หัวใจป่วนไอรัก

2



2

“หมอวิน”

เสียงเรียกดังมาจากคนที่อยู่ด้านในลิฟต์ นายแพทย์ภวินท์หัน ไปดู พบว่าเป็นเจ้าพ่อสื่อคนดังที่เป็นเคสวีไอพีของที่โรงพยาบาล เช่นกัน จึงส่งยิ้มให้แล้วเดินเข้าไปรับถึงหน้าลิฟต์

อีกฝ่ายส่งยิ้มตอบกลับมา พร้อมเข้ามาจับต้นแขนของคุณ หมอหนุ่มบีบเบาๆ อย่างมันเขียว ท่าที่ดูสนิทสนมจนคนที่บังเอิญ ผ่านมาเห็นชะงักศึก

“โชคดีจริงวันนี้ได้พบหน้าหมอวิน” อัยยวัฒน์กล่าวต่อ “หมอ ติมนัดมาฟอลโลอัปผล CT scan น่ะครับ”

“อ้อ ผมเช็กให้แล้วไม่มีอะไร ปกติทุกอย่าง ชายคนนั้นยิ้ม หัวเราะน้อยๆ แล้วว่า “ขอบคุณมากหมอวิน

ภวินท์หัวเราะเบาๆ คุยสัพเพเหระครู่ใหญ่ อัยยวัฒน์ส่งสายตา บอกว่ามีธุระสำคัญต้องการคุยด้วยจึงเชื้อเชิญอีกฝ่ายขึ้นไปที่ ห้องทำงานของตนเอง อัยยวัฒน์เป็นนักธุรกิจที่ประสบความ สําเร็จมาก หนึ่งในธุรกิจของอัยย์วัฒน์มีสื่ออยู่ในมือของเขาด้วยและมีบทบาทมากกว่าอย่างอื่นเลยได้รับ ฉายาว่าเป็นเจ้าพ่อสื่อคนดังคนหนึ่งที่ทรงอิทธิพล

ชายทั้งสองสนิทสนมกันมานาน หนึ่งเพราะคอเดียวกัน คุยกัน รู้เรื่อง เลยมีข่าวลือหนาหูว่าชายหนุ่มหน้าตาดีคู่นี้อาจมีสัมพันธ์ ลึกซึ้งถึงขั้นเป็นคู่รักกัน แต่ไม่มีใครกล้าเอาไปพูด เอาไปขยาย ความต่อให้มันมากไปกว่านั้น ชายสองคนนั้นเหมือนเสือทั้งคู่

ภวินท์นิ่งแต่มีความดุดันแฝงเร้นอยู่ภายใน

อัยยวัฒน์เองแม้บุคลิกดูเป็นคนขี้เล่น สนุกสนาน แต่มีหลาย คนบอกว่าเขาก็เสือดีๆ และก็ร้าย ดุดันไม่ต่างจากนายแพทย์ภ นท์เท่าไรนัก

แพทย์หญิงสราวลีมองตามหลังชายสองคนที่พากันเดินเข้า ห้องทำงานของภวินท์ไปแล้วอดระแวงไม่ได้

หรือนี่จะเป็นของจริง ที่เธอต้องกลัว

เธอคิดว่าแม่จิตตานั่นไม่น่ากลัวเท่านายอัยยวัฒน์นี้เลยแม้แต่

“มันจริงหรือเปล่าคะหมอ”

“จริง ไม่จริง เรื่องอะไรล่ะคะพี่” “ก็เรื่อง…” คุณหมอเด็กหน้าหมวย เพื่อนรุ่นพี่คนสนิทของสราวลีส่งเสียงจิ๊จ๊ะขัดใจ แล้วยกมือขึ้นป้องปากคุย เสียงกระซิบกระซาบ “เรื่องหมอวินกับคุณวัฒน์น่ะสิคะ”

สราวลีคอแข็งขึ้นเล็กน้อย ถามกลับ “แล้วพี่คิดว่ายังไงล่ะคะ”

“แหม น้องลีคะ พี่ดูยังไงก็ว่าไม่ใช่แค่เพื่อนกันธรรมดาๆ หรอกค่ะ ไม่เห็นมือคุณวัฒน์ตอนบีบแขนหมอวินหรือยังไงคะ โอย…พี่ล่ะเสียดายแทนเลยถ้าเป็นเรื่องจริง อยากจะเป็นลมค่ะ นี่ พี่ยังได้ข่าวมาอีกนะว่าคุณวัฒน์น่ะแกได้หมดเลย หญิงหรือชาย แกฟาดเรียบขอให้ถูกใจแกเป็นพอ

ข้อสังเกตของรุ่นพี่ ทำให้แพทย์หญิงสราวลียิ่งต้องเครียด ต้องคิดหนักมากยิ่งขึ้น หากว่าจริง ที่เธอเพียรทำมาตลอดคงสูญ เปล่าน่ะสิ

ว่าไม่ได้ด้วยนะ ความชอบแบบนี้เปลี่ยนแปลงกันได้ที่ไหนกัน และหากว่าภวินท์ชอบจริง เธอคงเสียใจจนอกแตกตายเป็นแน่

ร่างเล็กที่เดิมผิวเคยขาวจัด มาบัดนี้กลายเป็นสีน้ำผึ้งไปแล้ว ท่าทีทะมัดทะแมงหอบตะกร้าสานทรงกลมใบใหญ่สองใบเข้า เอวตรงเข้าบ้านของตาโชติ ก่อนจะเดินเร็วๆ ออกไปอีก ราวกับ ว่าภารกิจยังไม่จบเสร็จดี เธอก็จะไม่หยุดอย่างไรอย่างนั้น ตาโชติที่ยืนอยู่กับยายบุญมามองตามร่างหลานสาวถามยิ้มๆ

“ไปไหนลูก”

“เก็บของค่ะคุณตา ฝนตั้งเค้ามาแล้วกลัวจะไม่ทัน

“ให้คนงานเก็บกันไป ตากแดดตากลม หมดแล้วหลาน ตา” ท่านว่าแต่ก็ดูไม่จริงจังนัก ออกจะชอบใจด้วยซ้ำที่เห็นหลาน สาวทำงานมุมานะเช่นนี้

“ดีออก สีไม่ตก” ยายบุญมาว่ายิ้มๆ

ตาโชติเลยพลอยยิ้มตามไปด้วย มองหลานสาวคนเดียวที่ซึ่ง เกิดจากบุตรสาวคนเดียวด้วยสายตารักใคร่ จากคุณหนูใน แวดวงชั้นสูงเจ้าตัวหนีมาปลีกวิเวกกับตนผู้เป็นตาที่ชนบทแห่งนี้

ท่านเองก็ใช้ชีวิตธรรมดาไม่ต่างจากชาวบ้านทั่วไปในละแวก

นอกจากมีที่ทางมากมาย บางแปลงยาวขนานถนนเส้นหลัก แล้ว บางแปลงซุกอยู่ในหุบเขา ที่ราบบ้างที่ลุ่มบ้าง คุณตา โชติ ยังมีพื้นที่ว่างเหลืออีกเหลือเฟือจนแบ่งขายก็คงกินไม่หมดใน ชาตินี้

มีคนเคยมาทาบทามขอซื้อ แต่ท่านไม่ยินยอมตกลงขายให้ใคร ท่านไม่ใช่คนร่ำรวยเป็นเศรษฐี แต่ไม่เดือดร้อนเงิน ทอง ที่ทางพวกนั้นบรรพบุรุษถากถางเก็บไว้ให้ลูกหลานอย่างตน มาอย่างเหน็ดเหนื่อย ตนจำเป็นอะไรจึงจะขายมันไปเสียเล่า เลย เปิดส่วนที่ว่างในตัวตลาดเป็นลานค้าขายให้ชาวบ้านเอาของมา วางขายฟรีอีกด้วย

แรกๆ มากันสัปดาห์ละวัน ปัจจุบันนี้ก็มาเปิดเป็นตลาดสด ตอนเช้ามืดกับตอนเย็นทุกวัน แล้วให้หลานสาวที่มีเพียงคนเดียว เป็นผู้ดูแลจัดการให้

เสียงเรียกดังมาจากหน้าบ้าน

“สวัสดีครับคุณตา”

“ใครมันมาอีกล่ะนั่น

ตาโชติเหล่ตามองยายบุญมาขณะกล่าว ก่อนพเยิดหน้าไป ทางคนมาใหม่ ทักกลับ

“พิโธ่ นึกว่าใคร หมอพอลเข้าบ้านก่อนครับ”

ตาโชติมองนายแพทย์พงศ์ภรณ์ด้วยสายตาเรียบสงบ เชื้อ เชิญให้เข้ามาในบ้านด้วยกัน อีกฝ่ายยิ้มเผล่ พอลงนั่งได้ พูดคุย สารทุกข์สุกดิบอะไรกันครูใหญ่ คนมาเยือนถึงได้นำเข้าบท สนทนา ที่เป็นธุระของตนเอง

“ทางโรงบาลกําลังจะจัดอบรมให้จิตอาสากับ อสม.ครับคุณตา เลยอยากรบกวนมาเรียนเชิญคุณตา อยากให้คุณตา ช่วยไปเป็นวิทยากรให้พวกเราหน่อย ไม่ทราบว่า…พอจะมีเวลา ว่างบ้างไหมครับ”

ตาโชติมีความรู้ทางแพทย์แผนไทยด้วยประสบการณ์ แกไม่ ได้ร่ำเรียนมาทางด้านนี้ แต่เพราะภรรยาสุดรักดั่งดวงใจไม่ สบาย ป่วยเสาะแสะด้วยโรคเกี่ยวกับระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ รวมถึงโรคเกี่ยวกับภูมิคุ้มกันจึงทำให้แกสนใจใฝ่หาความรู้ เพื่อ เอามารักษาภรรยา

แรกๆ แกพาไปหาหมอแผนปัจจุบันนั่นแหละ แต่ก็แสวงหาการ รักษาอย่างอื่นควบคู่ไปด้วย เพราะอาการของภรรยาไม่ดีขึ้น เมื่อ สนใจก็เริ่มหาตำรายามาอ่าน เริ่มสืบเสาะถามคนเก่าคนแก่ ก่อน จะได้ยาตัวนั้นตัวนี้มาประดับไว้ในบ้าน แกมียาอยู่หลายขนานที่ เดียวอย่างพวกยาแก้ปวดกล้ามเนื้อหรือข้อต่อ แกก็ใช้แสมสาร ส้มป่อย มะกา บอระเพ็ด มะกรูด ขิง หอม กระเทียม อ้อยและหัว ว่านในสัดส่วนที่แกว่าเป็นสูตรลับของแกจนได้ตัวยาที่ใช้รักษา ให้คนที่มาหาแก โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย

ยาลดไข้ ยาทาภายนอก รวมถึงสมุนไพรที่ใช้ประทินโฉมแกก็ คิดสูตรขึ้นมาได้หลายตัว

ตาโชติเคยแบ่งปันความรู้ให้ชาวบ้านที่สนใจแต่ทาง สาธารณสุขเข้ามาเตือนว่าแกไม่ได้ร่ำเรียนมาไม่มีใบประกอบวิชาชีพอะไรเทือกๆ นั้น แกเลยหยุดไป ให้แต่ ยายบุญมาออกหน้าแทน

ยายบุญมาเด่นเรื่องนวด เรื่องจับเส้น รายนี้มีใบอนุญาต เพราะไปเรียนมา ทั้งยังผ่านการอบรมอะไรมาแยะ ยายบุญมา กับตา โชติเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่สมัยเป็นเด็ก

ยายแกว่าสมัยนั้น แกแก้ผ้ากระโดดน้ำด้วยกันประจำ

‘สมัยนี้ล่ะยาย

เด็กแนนถามเมื่อแกเล่าความหลังให้ฟังอีกเป็นครั้งที่เท่าไรก็

จําไม่ได้ แกก็ว่า

‘อุจาดตาปะไร’

หลังภรรยาของตา โชติเสีย ตาโชติก็เศร้าหมองอยู่เป็นนาน เพราะรักกันมาแต่เป็นหนุ่มสาว แต่งงานอยู่กินกันมาก็มีลูกสาว เพียงคนเดียว ยังต้องให้หัวหงอกมาเผาหัวดำอีก ลูกสาวเสีย ชีวิตก่อนพ่อแม่ จากนั้นภรรยาจึงมาตายตามไปอีกคน

พอได้ยายบุญมามาคอยคุยด้วย อาการจึงค่อยดีขึ้น

ยายบุญมาเป็นหลานสาวของหมอนวดมีชื่อคนหนึ่ง แกเล่า บ่อยว่าทวดของทวดของทวดแกเป็นหมอนวดในรั้วในวังมาก่อน ถ่ายทอดวิชาให้ลูกหลาน แรกๆ แกไม่ใครสนใจ แต่อย่างว่ามันคงเป็นไปตามสายเลือด จู่ๆ แกก็หันมาเอาดีทางนี้ ได้เฉยเลย

นายแพทย์พงศ์ภรณ์ยิ้ม รอคอยคําตอบ ยายบุญมาเลยแกล้ง เย้า “เชิญแต่คุณตาหรือคะหมอ”

คนถูกเย้ารู้เลยยิ้มรับก่อนตอบ

“ยายบุญมาไปด้วยก็ได้ครับ”

“แหม…พูดแบบนี้อิฉันจะกล้าไปหรือคะ”

คุณหมอหนุ่มหัวเราะแห้งๆ ตาโชติเลยตอบรับคำอย่างจริงใจ

กลับไป

“ไปได้ครับ ไม่มีปัญหาอะไรหรอก

“ขอบคุณมากครับ เดี๋ยวผมให้เด็กเอาหนังสือเชิญมาให้คุณ ตาอีกทีนะครับ”

นายแพทย์หนุ่มของทางโรงพยาบาลอำเภออยู่คุยด้วยอีกคร ใหญ่ ถูมือไปมาว่าขึ้น

“วันนี้ขอผมอยู่กินข้าวเย็นด้วยนะครับ แกงสายบัวที่กินไป คราวก่อนทำเอาผมเพ้อไปตั้งหลายวันเลยครับคุณตา

หมอหนุ่มจงใจหยอดเมื่อเห็นร่างเล็กๆ ของหญิงสาวที่ทำแกง สายบัวคราวนั้นเดินถือกระด้งเข้าออกอยู่ที่เรือนสมุนไพรข้างบ้านพอดี ยายบุญมาเคี้ยวหมากไปพลางมองตามไปพลาง “ดีจริง มื้อนี้ตา โชติได้มีเพื่อนกินข้าวแล้ว

นายแพทย์พงศ์ภรณ์เงียบไปอึดใจ ยายบุญมาถึงได้บอกต่อ อย่างรู้จุดประสงค์ของอีกฝ่าย “ก็ยัยหนูถึงถึงสิคะหมอ ต้องไปงานเลี้ยงที่วัดเย็นนี้ อิฉันก็ไม่

กินหรอกข้าวเย็น กินแต่ข้าวร้อน”

ว่าจบเสียเอง ที่ขำเพราะเห็นสีหน้าเพื่อนๆ ของหมอหนุ่มนั่น มากกว่า

“อ้อ อย่างนั้นหรอกหรือครับ”

ตนออกตัวไปแล้วด้วยว่าอยากมากินข้าว พอรู้ว่าหลานสาว คุณตาไม่ได้อยู่ร่วมวงก็ให้หน้าม่อยหน้าเหี่ยวลงอย่างเห็นได้ชัด ตาโชติเลยหันไปทําตา ใส่ยายบุญมา เพราะรู้ความคิดของกัน และกันเป็นอย่างดี

หมอพงศ์ภรณ์ขอตัวออกมารับสายหลังคุยได้ครู่ใหญ่ค่อยวาง

แล้วเมียงมองหาหญิงสาวที่เห็นเดินวนเข้าออกในเรือน สมุนไพร ก็ค่อยดอดเข้าไปทักทาย แว่วเสียงใสๆ ของจิตตาดัง ออกมาจากด้านใน
“แม่บอกแล้วไงคะว่าอย่างน

นายแพทย์พงศ์ภรณ์ยิ้ม ยื่นหน้าเข้าไปได้ก็เอ่ยปาก

“ว่ายังไงครับเด็กๆ”

แล้วก็หน้าเหลอหลา กลบเกลื่อนต่อ เมื่อเห็นว่าไม่ใช่เด็กๆ อย่างที่ตนเข้าใจ ในนั้นมีฝูงลูกสุนัขวัยไม่เกินสองเดือนราวสิบ ตัวได้วุ่นวายอยู่กับหญิงสาว แล้วเลยยิ้มแห้งๆ กล่าวชม

“น่ารักจังเลยครับคุณถึง

“หมอจะรับไปเลี้ยงไหมคะ ดอกนี้ออกมาเยอะเลยตั้งเกือบ ยี่สิบตัวแน่ะ”

“ด้วยความเต็มใจครับ” ไม่ลืมหยอดตบท้าย “จริงๆ จะให้ เลี้ยงคนด้วยหมอพอลก็ไหวนะครับ”

จิตตาเลิกคิ้ว ไม่ว่าอะไร แล้วค่อยหันกลับมาสนใจลูกสุนัขต่อ นายแพทย์พงศ์ภรณ์อยู่คุยด้วยต่อจากนั้นอีกนานพอดู เธอเลย ขอตัวไปอาบน้ำเมื่อเห็นว่าเย็นมากแล้ว ทิ้งหมอหนุ่มมองตามตา ละห้อยกับฝูงสุนัขที่รับปากว่าจะเอาไปเลี้ยงให้นั่นเอง

“คุณหมอแกมาจีบคุณถึงใช่ไหมคะ” แนนถามขึ้นเมื่อภารกิจในบ้านเสร็จสิ้นหมดแล้ว
ฐิตตาที่กลับมาจากงานบุญนั่งอยู่ด้วยพอดีไม่ได้ว่าอะไร เพราะปกติก็พูดคุยเรื่องแบบนี้กันเป็นนิจอยู่แล้ว นอกนั้นยังมี บที่รีดผ้าอยู่ใกล้ๆ รวมถึงยายบุญมาอีกคนที่เป็นหลังรับลมอยู่ บนเก้าอี้โยก ฟังพวกเด็กๆ คุยกัน

“ทำไมถามแบบนั้นล่ะแนน”

ติ๊บส่งผ้าให้เด็กแนนนำไปแขวนเมื่อรีดเสร็จ แล้วถึงหยิบตัว ใหม่ลงรีดต่อ

“อ้าว ก็เวลาแกมา แกจะยิ้มแปลกๆ แต่กับคุณถึงนี่คะ ทำตา หวานๆ ใส่ด้วย ขนาดแนนเป็นเด็ก แนนยังดูออกเลยว่าผู้ชายมา แบบนี้น่ะ มาจีบแน่ๆ”

“ไฮ้ จีบได้ที่ไหน” ยายบุญมาได้ยินก็ร้องขัดขึ้น เด็กแนน เด็กสาวกำลังโต เห็นว่าเรื่องนี้ดูมีอะไรๆ มากกว่าที่ ตนคิดเอาไว้เลยถามกลับอย่างไม่ประสา

“อ้าว ทําไมล่ะยาย ทำไมจะจีบไม่ได้ล่ะจ๊ะ”

“บุญมา” เสียงตาโชติเรียกปรามเท่านั้นเอง ยายบุญมาเลย ต้องเงียบปากตนเองไป วงสนทนาเลยมีตาโชติเข้ามาร่วมอีก คนในตอนนั้น
เด็กแนนเห็นว่าคงไม่ได้คําตอบ เลยคิดไปว่าคงเกี่ยวกับที่คุณ หนูไม่ใช่สาวโสดแล้วละมัง ว่าต่อ

“หนูว่าหมอพอลแกก็หล่อดีนะคะ แต่หมอคนนี้ไม่ได้

เป็นติ๊บ รีดผ้าไป ถาม “หมอคนไหน

“นี่ไงคะ หมอคนนี้ไง หมออะไรก็ไม่รู้ ล้อหล่อ ออกข่าวบ่อย กว่าดาราดังๆ บางคนอีกนะคะ หนูนี่ CF แกเลยนะ”

“CF อะไร จะไปยืนยันซื้อเขาหรือไงยายแนน

เด็กแนนมองงง ถามอย่างที่ยังไม่เข้าใจอะไรดีนัก

“แฟนคลับน่ะ เขาเรียกอะไรคะ ไม่ใช่ CF หรือคะ”

“แฟนคลับ เรียก FC จ้ะ” พี่ติ๊บเย้า ถามต่อ “ไหนล่ะ คนไหน”

“นี่ไง คนนี้ไงพี่ติ๊บ”

เด็กแนนยื่นจอโทรศัพท์ที่มีข่าวของนายแพทย์คนดังส่งให้ดู แล้วคุยเพิ่ม “เห็นแต่ข่าวเขาว่าแกกำลังจะหย่าจากเมียเก่า แล้ว คนนี้ละมังคะ คุณหมอคนสวยๆ คนนี้น่ะน่าจะใช่แฟนกันกับแก”

ติ๊บถามเสียงเรียบ “รู้ได้ยังว่าเขาเป็นแฟนกัน “โอ๊ย ข่าวออกทุกวัน ทำไมจะไม่รู้ล่ะคะ นี่ดูรูปที่คุณหมอคนสวยลงในไอจี สวีทหวานทุกเทศกาลเลย ไม่ใช่ แฟนกันได้ยังไงล่ะคะ” ติ๊บเหลือบตามองจอตามที่เด็กแนนส่ง ให้ แล้วก็อดมองไปยังจิตตาไม่ได้ แววตาพลันหมื่นแสงมัวชั่วลง เล็กน้อยก่อนเดินไปทางอื่น สายตาของคนที่เหลือยกเว้นตาโชติ ฉายความกังวลขึ้นในวูบนั้นเอง

หลายปีมานี้ข่าวของจิตตากลืนหายไปกับเวลา ไม่มีใครขุดขึ้น มาเสนอข่าว แถมสื่อยังเสนอข่าวของหมอชายหญิงสองคนนั่น ราวกับเป็นแฟนกันไปแล้วจริงๆ ตบเองอดคิดไม่ได้ว่าคุณหนูของ ตนคิดเห็นเช่นไรกับเรื่องราวเหล่านี้ เพราะคนที่นี่ไม่เคยเอ่ย ไม่ เคยถามเรื่องนี้ขึ้นมาเลยสักคน สักครั้งเดียว

“ยิ้มหน่อยสิคะ”

เสียงเข้าดังมาจากหญิงสาวข้างกาย เมื่อภวินท์นั่งลงแล้วยัง โต๊ะที่จับจองไว้เป็นพิเศษในร้านอาหารหรูที่เจ้าหล่อนรบเร้าให้ เขามาจนได้ พลันแว่วเสียงทัก

“หมอวิน หมอลี ควงกันออกสื่ออีกแล้วนะจ๊ะคืนนี้” สราวลีหันไปมองก่อน แล้วถึงยิ้มแย้มทักทายกลับ
“ออกสื่ออะไร แค่มากินข้าวแค่นั้นเอง”

“กุ๊กเกลขา…มาสวัสดีครับคุณลุงหมอวินกับคุณป้าหมอก่อน เร็วลูก”

เพื่อนคนทักเองก็เป็นหมอเช่นกัน ทั้งสองมาพร้อมเด็กหญิง ท่าทางหลุกหลีกอายุราวห้าขวบหิ้วของเล่นติดมือมาด้วย คนเป็น แม่พยายามลากแขนเล็กๆ ของบุตรสาวให้เข้ามาไหว้ทั้งสองคน แต่เจ้าตัวมีท่าทีไม่ยอม เห็นซื้อกันไปมาอยู่นั่น สราวลีเห็นแล้วไม่ ได้ถือสาอะไร กล่าวยิ้มๆ

“แหม เรียกลุงเรียกป้าเลยนะ แก่จัง”

“เมื่อไรจะมีเป็นของตัวเองเสียทีล่ะจ๊ะลี

มองไปทางภวินท์เห็นเขาเงียบไม่ว่าอะไร เลยบอกขึ้นเอง

“ยังก่อน รอให้อะไรมันพร้อมกว่านี้ก่อนนะจ้ะ “พร้อมขนาดหมอยังว่าไม่พร้อม บนโลกนี้ไม่มีใครพร้อม แล้วล่ะจ้า รีบๆ เข้านะ ระวังไข่ฝ่อหมด

ชายหญิงสี่คนนี้จบจากสถาบันการศึกษาเดียวกัน

ทั้งสองเป็นเพื่อนกันมาก่อน พอจบออกมาใช้ทุนจนหมดแล้ว ถึงได้ไปเรียนต่อเฉพาะทางด้วยกัน แล้วตกลงปลงใจแต่งงานกัน ก่อนจะเปิดคลินิกผิวหนัง แล้วถึงปล่อยให้มีทายาทเล็กๆ ออกมา ให้ได้ชื่นชมหนึ่งคน หากไม่เจอกันที่งานประชุมวิชาการ ก็มักเจอที่ร้านนี้ ประจำ

คุยกันไม่ทันไร แม่หนูเริ่มก่อเรื่อง จู่ๆ ก็โยนตุ๊กตาในมือเข้ามา ที่บนโต๊ะ จนไปโดนแก้วน้ำของภวินท์ น้ำจากแก้วไหลนองบนพื้น โต๊ะ กวินท์หลบทันจึงไม่เปียกเท่าไร แต่ก็มีกระเซ็นมาโดนอยู่ บ้างเล็กน้อย

“กุ๊กเกลคะ ไม่ซนนะลูก”

พูดยังไม่ทันขาดคำ เด็กหญิงหน้าตาน่ารัก ผิวขาวจัดเข้ามาถึง ชายผ้าปูโต๊ะจนของบนนั้นบางชิ้นหล่นลงพื้นเสียงดังลั่นร้าน พนักงานกุลีกุจอเข้ามาดูแลจัดการความเรียบร้อยให้ สองหมอ สามีภรรยาหน้าเลื่อน ไม่กล้า บุตรสาวของตน กล่าวแต่เพียง

“นี่สงบเสงี่ยมแล้วนะ ปกติอยู่บ้านยิ่งกว่านี้อีก

พูดคุยกันต่อจากนั้นครู่เดียว เพื่อนหมอชายหญิงพร้อมบุตร สาวเดินจากไป สราวลีค่อยว่า

“เด็กๆ น่ารักดีนะคะ มองแล้วสดชื่นดีจัง ว่าไหมคะ”

นายแพทย์กวินท์ขัดขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์นัก “ผมไม่ค่อย ชอบเด็ก แล้วยิ่งซนแบบนี้ด้วยนะยิ่งไม่ชอบเลย
พูดมาแค่นั้นสราวลีก็หน้าเงื่อนไป นี่ไม่ใช่ความรู้ใหม่ เห็นภา นท์นิ่งๆ ใจดีแบบนี้ แต่แท้ที่จริงเขาไม่ใช่คนรักเด็กเท่าไรนัก

ไม่พูดอะไร สราวลืมองอย่างเคืองๆ เล็กน้อย พอว่า

“เด็กก็แบบนี้เองค่ะ น่ารักบ้าง มีชนบ้างตามธรรมชาติของ แก ว่านอกจากดีเอ็นเอของพ่อกับแม่แล้ว การเลี้ยงดูก็มีผลมาก นะคะว่าจะปลุกปั้นเด็กออกมาได้ดีแค่ไหน”

และหากเธอได้แต่งงานกับภวินท์เมื่อไร เธอจะปล่อยให้มีลูก ทันที ขี้คร้านเขาจะหลงลูกสิไม่ว่า แต่แล้วคุณหมอหนุ่มก็เอ่ยขึ้น อีกคล้ายยืนยันความคิดเดิมของเขา ชนิดที่ทำเอาสราวลีถึงกับ หน้าเสียไปถนัด

“เอาจริงๆ นะหมอลี ถ้าผมมีลูกแล้วดื้อ ไม่ต้องถึงครึ่งของเด็ก นั่นหรอก ผมได้ออกไปหักไม้มาตีให้กันลายแน่”

ว่าจบ ส่ายหน้าอย่างเอื้อมๆ สราวลีเห็นแววตาเขาไม่ใคร่

พอใจนักหน้าเลยซีด แล้วลงมือรับประทานอาหารอย่างเซ็งๆ ใน

เวลาต่อมา

ภาพพร้อมข้อความหยอกล้อจากเพจดังถูกแชร์ต่อให้โลก ออนไลน์ได้เห็นกันจนถ้วนทั่ว คุณหญิงวีรยาเห็นจากเลขาคนสนิทแล้วก็ชักนั่งไม่ติด โทรศัพท์ตามบุตรสาว คนเดียวให้กลับบ้านด่วน ในวันนี้ แต่ดูเหมือนเจ้าหล่อนจะอ้อยอิ่ง เสียเหลือเกิน เกือบเที่ยงคืนกว่าจะได้เจอหน้ากัน

“แบบนี้แม่ว่าไม่เหมาะแล้วนะหมอล

คุณหญิงวีรยารีบบอกเมื่อเห็นร่างระหงของบุตรสาวเดินเข้ามา จนถึงโถงกลางบ้านแล้ว แพทย์หญิงสราวลีรับน้ำแร่จากคนรับ ใช้ยกจิบถึงครึ่งแก้วค่อยวางลงคืนบนถาด ถามกลับอย่าง อารมณ์ดี

“อะไรอีกล่ะคะคุณแม่”

มารดายื่นแท็บเล็ตส่งให้บุตรสาวได้เห็นข่าวของตนเอง สราว ลืมองแล้วก็ยิ้ม เอียงคอมองซ้ายขวาครู่เดียว บอกกลับ “อ้อ ข่าว ของเองหรือคะ มุมนี้ก็สวยไปอีกแบบนะคะคุณแม่ว่าไหม

“หมอล!”

“อะไรคะ เสียงดังทำไมคะคุณแม่ ลีตกใจหมดเลย” แกล้ง ยกมือวางทาบลงบนอก คุณหญิงเลยยิ่งหมั่นไส้บุตรีตนเองไป

ใหญ่

“แม่ต้องการให้เธอดูเนื้อข่าว ไม่ใช่ดูรูปตัวว่าสวยหรือไม่ สวย”

“แหม คุณแม่คะ เนื้อของข่าวจะออกมาแบบไหนก็ดีกับลีทั้งนั้นแหละค่ะ”

“ดียังไงไม่ทราบคะหมอ” มารดาถามประชดประชัน

“คนเขาจะได้รู้กันให้ถ้วนทั่วยังไงล่ะคะ ว่าลีกับวินน่ะเป็นอะไร

กัน”

คุณหมอคนสวยบอกยิ้มๆ แล้วเข้าไปกอดเอวมารดาบอกออด อ้อน

“แล้วยิ่งมีข่าวลีกับวินออกสื่อมากแค่ไหน รับรองได้ค่ะ ว่ามัน จะต้องไปกดดันให้เขาขอหย่าจากนั่งเด็กนั่นไวมากขึ้นเท่านั้น”

“มันจะเป็นไปได้ยังไงหมอลี ก็ไหนว่าเขามีสัญญิงสัญญาอะไร กัน มันไม่เร็วเท่าใจเราอยากหรอกนะ อีกอย่าง แม่ล่ะไม่นึกชอบ เลย ที่เขาแต่งงานแล้วนะ ลูกสาวแม่ควรคู่ควรกับผู้ชายที่ดีกว่า นั้นนะหมอลี”

“ไม่มีใครดีกว่าหมอวินแล้วล่ะค่ะคุณแม่”

คุณหมอคนสวยบอกก่อนว่าต่ออีกเป็นชุด

“คุณแม่ขา ผู้ชายน่ะ ไม่เหมือนผู้หญิงหรอกนะคะ ยิ่งมี ครอบครัวมาแล้ว เนื้อยิ่งหอม คุณแม่ลองดูเถอะค่ะ วินโสดขึ้นมา เมื่อไร จะมีแต่คนคอยจ้องตะครุบเขาทั้งนั้นแหละค่ะ” คุณหมอ คนสวยกล่าวจบแกล้งทำมือประกอบคำพูดของตัวเองไปพร้อม จนคุณหญิงอดหมั่นไส้ไม่ได้มีเพียะเสียทีหนึ่ง ค่าที่กำกันเป็นหญิงนัก

“สงวนท่าที่หน่อยเถอะ อย่าให้เสียชื่อลูกสาวแม่”

“ค่า… ลากเสียงหวานรับมารดา ทั้งหัวเราะน้อยๆ อย่าง ถูกใจ สองแม่ลูกอยู่คุยกันอีกไม่กี่ค่าจึงได้พากันกลับเข้าห้องของ ตนหลังจากนั้น

แพทย์หญิงสราวลีแวะมาเยี่ยมนางอัมพรที่บ้านในช่วงสาย ของวันอาทิตย์ เธอไม่ได้บอกกล่าวภวินท์ไว้ล่วงหน้า เพราะไม่มี งานด่วนอะไรที่โรงพยาบาล เธอเช็กมาแล้ว และภวินท์ไม่น่าจะ ออกไปไหนได้

แต่พอหอบข้าวของลงรถมา นางอัมพรที่ถ่อสังขารออกมารับ บอกหญิงสาวที่ตนเล็งให้มาเป็นสะใภ้ด้วยสีหน้าจืดเขื่อน “หมอ วินออกไปแต่เช้าแล้วค่ะ ดูขนาดว่าวันนี้วันอาทิตย์ก็ยังทำงาน

สราวลีมีสีหน้าผิดหวังเล็กน้อย ที่เอาใจเขาไม่ถูก แต่ก็ฝืนยิ้ม แย้มกับมารดาของเขาก่อนออกปากชม

“วินเขาแบบนี้เองค่ะคุณน้า สมัยเรียนก็เห็นจมอยู่กับตำราทั้ง

วัน”

นางอัมพรร้องตกใจขึ้นแทบทันที “ตายแล้ว! แพทย์หญิงสราวลีเลยพลอยตกอกตกใจตามไปด้วยเข้าไปประจบจับแขน ถามเสียงสั่นเล็กน้อย

“มีอะไรหรือคะคุณน้า

“จะมีอะไรล่ะคะ” นางอัมพรแสร้งติงไม่จริงจังนัก แล้วกล่าวต่อ ด้วยสีหน้าแช่มชื่น “คุณหมอน่ะ ไม่ควรเรียกคุณน้าแล้วนะคะ ลูก ต้องเรียกว่า ‘คุณแม่” ได้แล้วค่ะ”

สราวลีเลยยิ้มกว้างได้ในตอนนั้นเอง แล้วตอบรับสั้นๆ แสร้ง เอียงอายเล็กน้อยพอเป็นพิธี

“ค่ะ คุณแม่”

ลอบผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก ที่เข้าถูกทาง

นางอัมพรเป็นพวกหัวสูง และไม่ใช่ว่านางจะทำตัวตีสนิทกับ ทุกคนที่เข้ามาวอแวลูกชายของนาง ถ้าไม่ถูกชะตาก็ด่าสาดเสีย เทเสียมาแล้ว และดูเหมือนจะถูกชะตากับเพียงแค่สราวลีคน เดียว ในตอนนี้

หากผ่านด่านนี้ได้ สราวลีก็ค่อยโล่งใจขึ้นมาได้หน่อยหนึ่ง

นางอัมพรสั่งคนตระเตรียมอาหารให้คุณหมอคนงามที่ หมายตาอยากให้มาเป็นสะใภ้ อยู่คุยด้วยกันทั้งวัน ตกบ่ายสั่ง คนโทรศัพท์หาบุตรชายแต่ก็พบว่าติดต่อไม่ได้ รอจนพลบค่ำ นท์ก็ยังไม่กลับเข้าบ้าน สุดท้ายแพทย์หญิงสราวลืมองดูเวลา อย่างเซ็งๆ จําใจต้องลากลับบ้าน ในที่สุด


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ