บทที่ 2 หกเกอเธ่อได้รับบาดเจ็บ
นางหมดสติไปหลังจากฉีดยาที่ตัวเองพัฒนาขึ้น เมื่อตื่นมาก็ พบว่าตนมาอยู่ที่นี่เสียแล้ว
ความทรงจําบางอย่างในที่ไม่ได้เป็นของนางค่อย ๆ ไหล ทะลักเข้ามา เชื่อมโยงเกี่ยวพันกับความทรงจำของนางอย่าง ช้าๆ
หยวนชิงหลิง ลูกสาวเมียหลวงของเจ้าพระยาจิ้ง มีจิต พิสมัยรักใคร่คะนึงหาอ๋องฉู่ หมู่เหวินเห้ามาเนิ่นนาน หลังอายุ สิบห้าครบช่วงวัยจี๋หิ่น(วัยปักปิ่นของเด็กสาวที่พร้อมจะออก เรือน) ได้ไปร่วมงานเลี้ยงที่จวนเจ้าหญิง แล้ววางแผนใส่ความ อ๋องฉู่ว่า “ทำเจ้าชู้เกินเลย”ใส่นาง
หลังทำเป็นพยายามฆ่าตัวตาย ในที่สุดนางก็ได้เป็นพระ
ชายาอ๋องฉู่ตามที่หวังจนได้
น่าเสียดายที่ หลังจากแต่งเข้าจวนไปแล้วหนึ่งปี ทุ่มเทแรง ใจแรงกายไปไม่น้อย อ๋องฉู่กลับไม่แม้แต่จะชายตามองนาง เลยแม้แต่แวบเดียว
สาวสายวิศวกรรมคนหนึ่ง แม้ว่าจะไม่เคยมีความรักมาก่อน แต่ก็พอจะรับรู้ได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นเมื่อคืน ผ่านความเจ็บ ปวดที่กําลังเกิดกับร่างกายนี้ได้
จากด็อกเตอร์สุดอัจฉริยะ ต้องถูกส่งมาเป็นพระชายาฉู่ใน ราชวงศ์อะไรสักอย่างที่ไม่เป็นที่รู้จัก สิ่งเดียวที่หยวนชิงหลิงนึกเสียดายเหลือเกินก็คือ บรรดาโครงการวิจัยทั้งหลาย ที่มีอยู่ในมือของนางเหล่านั้นจะไม่สามารถดำเนินการต่อไป ได้อีกแล้ว
ไอ้เรื่องวิญญาณข้ามมิติทะลุเวลาพรรค์นี้ช่างเป็นเรื่องที่ไม่ เป็นไปตามหลักวิทยาศาสตร์ซักนิด แถมเรื่องนี้ยังมาเกิดขึ้น กับนางเองซะอีก ถึงอย่างนั้นนางก็ไม่ได้กังวลกับสถานการณ์ ของตัวเองมากนัก กลับคิดแค่ว่าถ้านางสามารถย้อนเวลา กลับไปในยุคปัจจุบันได้อีกครั้ง นางอาจไปศึกษาวิจัยเรื่อง พลังจิต พลังวิญญาณดูบ้าง
การเสียเลือดมากเกินไปทำให้นางรู้สึกเวียนหัว นางจึงไม่ คิดอะไรทั้งสิ้น เดินกลับไปที่เตียงแล้วล้มตัวลงหลับไปทันที
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน ข้างนอกมีเสียงดังสนั่นขึ้น มาเสียงหนึ่ง จากนั้นเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดอย่างน่า อเนจอนาถ ก็ดังตามมาติดๆ
“เร็วเข้า รีบไปเรียกท่านหมอมาเดี๋ยวนี้!”
ที่ด้านนอกประตู มีเสียงร้องสั่งอย่างร้อนรนของแม่นมฉีดัง แว่วมา
พลันได้กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง ลอยลอดผ่านช่องกรอบ ประตูไม้เข้ามา
หยวนชิงหลิงใช้มือทั้งสองข้างจับเก้าอี้พยุงตัว ฝืนทรงตัวให้มั่นคง ก้าวเท้าเดินอย่างเลื่อนลอยพลางมองออกไปดู เหตุการณ์ข้างนอก
เห็นเพียงแม่นมฉีกับสาวใช้คนหนึ่งกำลังประคองเด็กรับใช้ คนหนึ่งอยู่ตรงระเบียงทางเดิน ดวงตาของเด็กรับใช้ตัวน้อย คนนั้นมีเลือดไหลโชก มีบางอย่างปักติดอยู่ในดวงตาของเขา เด็กรับใช้เจ็บปวดจนร้องไห้เสียงดังลั่น
แม่นมณีร้อนใจเหลือเกินแล้วคิดอยากจะยื่นมือไปช่วยปิด บริเวณที่มีเลือดไหลให้เขา แต่ส่วนแหลมคมของวัตถุชิ้นนั้น ยื่นออกมาตรงส่วนบริเวณลูกตา นางจึงคิดที่จะดึงเจ้าวัตถุ แหลมคมนั่นออก
เมื่อเห็นเช่นนั้น หยวนชิงหลิงก็ไม่คำนึงถึงความเจ็บปวดที่ กำลังเกิดกับร่างกายนี้อีก เร่งฝีเท้าเดินออกไปอย่างรวดเร็ว “อย่าแตะต้องนะ!”
แม่นมฉีตกใจจนผงะไปเชือกหนึ่ง รีบหันกลับไปดู เมื่อเห็น ว่าเป็นหยวนชิงหลิง ก็พูดด้วยน้ำเสียงโกรธเคืองว่า “ที่นี่ไม่มี เรื่องอะไรของเจ้า พระชายากลับไปเสียเถอะ”
หยวนชิงหลิงหันไปมองแวบหนึ่ง รู้สึกคลายใจไปได้บ้าง ของมีคมที่ว่านั้นเป็นตะปูเล่มหนึ่ง มันไม่ได้ทิ่มเข้าไปในลูกตา แต่แค่ปักอยู่ที่มุมขอบตาแล้วคาอยู่อย่างนั้นเฉยๆ
ตะปูนั้นไม่ได้ปักเข้าไปลึกมากนัก แต่หากออกแรงดึงหนักๆ อาจจะทำให้กระจกตาเสียหายและอาจทำให้แก้วตาฉีกขาดได้
“แหนบ สำลี เข็ม เหล้า อูโถว (ต้นอะโคไนต์สกุลอะโคนิทัม) ต้นเฮนเบน หมาเฝิ่น หยางจื่อจู่ ดอกมั่นถั่วหลัว( หรือดอก ลำโพง) เคี่ยวให้เข้ากัน แล้วรีบยกมา!” หยวนชิงหลิงดึงตัว แม่นมฉีออกมา เอ่ยสั่งการอย่างใจเย็นเป็นการเป็นงาน
แม่นมฉีใช้มือเดียวผลักนางจนกระเด็นออกไป พูดขึ้นอย่าง โกรธเกรี้ยวว่า “อย่ามาแตะต้องตัวหลานชายของข้า!”
ถ้ารอจนกว่าหมอจะมา …”
เมื่อแม่นมฉีเห็นว่านางยังทำท่าจะพูดอะไรต่ออีก ก็ผลักนาง เข้าไปในห้องอย่างแรง แล้วปิดประตูตามหลังทันที
หยวนชิงหลิงถูกผลักจนล้มลงไปกองกับพื้น ในหัวพลัน ปรากฏคําพูดอันเย็นชาประโยคหนึ่ง ดังขึ้นมาว่า “ไม่จำเป็น ต้องปฏิบัติต่อนางในฐานะเจ้านายอีก ให้ทำเหมือนว่าจวนอ๋อง ฉู่แห่งนี้เลี้ยงหมาเพิ่มขึ้นมาอีกตัวหนึ่งก็พอ”
นางเป็นได้แค่หมาตัวหนึ่ง เป็นเรื่องธรรมดา ที่เหล่าคนรับใช้ ย่อมจะไม่เคารพนาง
หยวนชิงหลิงค่อยๆกลับไปเอนหลังลงบนเตียงอีกครั้ง ได้ยิน เสียงร้องไห้อย่างเจ็บปวดของเด็กรับใช้ที่อยู่ข้างนอกดังแว่ว มา ในใจของนางพลันรู้สึกหนักอึ้งไร้เรี่ยวแรงขึ้นมาทันที
เสียงนั้นค่อยๆไกลห่างออกไปทุกที น่าจะเป็นเพราะถูกพา ไปดูแลที่อื่นแล้วก็เป็นได้
เด็กคนนั้น อายุคงจะสักราวๆสิบขวบเห็นจะได้?
น่าเสียดายแล้ว หากการรักษาล่าช้าไม่ทันการณ์ แค่ส่งผล ร้ายต่อดวงตาไม่พอ อาจถึงขั้นเสียชีวิตเนื่องจากการติดเชื้อ
ได้เลยด้วย
หยวนชิงหลิงเองก็ไม่ได้มีจิตเมตตาเป็นพระโพธิสัตว์อะไร ขนาดนั้น นางคิดเพียงแค่ว่านางได้ร่ำเรียนในเรื่องของยา และเวชภัณฑ์มา ทั้งยังทำงานวิจัยเกี่ยวกับยาและไวรัสมาก็ ไม่น้อย คนในครอบครัวของนางล้วนเป็นหมอกันหมด ตั้งแต่ เด็ก หัวข้อที่คุณปู่คุณย่าคุณตาคุณยายของนางมักจะนำมา ถกกันมากที่สุด หนีไม่พ้นเรื่องของความรับผิดชอบในฐานะ หมอ และวิธีการรักษาผู้ป่วย
จากมุมมองของตระกูลหยวน การช่วยคน ถือเป็นหน้าที่ของ
ตน
พวกเขาต่างมุมานะและลุยงานด้วยตนเองมาตลอด ใช้เวลา ทั้งชีวิตเพื่อทำเรื่องดีๆเหล่านั้นอย่างไม่เคยหยุดยั้ง
เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ