า!”

หูเก๋อให้ความเป็นห่วงเป็นใยต่อเวินชื่อ ทำให้เป็นชื่อ ซาบซึ้งใจเป็นอย่างมาก ภายในดวงตาของนางมีแสงอัน ประหลาดใจไหลผ่านเข้ามา นางพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็น ยะเยือกและแฝงไปด้วยความน้อยใจเล็กน้อยว่า “ท่าน ย่านาง…คิดๆดูแล้วนางคงจะรู้สึกตื่นเต้นไปกับพระพุทธ รูปที่ฮ่องเต้องค์ก่อนพระราชทานให้มากจนเกินไป เวลา ร่วงเลยไปความโกรธเกรี้ยวคง…”

เวินซื่อจะเป็นคนที่แม้จะถูกตีจนฟันร่วงก็ต้องอมเลือด เอาไว้ในปากด้วยความเย่อหยิ่งในศักดิ์ศรีมาแต่ไหนแต่ ไร แต่ตอนนี้นางกลับมามีชีวิตอีกครั้งแล้ว นางจึงรู้ดีว่า คนส่วนใหญ่มักจะเห็นอกเห็นใจผู้ที่อ่อนแอเสมอ
ด้วยเหตุนี้ นางจึงแสดงความอ่อนแอออกมา

แต่ถ้าหากคนที่เย็นชาและโอหังถือดีในช่วงเวลาปกติ แสดงท่าทางที่อ่อนแอออกมาเพียงเล็กน้อย ก็จะทำให้ ผู้คนนับไม่ถ้วนรู้สึกเวทนาสงสารจนทนไม่ไหวในทันที

“คุณหนูรอง ท่านชักจะใจดีเกินไปแล้ว ท่านต้องคิดถึง ตัวเองให้มากๆนะ!” ใครบางคนอดไม่ได้ที่จะตะโกนขึ้นมา

หูเก๋อเองก็มีสีหน้าที่เห็นด้วย เขาจึงพูดกับหรูเอ๋อร์ที่ กำลังยืนเซ่ออยู่ข้างๆว่า “ยังไม่ไปซื้อชาร้อนมาให้คุณหนู อีกรึ!”

พอเห็นใบหน้าเล็กๆของเวินซื่อขาวซีดยืนรับลมหนาว ปลายฤดูใบไม้ร่วงอยู่แบบนี้ หูเก๋อก็มีความรู้สึกเจ็บปวด ใจต่อบุตรสาวของพี่น้องร่วมสาบานคนนี้เป็นอย่างมาก

“พ่อของเจ้ารักเจ้ามากขนาดนั้น ตอนนี้เขาต้องไปรักษา การณ์ชายแดนเพื่อราชวงศ์เทียนหรงนานเป็นปีๆ ไม่ได้ อยู่ในจวน ข้าหูเก๋อจะทนเห็นเจ้าได้รับความไม่เป็นธรรม เยี่ยงนี้ได้อย่างไร? เช่นนั้นข้าคงละอายที่จะเป็นพี่น้องกับ พ่อของเจ้า!” หูเก๋อพูดมีเหตุมีผลอย่างฉะฉาน

แต่ฉางมามาที่อยู่ข้างกายเวินจิ่นกับท่านหวางเฟยที่ถูกข้ารับใช้เชิญมาอย่างเร่งรีบ ก็รีบเดินไปที่หน้าประตูด้วย สีหน้าที่หงุดหงิดไม่พอใจ

พ่อบ้านเพิ่งเปิดประตูออกไป ฉางมามาที่ยังไม่ทันรู้อย่าง ชัดเจนว่าข้างนอกเกิดอะไรขึ้นก็ตะโกนออกมาด้วยน้ำ เสียงที่เด็ดขาดว่า “ทหาร ไปจับตัวคุณหนูรองมามัดบัด เดี๋ยวนี้!”


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ