บทที่ 9 ขับไล่วิญญาณชั่ว (หนึ่ง)
เจิ้งหยวนรู้สึกกลัดกลุ้มใจมาก เห็นชีวิตความเป็นอยู่ของ ครอบครัวดีขึ้นเรื่อยๆ บ้านชั้นเดียวในเมื่อก่อนก็ได้เปลี่ยนเป็น ตึกสามชั้นแล้ว และตนก็ได้ถูกแต่งตั้งให้เป็นสร้างความร่ำรวย ได้มากที่สุด ลูกชายเพียงคนเดียวของตระกูลเจิ้งก็ได้แต่งงาน เมื่อปีที่แล้ว และปีนี้ได้คลอดหลานชายอ้วนท้วนให้คนคนหนึ่ง
เมื่อเห็นว่าคุณภาพชีวิตกำลังดีขึ้นเรื่อยๆ ทว่าลูกชายของเขา กลับตกเขาตายขณะเดินทางขึ้นไปบนภูเขากับคณะเมื่อไม่กี่วัน ก่อน และพอศพถูกนำกลับมาที่บ้าน เดี่ยวซานหลานชายของเขา ก็เริ่มไข้ขึ้นสูงและพูดจาไม่รู้เรื่อง ส่งไปตรวจที่โรงพยาบาล ฉีดยาไปเท่าไหร่ก็ไม่มีผล หมอก็บอกไม่ได้ว่าเป็นอะไร
ด้วยความโกรธเจิ้งหยวนจึงนำตัวหลานชายกลับมาจากโรง พยาบาล จะหานักพรตมาขับไล่วิญญาณชั่วที่บ้าน แต่ใครจะไปรู้ นักพรตที่หามาใช้ไม่ได้สักคน ราคาที่ตั้งก็สูงขึ้นเรื่อยๆ
เงินทองนั้น ขอเพียงยังมีชีวิตอยู่ก็สามารถหาใหม่ได้ เจิ้ง หยวนไม่เสียดายหรอก แต่นักพรตพวกนี้ไม่คู่ควรกับราคานี้ จริงๆนินา เข้ามาในบ้านปุ๊บก็เริ่มเต้นโลด ติดผ้ายันต์ไปทั่วบ้าน ติดไปติดมาก็ไม่เห็นจะเกิดประโยชน์อะไร
คนเมื่อกี้นี้ยิ่งแล้วใหญ่ บอกว่าลูกสะใภ้เป็นดวงกินผัว จะพา เธอกลับไป และยังจะกรอกน้ำมนต์หลานชายอีก กรอกก็กรอก แต่พอดื่มลงไปแล้ว อาการพูดจาไม่รู้เรื่องกลับยิ่งรุนแรงขึ้น ไม่บอกก็รู้ ว่านี่เป็นพวกสิบแปดมงกุฎ ด้วยความโมโห เจิ้งหยวนจึง ได้ใช้ไม้เท้าไล่ทุบนักพรตต้มตุ๋นคนนั้นออกมา
เจิ้งหยวนถอนหายใจยาวเฮือกหนึ่ง ขบกล้องสูบบุหรี่ยาวใน มือเล็กน้อย ก่อนจะหมุนตัวจะเดินเข้าบ้านไป ทว่ากลับพบชาย หนุ่มที่สวมชุดนักพรตสีน้ำคนหนึ่งอยู่หน้าประตูด้วยใบหน้าเปื้อน ยิ้ม
“ไอ้จมูกวัว….ท่านผู้นี้ ไม่ทราบว่าท่านมีธุระอะไรหรือเปล่า”
เจิ้งหยวนสบถคำว่าไอ้จมูกวัวออกมาด้วยความเคยชิน ทว่า กลับพบว่าชายหนุ่มผู้นี้เต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความบริสุทธิ์ แตกต่างจากกลิ่นอายเจ้าเล่ห์ของนักพรตต้มตุ๋นเมื่อกี้นี้อย่างสิ้น เชิง เขาจึงได้รีบเปลี่ยนน้ำเสียงใหม่ เรียกเขาว่าท่าน
หลินไปอาจไม่เข้าใจในความหมายของต้นประโยคแรก ทว่า ก็ไม่ได้พูดออกมา เอ่ยขึ้นอย่างยิ้มแย้ม เทพสยบมาร ฉันคือ นักพรตแห่งเขาเหมาซาน ลงเขามาทัศนาจร ได้ยินท่านผู้เฒ่า กล่าวว่าเขาเหมาซานไร้คน จึงได้เข้ามาไต่ถาม พร้อมกับเข้ามาดู ว่ามีเรื่องอะไรที่ฉันสามารถช่วยได้บ้างหรือเปล่า”
เขาพูดจาได้อย่างรัดกุมมาก แต่มีเพียงหลินไปเท่านั้นที่รู้ดีใน ใจ ลงเขามาทัศนาจรอะไรกัน ตนได้เล็งที่นี่ไว้แต่แรกอยู่แล้ว กะ จะมาดูว่าสามารถหาเงินค่ารถได้บ้างหรือไม่ แม้ว่าตนจะไม่ค่อย ถนัดในด้านหยินหยางฮวงจุ้ยอะไรพวกนี้ แต่ระดับฝีมือของเขาก็ ไม่ใช่สิ่งที่พวกหมอดูต้มตุ๋นอย่างคนพวกนั้นสามารถเทียบเทียม ได้แน่นอน สำหรับข้อนี้ หลินไปมีความมั่นใจไม่น้อยทีเดียว
เมื่อผู้คนเห็นว่าๆก็มีนักพรตหนุ่มโผล่มาอีกคน ก็เกิดเสียง เอะอะโวยวายขึ้นอีกครั้ง คนที่เห็นดีก็มี คนที่มองว่าเป็นพวกต้ม ตื่นก็มี เพียงแต่มีจำนวนผู้คนมากเกินไป หลินไปไม่เห็นว่าเป็น หลังก็ปะปนอยู่ในหมู่ผู้คนด้วย และเมื่อเห็นหลินไปแล้ว สีหน้า ของเขาก็ชั่วร้ายขึ้นมาทันที พูดอะไรบางอย่างกับ jerry ที่อยู่ด้าน ข้างด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
ไม่รอให้เจิ้งหยวนเอ่ยตอบ หลินไปเหลือบมองหน้าเจิ้งหยวนที่ หนึ่ง จากนั้นมองเข้าไปยังสวนด้านใน
สวนตกแต่งไว้อย่างงดงาม ด้านขวามือของสวนคือบ่อปลาที่ ทําจากหินอ่อน อีกด้านหนึ่งคือต้นไม้คอเอียงต้นหนึ่ง เอียงนอก ไปนอกรั่วบ้าน องศาการเลี้ยงเป็นแนวขวางกับถนนพอดี ดูแล้ว ประหลาดยิ่งนัก ส่วนการตกแต่งด้านบนค่อนข้างพิถีพิถัน เป็น หน้าต่างยาวที่ขอบตกถึงพื้นทั้งหมด ดูแล้วได้รับความสว่างเต็ม ที่ ตามหลักแล้ววิญญาณชั่วพวกนี้ไม่กล้าเข้ามาใกล้
เมื่อหลินไปกวาดสายตามองมุมตึก จู่ๆก็เกิดเย็นวูบขึ้นทันที รู้สึกเหมือนมีกลิ่นอายหนึ่งแล่นออกมาจากสายตา และเห็นบน ชายคาตึกมีเงามืดหนึ่งหายวาบไป หากจะบอกว่าเป็นเงามืดก็คง ไม่ค่อยถูก ต้องบอกว่าเป็นเมฆด่าจะใกล้เคียงกว่า
นี่ นี่คือ หลินไปชะงักไป พร้อมกับพิมพ์ออกมา ตาของเขา เป็นอะไรไป ทำไมถึงมองเห็นของพวกนี้ สายตาหยินหยางต้อง เป็นคนที่เกิดปีหยินเดือนหยินวันหยินเท่านั้นที่จะมีไม่ใช่หรือ แล้วเขานี่คืออะไร?
ท่านนักพรต เกิดอะไรขึ้น เจิ้งหยวนเห็นท่าทางที่ตกตะลึงหลินหลินไปเห็นที่อยู่วิญญาณชั่วแล้ว จึงรีบเอ่ยถามขึ้น
“ฉันเห็นของวิญญาณชั่วที่ท่านบอกแล้ว หลังจากหลิน ไปไปครู่ ก็ไปยังตำแหน่งชายคาบนชั้นสาม พร้อม กับบอกเจิ้งหยวน
เมื่อหลินหลุดออกห้อมล้อมกันหัวเราะลั่นขึ้นทันที เวลาเที่ยงตรง ตำแหน่งหลิน ไปเป็นตำแหน่งที่แสงแดดตกกระทบสถานที่พลังงานหยางมากมายขนาดนี้ จะพวกวิญญาณชั่ว อยู่ได้อย่างไรกัน
แต่เมื่อเจิ้งหยวนฟังพูดขอหลินไป หน้าก็เปลี่ยนไปทันที หลินเดินเข้าไปหลังจากที่ประตูใหญ่เรียบร้อย ทิ้งตัวคุกเข่าลงตรงหน้าหลินทันที เอ่ยด้วยน้ำ หูน้ำตาไหลอาบท่านพรต โปรดช่วยชีวิตด้วย อย่าร้ายบนตึกตัวนั้นมาคร่าชีวิตอีกเลย”
“ร้ายหลินไปครุ่นคิดถึงเรื่องดวงตาของตัวเองขึ้นอีกครั้ง อย่างไม่ได้ เอ่ยขึ้นพลางจ้องหน้าเจิ้งหยวนนิ่ง
หยวนด้วยความรู้สึกผิด ตอนนั้นครอบครัวของฉันสร้างตึกได้ จ้างคนงานต่างถิ่นกลุ่มหนึ่งสร้าง ตอนนั้นเป็นช่วงฤดูร้อน ครอบครัวอยู่ข้างนอก ฉันก็เลยรับเหมา ว่า คนงานเสร็จ แต่ใครจะไปคาดคิดว่ามีเสี้ยวซานคนหนึ่งตากแดดจนเป็น ลมหมดสติไปและตกลงมาจากตึกจนเสียชีวิต”
จิตใจมนุษย์หนอ หลินไปทอดถอนใจเฮือกหนึ่งอากาศข้าง ล่างเขาเหมาซานนั้นเขารู้ดีว่าเป็นอย่างไร ในสภาพอากาศเช่นนี้ ให้คนงานไปทํางานใช้กำลังในที่สูงๆ จะไม่เกิดเรื่องได้อย่างไร
“ท่านนักพรต ตอนนั้นฉันก็ไม่ได้คิดว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น แต่มันก็ทําอะไรไม่ได้นินา คนในครอบครัวของเขามาเรียกร้อง ค่าเสียหายจากฉัน และฉันก็ชดใช้ไปแล้ว เขาไม่ควรจะมา ก่อกวนฉันอีก” เจิ้งหยวนคว้าแขนเสื้อหลินไปไว้ เอ่ยด้วยน้ำตา อาบหน้า ท่านนักพรต ท่านต้องช่วยเสียวซานนะ ต่อให้ ครอบครัวต้องล่มจม ขอเพียงเสี้ยวซานปลอดภัยก็พอ”
พอพูดไปพูดมา เจิ้งหยวนก็คุกเข่าลง “ตระกูลเจ๋งของเราเหลือ เสี่ยวซานเป็นทายาทเพียงคนเดียวแล้ว หากเสียวซานตายไป คนอายุปูนนี้อย่างฉันตายไปเป็นเพื่อนเขาดีกว่า
เมื่อเห็นว่าเจิ้งหยวนก้มคำนับจนดัง โป๊ะๆแล้ว ไม่ว่าหลินไปถึง อย่างไรก็ดึงไม่ขึ้น จึงได้แต่เอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มเจื่อนๆ ท่านผู้เฒ่า ฉันเองก็ไม่ได้บอกว่าจะไม่ช่วยท่าน รอให้ฉันขจัดวิญญาณร้าย ในบ้านท่านก่อน แล้วท่านค่อยขอบคุณฉันก็ได้”
พูดจบ หลินไปก็ชี้ไปยังตำแหน่งที่ตนเห็นเงามืดเมื่อสักครู่นั้น เอ่ยถามเจิ้งหยวน”เสี่ยวซานคนนั้นตกลงมาจากที่นั่นใช่หรือไม่
“ใช่ ตรงนั้นแหละ ท่านนักพรต ฉันก็ชดใช้เงินให้เขาไปแล้ว ทำไมเขาถึงยังไม่ยอมปล่อยครอบครัวฉันไปอีกล่ะ”เจิ้งหยวนมองตามไปยังทิศทางมือของหลินไปที่ออกไป เป็นตำแหน่งที่ เสี่ยวซานคนนั้นตกลงมาตายพอดี พร้อมเอ่ยขึ้นอย่างโศกเศร้า
หลินไปเพียงยิ้มเล็กน้อย ไม่ได้เอ่ยพูดอะไร เรื่องวิญญาณชั่ว พวกนี้ เป็นเรื่องที่ลี้ลับมาก การก่อขึ้นต้องอาศัยหลากหลาย ปัจจัย ไม่ใช่แค่เรื่องชดใช้หรือไม่ได้ชดใช้เท่านั้น
“หากฉันเดาไม่ผิด ช่วงนี้ลูกชายกับลูกสะใภ้ของท่านพักอยู่ที่ ชั้นสาม ใช่ไหม”หลินไปเอ่ยถามยิ้มๆ
หากไม่ใช่เพราะหลินไปเอ่ยขึ้น เจิ้งหยวนก็ไม่ได้นึกถึงเรื่องนี้ เช่นกัน ทว่าตอนนี้เมื่อหลินไปเอ่ยขึ้น เขาก็นึกขึ้นมาได้ว่าตอนนั้น ลูกชายกับลูกสะใภ้ของเขาบอกว่าชั้นสามเย็นสบายกว่า จะอยู่ที่ ชั้นสาม ให้ได้ แต่พอมานึกดูตอนนี้ ชายคาบ้านกลางฤดูร้อนจะ เย็นกว่าชั้นหนึ่งได้อย่างไร พอคิดไปคิดมา ตอนนั้นต้องมี วิญญาณชั่วอยู่แน่ๆ ๆๆหนังหัวของเขาก็ชาขึ้นมาเรื่อยๆ
เห็นสีหน้าท่าทีบนใบหน้าของเจิ้งหยวน หลินไปได้รู้แล้วว่า ตนเองพูดถูก ทําท่าตามท่าทางของอาจารย์ตอนที่ตนติดตามลง เขาตอนนั้น หลังจากหลับตาท่องคาถาอยู่ครู่หนึ่ง เอ่ยขึ้นด้วย รอยยิ้มนิดๆ เมื่อเป็นเช่นนี้เรื่องนี้ก็จัดการง่ายแล้วล่ะ ท่านให้ลูก สะใภ้ของท่านกับเสี่ยวซานย้ายลงมาจากชั้นสามเถอะ”
ไม่มีความลังเลใดๆ เจิ้งหยวนทิ้งหลินไปไว้ตรงนั้นก่อนจะพุ่ง ขึ้นตึกไป และเพียงไม่นาน สาวสวยอายุราวสามสิบกว่าๆคนนั้น ก็อุ้มเด็กชายคนหนึ่งเดินลงมาจากตึก เด็กชายที่อยู่ในอ้อมอก สีหน้าซีดเผือด ลมหายใจรวยริน
ทันทีที่เห็นหลินไป สาวสวยวัยกลางคนคนนี้ก็คุกเข่าลงกับพื้น ทันที หลินไปรีบยื่นมือไปคว้าเอาไว้ อย่าเลย ฉันรับไม่ไหวจริงๆ ที่พวกคุณค่านับฉันครั้งแล้วครั้งเล่าแบบนี้ วางใจเถอะ เรื่องนี้ฉัน จะทำให้สุดความสามารถ จะไม่เสื่อมเสียชื่อเสียงของเขาเหมา ซานของพวกเราเด็ดขาด”
“คุณอุ้มเด็กคนนี้ไปนั่งกลางแดดครู่หนึ่งก่อน ให้เด็กคนนี้ได้ รับพลังหยางหน่อย เวลาอุ้มเด็กให้ประคองหลังของเขาเบาๆ คอยเรียกชื่อเขา”หลินไปเอ่ยขึ้น หลังจากเหลือบมองเด็กน้อยใน อ้อมอกของหญิงสาวคนนั้น
สําหรับเรื่องการแดดนี้ไม่มีใครเคยบอก แต่นี่คือการเรียกชื่อ ในชนบทเรียกวิธีนี้ว่าการเรียกวิญญาณ ช่วงที่ผ่านมานี้หญิงสาว ได้ใช้มานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว ทว่ากลับไม่เกิดผลอะไรเลย เมื่อ ได้ยินคำพูดนี้จากหลินไป เธอจึงเชื่องช้าอยู่เล็กน้อย
“ซิ่วเอ๋อ เร็วเข้า รีบอุ้มลูกออกไปตากแดดและเรียกวิญญาณ ตามที่ท่านนักพรตบอก เมื่อชายชราเห็นลูกสะใภ้เชื่องช้า จู่ๆก็ เกิดมาดของผู้ปกครองขึ้นมา มองหน้าพลางพูดกับเธออย่าง ดุดัน
เมื่อเห็นหญิงสาวอุ้มเด็กออกไปในสวนนอกบ้านออก หลินไป กวาดสายตาสํารวจบ้าน ก่อนจะเอ่ยขึ้นเบาๆ ท่านไปออกไปกอง ต้นอ้ายสองกองและจุดไฟหน้าประตู ให้ควันต้นอ้ายลอยเข้ามา ในบ้าน ฉันขอขึ้นไปดูบนตึกหน่อย”
“ท่านนักพรต ไม่สิ ท่านเทวดา ฉันจะไปเตรียมเดี๋ยวนี้แหละท่านขึ้นไปดูเถอะ หลังจากที่เจิ้งหยวนได้ฟังคำสั่งการของหลินไป ก็ยิ่งรู้สึกว่าหลินไปไม่ธรรมดาจริงๆ คำเรียกขานก็ได้เปลี่ยนจาก นักพรตเป็นเทวดาทันที
เมื่อหลินไปได้ยินคำพูดของเจิ้งหยวน เขาเกือบจะหลุดออก มา ความจริงแล้วพวกการเรียกวิญญาณล้วนเป็นคำพูดเพ้อเจ้อ เด็กคนนี้ก็แค่มีพลังงานหยินมากเกินไป อาจจะเป็นเพราะเห็น เงามืดนั้นก็เลยตกใจ ที่ให้หญิงสาวคนนั้นเรียกชื่อ ก็เพื่อให้เขา หลับอย่างสบายใจ ส่วนเรื่องการตากแดดนั้น คือประสบการณ์ที่ หลินไปเก็บเกี่ยวมาจากหลายปีมานี้ที่เร่ร่อนไปทั่วในโลกกว้าง
ดูจากความห่วงใยของเจิ้งหยวนและสีผิวของเด็กคนนั้นแล้ว เด็กคนนี้คงถูกตามใจเลี้ยงดูมาเป็นอย่างดี ปกติก็คงเลี้ยงไว้ใน บ้าน กลัวว่าออกไปนอกบ้านแล้วจะได้รับลมหนาวจนไม่สบาย นําโบราณกล่าวได้ดีมาก ปัจจัยหรือเงื่อนไขใดเพียงด้านเดียว ไม่สามารถทำให้สรรพสิ่งเติบโตหรือปรากฏขึ้นได้ แม้แต่การที่ ดอกไม้ดอกหญ้าจะเติบโตก็ต้องตากแดด แล้วยิ่งเด็กล่ะ นี่ไม่ได้ เกี่ยวข้องอะไรกับพวกไสยศาสตร์ทั้งนั้น
เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ