บทที่ 3 สตรีสองนางแต่งงานร่วมกัน
ในเมื่อคนตระกูลโอวหยางมองตนอย่างขัดหูขัดตา เช่นนั้น ตนเองก็มจําเป็นต้องแสดงความจริงใจต่อพวกเขา
มิฉีกหน้ากันไปเสีย ตรงกันข้ามตนเองจะได้เป็นพระชายา หวั่น ในไม่ช้าแล้ว เรื่องเช่นนี้ แม้ว่าที่ตบไปจะเป็นพระสนมของ ฮ่องเต้ในอนาคต แต่ทว่าโอวหยางหวั่นเอ๋อกลับเชื่อมั่นว่า ท่าน ปู่เป็นคนที่เฉลียวฉลาดและมีความสามารถแน่นอนว่ามิอาจมา คิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องเช่นนี้
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ครั้งนี้ตนเอง ได้ก่อเกิดความบาดหมาง ต่อโอวหยางเหยียนเสี้ยวขึ้นแล้ว
แต่แล้วอย่างไร จวนอ๋องอันเล่อนั้นอยู่ต่างเมืองห่างไกล อำนาจฮ่องเต้ หากตนเองแต่งออกไป เดิมที่ตนเองก็มจำเป็น ต้องอดทนอดกลั้นต่อเรื่องราวหรือว่าผู้คนของที่นี่อีกต่อไป
ไฉนจักต้องฝืนยิ้มอย่างมีความสุขอยู่อีก
โอวหยางหวั่นเอ่อ ใช้สมองใคร่ครวญมาเป็นอย่างดี เห็นชัด ว่าท่ามกลางตระกูลโอวหยางไม่มีผู้ใดกล้าออกหน้าแทนโอว หยางเหยียนเสี้ยวแม้แต่ผู้เดียว
เพียงแค่นั่งอยู่ในห้องหับของหญิงสาวอย่างเงียบๆรอคอยการ แต่งงาน
ในเมื่อโอวหยางเหยียนเสี้ยวส่งเสียงโหวกเหวกโวยวายอยู่หลายครั้งหลายครา แต่กลับถูกโอวหยางหวั่นเอ๋อห้ามแสดง ข้อคิดเห็นและมองข้าม ทำให้ผู้คนสงสัยเจตนาของนางที่มีต่อ ตนอย่างเป็นอันหนึ่งใจเดียวกัน
แม้ว่าจะเป็นเพียงคนโง่ ดีร้ายอย่างไรก็เป็นถึงท่านอ๋อง ตนเองแต่งออกไป ก็ถือได้ว่าเป็นพระชายา ดังนั้นจึงไม่มีอะไร ให้กังวล
ทว่าโอวหยางหวั่นเอ๋อสังหารผู้คนมาเนิ่นนานในชาติที่แล้ว
จะปล่อยวางความระมัดระวังตัวได้อย่างไรกัน
เมื่อเตรียมการทุกอย่างมาก่อนแล้ว เพียงแค่รอเกี๊ยวเจ้าสาว มาเยือนหน้าประตูเท่านั้น
วันที่เจ็ด เดือนสิงหาคม
ตระกูลโอวหยางมีสินสอดทองหมั้นที่ยาวเป็นสิบลี้ และประดับ ประดาด้วยผ้าและโคมไฟที่สวยงาม
เปี่ยมไปด้วยความปิติยินดีเป็นระลอก
เกี้ยวเจ้าสาวสองหลังหยุดอยู่ตรงหน้าประตูจวนโอวหยาง รอ ดอยสาวงามแห่งจวนโอวหยางออกจากประตู
ท่ามกลางศาลาภายในจวน ทุกหนทุกแห่งล้วนมีแต่ บรรยากาศที่เปี่ยมไปด้วยความปิติยินดี
โอวหยางหวั่นเอ๋อปล่อยให้สี่เหนียง (สตรีที่คอยติดตามรับใช้ เจ้าสาว ทำผมและแต่งหน้าให้ตนเองอย่างสงบเงียบ พลางมอง เงาสะท้อนของตนเองที่หน้ากระจกแม้ว่าโอวหยางหวั่นเอ๋อจะเป็นนักฆ่าเมื่อชาติที่แล้ว จึงมีท่าที ที่ค่อนข้างเย็นชา แต่ที่โอวหยางเหยียนเสี้ยวกล่าวนั้นแท้จริง แล้วเป็นความจริง
ในโลกนี้ มีสตรีผู้ใดบ้างที่จะไม่รักใบหน้าของตนเอง
นางสัมผัสรอยแผลเป็นบนใบหน้าของตนอย่างช้าๆ โอว หยางหวั่นเจือพลันยิ้มขึ้นอย่างสาวงามล่มเมือง
หน้าตาอัปลักษณ์อย่างที่ผู้คนรู้กันหรือไม่ ? เช่นนั้น ตนจะ
ทำให้ผู้คนทราบเอง ว่าสาวงามล่มเมืองนั้นเป็นอย่างไร?
หลังจากคลุมผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวอย่างสงบเรียบร้อยแล้ว โอ วหยางหวั่นเอ๋อจึงได้ก้าวออกมาข้างหน้าทีละก้าว
“พี่สาว ผ่านไปหลายวัน ท่านก็จะต้องเรียกข้าว่าเหนียง เหนียง (คนอื่นเรียกสนมของฮ่องเต้อย่างเคารพ)แล้ว” โอวหยาง เหยียนเสี้ยวกล่าวอยู่ข้างๆด้วยน้ำเสียงที่ดูพึงพอใจ
โอวหยางหวั่นเอ๋อก้มศีรษะ เป็นไปตามคาดได้เห็นรองเท้าปัก
ลายดอกไม้ที่อยู่ข้างกายของตน
กลับหยุดฝีเท้าลงไม่ได้ก้าวเดินต่อไปข้างหน้าอีก
“พี่สาว วันนี้ข้ายังเป็นเพียงน้องสาวของท่าน น้องสาวเชิญ ท่านไปก่อน” โอวหยางเหยียนเสี้ยวกล่าวอย่างพินอบพิเทา
ไม่จำเป็นต้องมอง โอวหยางหวั่นเอ๋อก็ทราบได้ว่าภายใต้ผ้า คลุมหน้าของโอวหยางเหยียนเสี้ยวเวลานี้ได้ปรากฏรอยยิ้มที่น่า เกลียดน่าชังเพียงใด
บัดนี้กลับใจกว้างให้ตนเองไปก่อนเช่นนี้ เกรงว่าจะต้องมี แผนการร้ายบางอย่างอย่างแน่นอน
พลันก้มศีรษะและไม่ขยับร่างกาย โดยอาศัยมุมที่อยู่ภายใต้ผ้า คลุมหน้ามองไปรอบๆอย่างพินิจพิเคราะห์
แน่นอนว่า ท่ามกลางจุดที่ไม่เป็นที่สังเกตมุมหนึ่ง มีคนสอง คนกำลังดึงเชือกไหมเส้นบางอยู่เส้นหนึ่ง ดูเหมือนว่าเพียงแค่ ตนเดินผ่านตรงนั้นไป เชือกก็จะถูกดึงขึ้นอย่างรุนแรงจนทำให้ ตนสะดุดล้ม
โอวหยางหวั่นเอ๋อขมวดคิ้ว ในใจลอบหัวเราะอย่างเย็นชา
โอวหยางเหยียนเสี้ยว เจ้าช่างเป็นคนมีจิตใจโหดเหี้ยมยิ่งนัก อยากให้ข้าเสียหน้าต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้ เจ้าไม่มีเมตตา เหตุใดข้าจักต้องอดทนอดกลั้นต่อเจ้าด้วยเล่า?
อาศัยจังหวะที่ตนเองก้าวข้ามเชือกอย่างสบายๆด้วยความ คล่องแคล่ว โอวหยางหวั่นเอ๋อหมุนกาย และกล่าวกับโอวหยาง เหยียนเสี้ยว
“น้องสาว เจ้าก็มาเถอะ”
โอวหยางเหยียนเสี้ยวไม่ได้ยินเสียงร้องที่น่าเวทนาของโอว หยางหวั่นเอ๋ออย่างที่คิดไว้ ในใจรู้สึกสงสัย ทว่าได้ยินเสียงร้อง เรียกตนเองของโอวหยางหวั่นเอ๋อ ท้ายสุดแล้วจึงได้แต่ ฉุนเฉียวด้วยว่าทำอะไรไม่ได้ เดินผ่านประตูใหญ่ท่ามกลางการ ประคองของสี่เหนียง
ขณะเตรียมก้าวลงบันได โอวหยาวหวั่นเอ๋อมือเปล่าที่อยู่ด้าน หลังยกขึ้นมาตลอด ก้อนหินเล็กก้อนหนึ่งกระแทกเข้าที่หลังเข่า ของโอวหยางเหยียนเสี้ยวอย่างแม่นยำไม่ผิดพลาดแม้แต่น้อย
โอวหยางเหยียนเสี้ยวที่ได้สูญเสียแรงโน้มถ่วงไปนั้น ได้ คุกเข่าลงไปอย่างแรง มือทั้งสองข้างตกลงไปที่พื้น
เสื้อคลุมเจ้าสาวที่มีลวดลายร้อยวิหคคำนับหงส์ได้กลายเป็นสี เทา มองดูแล้วคล้ายกับชุดเก่าชุดหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น ไม่หลง เหลือความงดงามเปล่งประกายดังเช่นก่อนหน้านี้
“เหตุใดน้องสาวถึงได้ใจร้อนเช่นนี้? เฮ้อ บัดนี้ทำได้เพียง กลับไปหวีผมล้างหน้าใหม่อีกรอบแล้ว” โอหยางหวั่นเอ๋อเจตนา ทําเสียงทอดถอนใจอย่างเสียอกเสียดาย พลางก้มศีรษะมองโอ วหยางเหยียนเสี้ยวคลานอยู่ที่พื้นอย่างจนตรอก ทว่าภายใต้ผ้า คลุมหน้ากลับลอบหัวเราะอย่างสำราญใจ
“ไม่เป็นไร น้องสาวรีบลุกขึ้นเถิด อย่าได้ให้ผู้อื่นหัวเราะเยาะ เอาได้ พี่สาวไม่รีบ และจะรอน้องสาวอยู่ที่นี่” โอวหยางหวั่นเอ๋ อกล่าวอย่างเข้าอกเข้าใจ ส่วนน้ำเสียงก็เปี่ยมล้นไปด้วยความ อ่อนโยนเช่นกัน
ทำให้ผู้คนรู้สึกได้ว่า พวกนางพี่น้องมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้ง อันดีเช่นปกติ
แม้มิใช่การแสดงละคร โอวหยางหวั่นเอ๋อก็สามารถทำได้ ตนเองก่อกรรมทำชั่ว เช่นนั้นตนเองก็จงเพลิดเพลินไปกับมัน ด้วยดีเสียเถิด
ทีโอวหยางหวั่นเอ๋อยืนหยัดมาตลอดก็คือ การแจ้งข้อ บกพร่อง โอวหยางหวั่นเอ๋อเชื่อมั่นว่า หากผู้ที่ล้มอยู่ที่พื้นคือตนเอง แน่นอนว่า โอวหยางเหยียนเสี้ยวก็คงไม่พลาดโอกาสดีๆที่จะ
หัวเราะเยาะตนเป็นแน่ ตนเองไฉนเลยจะต้องออมมืออีก
โอวหยางเหยียนเสี้ยวปีนขึ้นมาอย่างอาฆาตแค้น ฟังเสียง วิพากษ์วิจารณ์และเสียงหัวเราะของคนโดยรอบแล้ว ใบหน้าได้ สลับแดงสลับขาว นับตั้งแต่ที่นางเกิดมา นี่เป็นครั้งแรกที่นาง เคยเสียหน้าเช่นนี้
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า โอวหยางเหยียนเสี้ยวก็ได้คิดบัญชีกับโอ วหยางหวั่นเอ๋อไว้เรียบร้อยแล้ว
ใบหน้าสวยหยาดเยิ้มได้บิดเบี้ยวขึ้นอย่างแรงกายให้ผ้าคลุม หน้า อาศัยสี่เหนียงประคับประคองตนเข้าไปในจวนโอวหยาง หวีผมล้างหน้าอีกรอบ
ผู้คนจำนวนมากที่มาดูความสนุกครึกครื้นคาดไม่ถึงว่าจะได้ พบกับเรื่องเช่นนี้ ต่างก็ค่อยๆพากันวิพากษ์วิจารณ์แลกเปลี่ยน ความคิดเห็นกันขึ้นมา
สายตาที่มองโอวหยางหวั่นเอ๋อก็เต็มไปด้วยการพินิจ พิเคราะห์
น่าเสียดายที่โอวหยางหวั่นเอ๋อคลุมผ้าคลุมหน้าเอาไว้ จึง ไม่มีผู้คนสามารถมองเห็นโอวหยางหวั่นเอ๋อได้ ทว่าผู้คนกลับ มองโอวหยางหวั่นเอ๋อกันไม่หยุด เนื่องจากอยากดูว่าหญิงสาวที่ลือกันว่าอัปลักษณ์ในใต้หล้าแท้จริงแล้วเป็นอย่างไร
ไม่จําเป็นเป็นต้องพูด
จวนโอวหยางถือว่าจัดการเรื่องราวได้ไม่เลว ไม่ถึงครึ่งชั่ว ยาม โอวหยางเหยียนเสี้ยวก็ได้ปรากฏกายด้วยเครื่องแต่งกาย ชุดใหม่ ทำให้มองไม่ออกถึงท่าทีที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเลย แม้แต่น้อย
ทว่าโอวหยางเหยียนเสี้ยวกลับไม่กล้าที่จะทำท่าที่เย่อหยิ่งเช่น นั้นอีก จึงเดินลงบันไดทำละก้าวอย่างเชื่องช้า ราวกับเกรงว่าจะ สะดุดล้มลงอีกรอบ
โอวหยางหวั่นเอ๋อแม้จะสวมผ้าคลุมหน้า ก็สามารถมองเห็น โอวหยางเหยียนเสี้ยวก้าวฝีเท้า โดยระมัดระวังเป็นอย่างมาก แต่ภายในใจกลับรู้สึกอารมณ์ดีเป็นพิเศษ ซ่อนเสียงหัวเราะเบาๆ ไว้ภายใต้ผ้าคลุมหน้าโดยที่มิอาจอดกลั้นได้อีกต่อไป
หลิงหลงประคองโอวหยางเหยียนเสี้ยวก้าวขึ้นไปบนเกี้ยวเจ้า สาวอย่างระมัดระวัง มองไปยังโอวหยางเหยียนเสี้ยวที่ได้รับ ความอับอายก็ให้รู้สึกจิตใจนั้นสุขสำราญเป็นอย่างยิ่ง
มุมปากและหางคิ้วต่างก็กลั้นรอยยิ้มเอาไว้ไม่อยู่
“เจ้าเป็นใคร? “ขณะที่กำลังจะนั่งลงบนเกี้ยวเจ้าสาว โอว หยางหวั่นเอ๋อกลับมองเห็นชายผู้หนึ่งนั่งอยู่ภายในเกี้ยวเจ้าสาว ของตน จึงได้ตกตะลึงและเปิดปากถามออกไป
ทว่ามือนั้นได้เตรียมการจู่โจมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพียงแค่ขณะนี้ แม้อยากจะขยับก็มิอาจขยับกายได้
เนื่องจาก คมมีดที่เย็นเยียบได้จ่อเข้าที่คอของโอวหยางหวั่น เอ๋ออย่างประชิด คล้ายกับว่าเพียงแค่นางขยับกายเล็กน้อย คน มีดก็สามารถที่จะตัดผ่านผิวหนังที่บอบบางของโอวหยางหวั่นเอ อได้อย่างไร้ความปราณี
โอวหยางหวั่นเอ๋อขมวดคิ้วไปมา มองชายเบื้องหน้าที่คลุม ปกปิดจมูกและปากไว้ รอยย่นบนหัวคิ้วคล้ายกับต้องการจะ กล่าวบางอย่าง หลิงหลงที่อยู่นอกเกี้ยวเจ้าสาวราวกับสังเกตเห็น ความผิดปกติ จึงกล่าวสอบถาม
“คุณหนู ท่านเป็นอันใดหรือไม่เจ้าคะ? ” กริชที่เย็นเยียบขยับเข้าประชิดคอของโอวหยางหวั่นเอ๋ออย่าง เหี้ยมโหด
“บอกนาง เจ้าไม่เป็นอันใด ไม่เช่นนั้น ระวังไว้ว่าแม้แต่ชีวิ ตน้อยๆของเจ้าก็มิอาจรักษาไว้ได้”ชายผู้นั้นออกคำสั่งแก่โอว หยางหวั่นเอ๋ออย่างเคร่งเครียด พลางสังเกตการณ์การ เคลื่อนไหวภายนอกอย่างละเอียดรอบคอบ
“หลิงหลง ข้าไม่เป็นอันใด ยกเกี๊ยวได้” น้ำเสียงที่สงบราบ เรียบดังออกมาจากภายในเกียว ทำให้หลิงหลงปราศจากความ สงสัยใดๆ พยักหน้าไปทางเกี้ยวเจ้าสาวที่ถูกคลุมไว้อย่างมิดชิด กล่าว
“สาวน้อย นั่งเรียบร้อยแล้ว
“ยกเกี๊ยว”กล่าวจบ ไม่รอให้โอวหยางเหยียนเสี้ยวได้นั่งบน เกี่ยวเจ้าสาวของตน ก็นำเกี่ยวเจ้าสาวคุณหนูของตนบรรเลง ดนตรีก้าวเดินไปทางจวนอ๋องอันเล่อที่ตั้งอยู่ท่ามกลางเมืองหลวง
จวนนี้ นอกจากหลิงหลงแล้ว ผู้คน ในจวนหลังนี้ก็น่ารังเกียจ อย่างไม่อาจหาอะไรมาเปรียบ ล้วนแต่ดูถูกผู้อื่น และช่างประจบ สอพลอ ตนเองยังจะมีอะไรให้อาลัยอาวรณ์อีกเล่า?
ชายที่นั่งอยู่บนเกี้ยวเจ้าสาวรู้สึกได้ถึงการสั่นไหวอย่างมั่งคง ของเกี้ยว พลางมองไปยังหญิงสาวที่สงบนิ่งและมีท่าทีเรียบเฉย เช่นเดิมต่อคมมีดที่แหลมคมของตน ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ และ เปิดปากถาม
“เจ้าไม่กลัวข้าหรือ? “น้ำเสียงเต็มไปด้วยความสงสัย ตามหลักแล้ว หญิงสาวผู้นี้ ควรจะเกรงกลัวตนเอง มิใช่ หรือ?
ในวันเดียวกับงานแต่งงาน ไม่เพียงแต่แต่งให้แก่คนโง่ผู้หนึ่ง บนเกี๊ยวยังพบชายแปลกหน้าอีกผู้หนึ่ง ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงมีดที่ จ่ออยู่ที่ลำคอของตน หากเป็นมนุษย์ ย่อมต้องเกรงกลัวเรื่องเช่น นี้มิใช่หรือ?
แต่เหตุใด ตนเองถึงเห็นหญิงสาวผู้นี้อยู่ในสายตา แม้ว่าท้าย ที่สุดแล้วไม่เห็นถึงอาการตกตะลึงมือไม้อ่อนอย่างที่หญิงสาวควร จะมีแม้แต่น้อย
ไม่คล้ายกับพี่สาวผู้นั้นของตนแม้เพียงนิด ไม่มีเรื่องอันใดก็ ร้องไห้สะอึกสะอื้นชวนให้โมโห
นึกมาถึงตรงนี้ ก็มองไปยังโอวหยางหวั่นเอ๋อที่เยือกเย็นและ ไม่สะทกสะท้านเช่นเคย ในแววตาก็อดไม่ได้ที่จะชื่นชมนาง
หญิงสาวเช่นนี้ อากัปกิริยาสุภาพสง่างาม จิตใจสุขุมสูงส่ง ถือ ได้ว่ามีเป็นหญิงสาวที่ความสามารถเยี่ยมยอดคำนี้ เพียงแต่ น่าเสียดาย…
ชายหนุ่มขมวดคิ้วไปมา มองไปยังตำหนิสีดำเล็กน้อยบน ใบหน้าด้านซ้ายที่ขาวบริสุทธิ์ราวกับเครื่องเคลือบของโอวหยาง หวั่นเอ๋อ ก็อดไม่ได้ที่จะมุ่นคิ้ว
น่าเสียดายอะไรปานนี้
หากหญิงสาวผู้นี้ ไม่มีรอยตำหนิ เกรงว่าอาจจะเป็นสาวงาม ล่มบ้านล่มเมืองก็เป็นได้
“กลัว ท่านจะไว้ชีวิตข้าหรือไม่? “โอวหยางหวั่นเอ๋อตอบ อย่างสงบเงียบ จนกระทั่งพลิกกายไปอีกด้านได้ ทำให้ตนเอง มองเห็นชายผู้ที่ข่มขู่ตนเองชัดเจน
เสียงทอดถอนใจเมื่อครู่ของชายหนุ่ม ผ่านเข้าไปในหูของโอ วหยางหวั่นเอ๋ออย่างง่ายดาย
บนโลกนี้ มีหญิงสาวผู้ใดที่ไม่ชื่นชอบความงามบ้าง?
เพียงแค่ถูกผู้คนพูดมาค่อนข้างมากแล้ว โอวหยางหวั่นเอ๋อจึง ได้ปล่อยวางแล้ว
ใช้ความงามปรนนิบัติผู้คน เมื่อความงามถดถอยความรักก็ร้างราตนมิได้สนใจไยด้วยซ้ำ
เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ