หมอยเยอดดวงใจ

บทที่ 10 กล่องยามีปัญหา



บทที่ 10 กล่องยามีปัญหา

หลังจากทำทั้งหมดนี้เสร็จ หยวนชิงหลิงก็เหนื่อยจนถึงขีด สุดของร่างกายแล้ว จึงคว่ำตัวในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอนไปบนโต๊ะ นางรู้ว่าการท่าทางแบบนี้ไม่ค่อยเหมาะสม แต่นางไม่อาจ สนใจเรื่องอะไรพวกนั้นได้อีกต่อไปแล้ว

หลังจากพักผ่อนแล้วครู่หนึ่ง ก็ได้ยินเสียงที่เจือความกังวล ของแม่นมฉีดังมาจากด้านนอก “พระชายา เป็นอย่างไรบ้าง เพคะ?”

หยวนชิงหลิงท้าวโต๊ะเพื่อพยุงตัวให้มั่น ลุกขึ้นยืนช้าๆ แล้ว พูดเบาๆว่า “เข้ามาเถอะ”

ประตูถูกผลักเปิดออกในทันที แม่นมฉีกับลู่หยารีบพุ่งถลา เข้ามา ทั้งคู่วิ่งเร็วจีราวกับเหาะได้เข้าไปดูอาการของหกเกอ เอ๋อ เมื่อเห็นว่าลมหายใจของเขาคงที่สม่ำเสมอแล้ว แม่นมฉี จึงถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก

หยวนชิงหลิงหยิบกล่องยาขึ้นมาแล้วพูดว่า “เรื่องในคืนนี้ ขอ ให้พวกเจ้าทั้งสองเก็บเป็นความลับ อย่าบอกอ๋องฉู่ หรือไป แพร่งพรายให้ใครก็ตามในจวนรู้เด็ดขาด

แม่นมฉีกับลู่หยาหันมองหน้ากัน แอบรู้สึกประหลาดใจเล็ก

น้อย

ลู่หยาก้าวไปข้างหน้าเพื่อช่วยพยุงหยวนชิงหลิง “พระชายา ข้าน้อยจะช่วยประคองท่านกลับไปนะเพคะ”
“ไม่ต้องหรอก เจ้าคอยดูแลเขาเถอะ บนหัวเตียงมียาที่ข้า ทิ้งไว้ให้เขาอยู่ เอาให้เขากินทุกๆสองชั่วยาม ถ้ากินหมด แล้วค่อยมาถามหาที่ข้าเพิ่ม” หยวนชิงหลิงผละจากมือลู่ห ยาที่ประคองอยู่ แล้วเดินจากไปด้วยความยากลำบาก

“พระชายา!” แม่นมณีร้องเรียกขึ้นเสียงหนึ่งเดิมทีนางคิด ว่าอยากจะเอ่ยขอบคุณ แต่เมื่อนึกถึงเรื่องราวทั้งหลาย ที่ หยวนชิงหลิงเคยทำมาก่อนหน้านี้ คำว่าขอบคุณคำนี้ก็ไม่ อาจพูดออกมาจากปากได้จริงๆ นางจึงพูดเพียงแผ่วเบาว่า “เส้นทางตอนกลางคืนมืดนัก ท่านนำตะเกียงไปด้วยเถอะ ”

นางยื่นตะเกียงไปให้ หยวนชิงหลิงรับมันมา เอ่ยขึ้นว่า “ขอบคุณ!”

แม่นมฉีถึงกับตกตะลึง!

ขอบคุณ? นางพูดว่าขอบคุณ?

หยวนชิงหลิงกลับไปที่หอเพิ่งหยี ฉีดยาให้ตัวเองอีกเข็ม แล้วล้มตัวลงนอนบนเตียง

บาดแผลถูกรักษาให้อย่างน้อยที่สุดก็ไม่เกิดการอักเสบ แต่เพราะปากแผลมีขนาดใหญ่เกินไป บวกกับฤทธิ์ของยา ปฏิชีวนะ ทำให้ตอนนี้ ร่างกายของนางอ่อนแออย่างยิ่ง

หลังจากไข้ขึ้นสูงจนเกินขีดจำกัด เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีก็เหือดหายสลายไปจนสิ้น ร่างทั้งร่างอ่อนยวบเป็นก้อนสำลี กระทั่งแค่จะยกศีรษะขี้นก็ยังลำบาก

หลังจากนั้นไม่นาน คล้ายว่านางได้ตกลงไปสู่ห้วงความมืด เผลอหลับไปทั้งๆอย่างนั้น

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน พลันมีเสียงคนผลักเปิดประตูเข้า มา แล้วพูดอย่างรีบร้อนว่า “พระชายา รีบตื่นเร็วเข้าเถอะ เพคะ!”

หยวนชิงหลิงลืมตาขึ้นอย่างยากลำบาก ได้เห็นท่าทาง ร้อนรนของลู่หยา และเมื่อมองดูแสงตะวันที่สาดส่องเข้ามา ก็พอจะรู้ได้ว่าเป็นเวลาเที่ยงวันแล้ว

นางค่อยๆปีนป่ายลุกขึ้นอย่างช้าๆ “ หกเกอเอ๋อมีไข้สูงอีกแล้ว เหรอ?”

“ไม่ใช่เพคะ ท่านรีบตื่นเถอะ มีคนจากในวังมาแล้ว มา เชิญท่านกับท่านอ๋องเข้าวังประเดี๋ยวนี้เลยเพคะ” ลู่หยามองไป ที่รอยเลือดบนแผ่นหลังของหยวนชิงหลิง แล้วพูดอย่างกังวล ใจว่า “แต่ท่านในตอนนี้ จะเดินไหวหรือไม่เพคะ?”

“ในวังเกิดเรื่องอะไรขึ้นรึ?” หยวนชิงหลิงนอนหลับไปตื่นหนึ่ง ก็ยังไม่รู้สึกดีขึ้น แต่กลับรู้สึกยิ่งมึนงงสะลึมสะลือกว่าเดิม เป็นเพราะบาดแผลไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที การ ฉีดยาอย่างเดียวไม่สามารถรักษาอาการบาดเจ็บได้ แผลจึง เริ่มอักเสบและเริ่มมีไข้
ลู่หยาเอ่ยตอบด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “ได้ยินมาว่า ไท่ซางหวง ใกล้จะสวรรคตแล้วเพคะ”

หยวนชิงหลังรีบค้นหาข้อมูลจากในความทรงจำของเจ้าของ ร่างเดิมทันที ไท่ซางหวง?

ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันคือฮ่องเต้หมิงหยวน ทรงขึ้นครองราชย์ เมื่อห้าปีที่แล้ว ในเวลานั้นไท่ซ่างหวงทรงทุกข์ทรมานจาก โรคหัวใจและการต้องลมเย็น หมอหลวงถึงกับบอกว่า พระองค์คงไม่อาจฝืนพระวรกายได้พ้นฤดูใบไม้ร่วงปีนั้น แล้ว ในช่วงเวลาที่พระองค์ยังทรงมีสติสัมปชัญญะอยู่ จึงมี พระบรมราชานุญาตให้องค์ชายรัชทายาทขึ้นครองบัลลังก์ แทน แต่ใครจะรู้ว่า หลังจากองค์ชายรัชทายาทขึ้นครอง บัลลังก์แล้ว พระอาการของไท่ซ่างหวงกลับทรงค่อยๆทุเลา ขึ้น เพียงแต่พระองค์ยังต้องอยู่บนพระแท่นตลอด ยังเสด็จ ไปไหนมาไหนไม่ค่อยสะดวก

เมื่อฤดูหนาวปีที่แล้ว พระอาการของพระองค์กลับทรุดหนัก ลงอีกครั้ง

การที่พระองค์ฝืนทนมาจนถึงตอนนี้ ก็นับว่าคงจะถึงเวลานั้น แล้วจริงๆ

หยวนชิงหลิงไม่เข้าใจกฎระเบียบใดๆของราชสำนัก แต่ ต่อให้เป็นครอบครัวของสามัญชน หากปู่จะจากไป เหล่า บรรดาหลานชายหลานสะใภ้ ต่างก็ต้องไปร่วมส่งเขาเป็นครั้ง สุดท้ายทั้งนั้น
หยวนชิงหลิงค่อยๆพยุงร่างขึ้นช้าๆ บาดแผลยังคงไม่สมาน ตัว เลือดที่ไหลเกาะติดไปกับเสื้อผ้าจนเป็นเนื้อเดียวกัน เพียงเคลื่อนไหวน้อยๆ ก็เจ็บจนน้ำตาแทบจะไหลออกมาแล้ว

เมื่อคืนไปรักษาบาดแผลให้หกเกอเอ๋อ พอแผลถูกกระทบ

กระเทือน เลือดจึงไหลออกมาไม่หยุด บาดแผลตอนนี้จึงดู

เลวร้ายอย่างมาก มือทั้งสองข้างของหยวนชิงหลิงไร้เรี่ยวแรง คนจึงล้มลงไป

บนเตียงอีกครั้ง

เมื่อเห็นแบบนั้น ลู่หยาจึงรีบพูดว่า “ข้าน้อยจะกลับไปเรียน ท่านอ๋องเองเพคะ พระชายาในตอนนี้คงไม่อาจเคลื่อนไหวได้ จริงๆ”

แรงกระเทือนที่ส่งถึงหยวนชิงหลิงครั้งนี้ ยิ่งเพิ่มความมึนงง ให้กับหยวนชิงหลิง นไปอีก นางล้มตัวลงนอนบนเตียงอีก ครั้ง ได้ยินเสียงลู่หยาวิ่งออกไปแล้ว ในสมองก็คิดไปมาอย่าง มึนงงว่า นางเป็นถึงขนาดนี้แล้ว อ่องฉู่นั่นคงจะไม่คิดพานาง ที่บาดเจ็บขนาดนี้เข้าวังไปอีกหรอกนะ?

นางฝืนตัวเองลุกขึ้นมา แล้วกินยาลดไข้เข้าไปอีกเม็ด เสี้ยว นาทีที่กำลังจะปิดกล่องยานั่นเอง สายตากลับเหลือบไปเห็น ยาเม็ดอะโทรจีนขวดหนึ่ง นอนนิ่งอยู่ในนั้น

ไม่เคยมียาอะโทรพีน อยู่ในกล่องยาของนางสักหน่อย
หลังจากเปิดออกดูอีกครั้ง ก็พบว่ามีโดปามีนชนิดฉีด และ ยาฉีดเข้าเส้นเลือดดำขนาดเล็กชนิดพิเศษที่นางเป็นคน ออกแบบเอง

เป็นไปไม่ได้!

โดปามีนกับอะโทรพีน เป็นยาที่มีอยู่ในห้องปฏิบัติการ ทดลอง ใช้เป็นยาสำหรับการปฐมพยาบาลแบบฉุกเฉิน นาง เคยเตรียมไว้จำนวนหนึ่งในห้องทดลอง แต่ถึงอย่างนั้น ก็ ไม่มีทางใส่ไว้ในกล่องยาแน่ๆ รวมถึงอุปกรณ์เครื่องใช้ทั้ง หลายที่ใช้สำหรับฉีดยา หรือยาที่ฉีดเข้าเส้นเลือดเหล่านั้น ก็ไม่น่าจะใส่ไว้ในกล่องยาเช่นกัน

ยิ่งไปกว่านั้น ตอนที่พบกล่องยาหยวนชิงหลิงได้ตรวจสอบ ยาในนั้นทั้งหมดแล้ว และยืนยันได้แน่นอนว่าไม่มียาสองชนิด นี้จริงๆ


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ