หมอยเยอดดวงใจ

บทที่ 1 ย้อนเวลามาเป็นพระชายา



บทที่ 1 ย้อนเวลามาเป็นพระชายา

จวนอ๋องฉู่หอเพิ่งหยีในแคว้นเป่ยถัง

แสงเทียนไหวเอนไปมา สะท้อนให้เห็นตัวอักษรสีแดง ขนาดใหญ่ที่เขียนคำว่าความสุขประดับอยู่ เงานั้นสาดทอ ประกายแสงจากขอบอักษรสีทองอันอ่อนโยนนุ่มนวลสบายตา ปรากฏเป็นเงาคู่หนึ่งสาดฉายจนเต็มทั่วทั้งผนังห้อง

ใบหน้าของหยวนชิงหลิงเต็มไปด้วยความกล้ำกลืนฝืนทน ทั้งยังไม่เต็มใจอย่างสุดแสน

แต่งงานมาแล้วหนึ่งปีเต็มๆ เขาไม่เคยแม้แต่จะแตะต้อง เส้นผมของนางแม้เพียงครึ่งเส้น เมื่อไม่กี่วันก่อนได้เข้าวังไป ไทเฮาทรงทอดพระเนตรมายังหน้าท้องอ้นแบนราบของนาง พลางทอดถอนพระปัสสาสะ ทรงแสดงท่าทีผิดหวังอย่างมาก ทั้งยังตรัสถึงเรื่องรับพระชายารองขึ้นมาอีกด้วย ดังนั้นนางจึง จําต้องทูลไทเฮาไปตามจริงว่า พวกเขาแต่งงานกันมาหนึ่งปี แล้ว แต่ก็ยังไม่เคยได้ร่วมหอกันเลยแม้เพียงครั้งเดียว

นางไม่ได้อยากร้องห่มร้องไห้มาฟ้องร้องกล่าวโทษอะไร นางเพียงแค่ รู้สึกไม่ยินยอมกับเรื่องนี้ก็เท่านั้น

นับตั้งแต่ได้เห็นเขาครั้งแรกเมื่อตอนอายุสิบสามหัวใจของ นางก็ถูกผูกติดอยู่กับเขาไปจนหมดแล้ว นางขวนขวายทำทุกวิถีทาง จนสุดท้ายก็ได้แต่งเป็นพระชายาของเขาจน ได้ เดิมทีนางคิดเอาไว้ว่า ต่อให้เป็นก้อนหินที่แข็งทื่อเย็นชา แค่ไหน นางก็คงสามารถใช้ความอบอุ่นร้อนแรงสลายได้ แต่ ดูเหมือนว่านางจะประเมินตัวเองสูงเกินไปเสียแล้ว

ทั้งที่เป็นสามีของนางแท้ๆ แต่นางกลับมองไม่เห็นความ สงสารเห็นใจใดๆ จากในแววตาของเขาเลยแม้แต่น้อย เห็น เพียงความเกลียดชังอันดุดันคลุ้มคลั่งเท่านั้น นางรู้สึกราวกับ ว่ามีเข็มพิษแทงเสียดเข้าไปในหัวใจของนางอย่างโหดเหี้ยม รุนแรงก็ไม่ปาน

ในใจพลันปรากฏความเกลียดชังที่อธิบายไม่ได้ผุดขึ้นมา วูบหนึ่ง พยายามดิ้นรนสุดกำลังเพื่อฝืนพยุงร่างกายขึ้น ออกแรงกัดริมฝีปากของเขาจนเต็มแรง

เลือดสดๆรินไหลออกมา รสคาวของเลือดค่อยๆหยดเข้าไป

ในปากของนาง

แววตาของหมู่เหวินเห้าพลันมืดครึ้มจมลงทันที หยุดกาย ยืนขึ้น แล้วตบเข้าที่ใบหน้านางฉาดใหญ่ด้วยสีหน้าที่เย็นชา ราวกับหยกสลักไร้ชีวิต“ หยวนชิงหลิง ข้าจะร่วมหอกับเจ้า ตามที่เจ้าต้องการ แต่นับจากวันนี้เป็นต้นไปข้ากับเจ้าจะ ถือว่าเป็นแค่คนแปลกหน้าที่ผ่านทางมาเท่านั้น”

หยวนชิงหลิงยิ้มออกมา เป็นรอยยิ้มที่โศกเศร้าสิ้นหวังอย่าง ถึงที่สุด “เจ้าเกลียดข้าถึงเพียงนี้เลยเชียวรึ
ก่อนจะแต่งออกมา แม่ของนางได้สอนสิ่งที่นางควรรู้ในฐานะ ภรรยามาแล้ว แต่เขามาหานางหลังจากการกินยา ครั้นเมื่อ ฤทธิ์ของยาหมดลง เขาก็ลุกขึ้นโดยไม่มีร่องรอยของความ รักใคร่อาลัยใดๆเลยแม้แต่น้อย

ชุดสีน้ำเงินถูกม้วนขึ้นฉับ ท่อนขายาวๆ เตะเข้าที่โต๊ะกับ เก้าอี้จนล้มระเนระนาดลงกับพื้น ทุกอย่างเละเทะยุ่งเหยิง เสียงของเขาเจ๋อหุ้มความเย็นชา ดวงตาเรียวยาวดั่งหงส์ที่ มองมาเต็มไปด้วยความดูถูก “เกลียดหรือ? เจ้ามันไม่คู่ควร ด้วยซ้ำ ข้าแค่ขยะแขยงเจ้าต่างหาก ในสายตาข้า เจ้ามันก็ เหมือนแมลงวันที่คอยไล่ตอมกลิ่นเหม็นเน่า ใครเห็นใครก็รู้สึก รังเกียจนั่นล่ะ หากไม่เช่นนั้น ข้าก็คงไม่จําเป็นต้องดื่มยาก่อน ที่จะมาร่วมหอกับเจ้าหรอกรู้ไว้ด้วย ”

เขาเดินออกไปราวพายุหมุน นางได้แต่มองดูชุดคลุมสีเขียว หายลับออกไปที่หน้าประตู มีเพียงลมหนาวที่พัดโชยเข้ามา จากประตูไม่หยุดยั้ง พัดจนหัวใจของนางหนาวเหน็บเยียบ เย็นจนเกินจะทานทน

เสียงของเขาดังมาจากที่ไกลๆว่า “ นับจากนี้ ไม่จำเป็นต้อง ปฏิบัติต่อนางในฐานะเจ้านายอีกต่อไป ให้ทำเหมือนกับว่า จวนอ๋องฉู่แห่งนี้ เลี้ยงหมาเพิ่มขึ้นมาอีกตัวหนึ่งก็พอ”

ช่างเจ็บปวด มันช่างเจ็บปวดจริงๆ นางได้ร่วมหอกับเขา ตามที่ตนเองปรารถนาแล้ว แต่ทว่า เขากลับใช้วิธีนี้เหยียบ บดขยี้หัวใจของนางจนแหลกสลายไม่มีชิ้นดี

นางดึงปิ่นที่ประดับอยู่บนศีรษะออกมา …..
ในหอเฝิ่งหยี บังเกิดเสียงหวีดร้องของสาวใช้ดังลั่นออกมา

“พระชายาฆ่าตัวตายแล้ว……

ความมืดเข้าปกคลุมหอเฝิ่งหยี แม่นมณีมาส่งหมอจากไป หัน หลังแล้วเดินกลับเข้าไปในห้องด้วยสีหน้าเย็นชา

“ถ้าพระชายาจะตาย ก็รอจนกว่าท่านอ๋องจะหย่ากับเจ้า แล้วค่อยกลับไปตายที่บ้านตัวเองสิ จะได้ไม่ทำให้จวนอ๋องฉู่ ต้องสกปรกมัวหมอง ทำให้ท่านอ๋องพลอยโชคร้ายไปด้วย”

หยวนชิงหลิงลืมตาขึ้นช้าๆ มองดูผู้หญิงที่มีใบหน้าดุร้าย ตรงหน้านางครู่หนึ่ง

คอของนางแห้งผาก

แล้ว

“มีปัญญารนหาที่ตาย ก็ต้องมีปัญญาไปเทน้ำดื่มเองแล้วกัน” แม่นมฉีพูดจบ ก็มองนางแวบหนึ่งอย่างรังเกียจ หลังส่งเสียง ถ่มน้ำลายสบถออกมาเสียงหนึ่ง ก็เดินออกไปทันที

หยวนชิงหลิงพยายามลุกขึ้น ร่างกายเจ็บปวดจนเหมือนจะ แตกออกเป็นเสี่ยงๆ ตะเกียกตะกายไปคร่อมตัวลงบนโต๊ะ ริน น้ำแก้วหนึ่งด้วยอาการสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง แล้วดื่มอึกๆลงไปจน หมด ถึงค่อยรู้สึกตัวว่า ตนเองกลับมามีชีวิตแล้วจริงๆ
นางมองดูบาดแผลบนข้อมือตัวเอง รู้สึกตื่นตระหนกตก ตะลึงอยู่ครู่ใหญ่ จนถึงตอนนี้ นางก็ยังคงทําใจยอมรับกับสิ่ง ที่เกิดขึ้นตรงหน้าไม่ได้

นางเป็นที่รู้จักในฐานะเด็กอัจฉริยะมาตั้งแต่ยังเล็ก อายุสิบ ขวบก็ได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยแพทย์กวางโจว ในสาขา การแพทย์ทางคลินิกสมัยใหม่ เป็นนักศึกษาปริญญาเอกตอน อายุสิบหก นางเป็นนักศึกษาปริญญาเอกที่อายุน้อยที่สุดใน ศตวรรษที่ยี่สิบสอง หลังจากนั้นนางไม่ได้ไปเป็นหมอ แต่ไป เลือกเรียนวิทยาศาสตร์ชีวการแพทย์

หลังจากคว้าปริญญาเอกมาได้สำเร็จ ก็ไปหมกมุ่นอยู่กับ การวิจัยเรื่องไวรัสวิทยาต่อ หลังจากคร่ำเคร่งอยู่ในสถาบัน ไวรัสวิทยาเป็นเวลาสองปี ก็ได้รับการว่าจ้างจากบริษัทด้าน ชีววิทยาแห่งหนึ่ง เพื่อไปพัฒนายาที่ช่วยกระตุ้นพัฒนาการ ทางสมอง


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ