ยอดหญิงอันดับหนึ่

บทที่ 13 งานเลี้ยง ในวัง (2)



บทที่ 13 งานเลี้ยง ในวัง (2)

โอวหยางเหยียนเสี้ยวมองตงฟางนี่ด้วยความตื่นตระหนกเล็ก น้อย แต่ตงฟาง กลับปั้นหน้าเขียว (โกรธและหงุดหงิดมาก ไม่ สนใจไยดีตนเอง โอวหยางเหยียนเสี้ยวแอบตะโกนแย่แล้วในใจ คิดไม่ถึงว่าตนจะทำให้ฮ่องเต้ทรงกริ้วโดยไม่ได้ตั้งใจ ถ้าหากว่า ตนไม่ทำให้จบลงด้วยดี เช่นนั้นต่อไปกลัวว่าตนเองคงมีแต่ชะตา กรรมที่จะต้องเข้าไปอยู่ในตำหนักเย็น……..

คิดถึงตรงนี้ โอวหยางเหยียนเสี้ยวอดที่จะรู้สึกหวาดกลัวขึ้น มาไม่ได้ ต้องรู้ว่า ผู้หญิงที่มีชีวิตอยู่ในวัง เดิมทีก็ต้องพึ่งความ โปรดปรานของฮ่องเต้ในการดำเนินชีวิต ถ้าหากว่าตนสูญเสีย ความโปรดปรานของฮ่องเต้ ถึงแม้จวนโอวหยางจะค้ำจุนตนเอง เช่นไร ตนเองก็สามารถทำได้แค่รอคอยการโปรดปรานของฮ่อง เต้วันแล้ววันเล่าในวังของตน แต่ว่าในวังหลัง กลับไม่เคย ขาดแคลนผู้หญิงเลย เมื่อได้รับการรังเกียจจากฮ่องเต้แล้ว กลัว ว่าคงต้องอยู่คนเดียวในวังไปจนแก่เฒ่าไปเท่านั้น……..

คิดถึงตรงนี้ โอวหยางเหยียนเสี้ยวอดที่จะรู้สึกหวาดกลัวขึ้น มาไม่ได้ การเต้นนี้ ตนเองจะเต้นไม่ได้เด็ดขาด ทันทีที่เต้น ก็จะ เป็นการตบพระพักตร์ฮ่องเต้ แต่ว่าถ้าหากตนไม่เต้น เดิมข้อ เสนอแนะนี้ตนก็เป็นคนคิดขึ้นมาเอง แล้วตนเองจะก้าวลงจาก แท่นนี้อย่างไรดี?

มองสายตาของทุกคนที่ตั้งตารอคอยตนเอง เป็นครั้งแรกที่โอวหยางเหยียนเสี้ยวคิดอยากจะหาตะเข็บบนพื้นแล้วมุดเข้าไป เพื่อปกปิดความอับอายของตนเอง

“พระสนมเหยียน ไม่เต้นหรืออย่างไร?” เพื่อหน้าตาแล้ว ตง ฟางนี้ทำได้เพียงสอบถามโอวหยางเหยียนเสี้ยวด้วยรอยยิ้ม แต่ ในแววตากลับเต็มไปด้วยความไม่พอใจ

“หม่อมฉัน……..หม่อมฉันรู้สึกไม่ค่อยสบาย กลัวว่า….” โอว หยางหวั่นเลือกล่าวอย่างลังเล เมื่อเห็นการตักเตือนในแววตา ของฮ่องเต้ยิ่งตื่นตระหนกจนทำอะไรไม่ถูก

“ในเมื่ออ้ายเฟย สนมรักไม่สบาย งั้นก็กลับไปพักผ่อนก่อน เถอะ” ตงฟางนมองโอวหยางเหยียนเสี้ยวที่ตกอยู่ในสับสน วุ่นวาย แอบเกลียดโอวหยางเหยียนเสี้ยวที่ไม่เอาไหนในใจ ใน น้ำเสียงที่มีความไม่สุภาพเล็กน้อย

“หม่อมฉันทูลลา” เหมือนกับได้รับการอภัยโทษ โอวหยางเห ยียนเอ๋อรีบร้อนคํานับ ทูลลา

“ทุกท่านอยากดูการร้องรำทำเพลง ให้สาวงามในวังมาเพื่อ เพิ่มความสนุกสนามให้กับทุกท่านดีกว่า ทุกคนคิดว่าเป็นเช่น ไร?” ตงฟาง กล่าวด้วยใบหน้าเคร่งขรึม

ผู้ที่สามารถนั่งในพระตำหนักทรงฮัวได้ ผู้ใดไม่ใช่ขุนนาง ระดับสูง? ผู้ใดไม่ใช่คนเฉลียวฉลาดเก่งกล้าสามารถ? ต้องรู้กัน ดีอยู่แล้วว่าฮ่องเต้ไม่อยากให้เอ่ยถึงเรื่องร้องรำทำเพลงอีก แต่ละคนต่างพากันเห็นด้วยขึ้นมา

การร้องรําทําเพลงจบลงอย่างสงบอย่างรวดเร็ว
ตงฟางอ้าวจับมือของโอวหยางหวั่นเอ๋อไว้ใต้โต๊ะแน่น

ถือว่าทําได้ไม่เลว

ยังคงเขียนทั้งหกค่าทีละค่าเหมือนเดิม มีเพียงโอวหยางหวั่น เอ๋อเท่านั้นที่รู้

โอวหยางหวั่นเอ๋อยิ้มกลับไปให้ตงฟางข้าว

“หม่อมฉันจะทำให้ท่านอ๋องเสียหน้าได้อย่างไร” น้ำเสียง อ่อนน้อมเคารพและเชื่อฟัง กลับเปิดเผยการทำอะไรไม่ถูก มากมายออกมา

เงยหน้าขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ โอวหยางหวั่นเอ๋อกลับเห็นปู่ของ ตนเอง ท่านปูโอวหยางกำลังมองตนเองด้วยความโมโห เห็นได้ ชัดว่ากำลังโทษตัวเองที่ทำให้โอวหยางเหยียนเสี้ยวขายหน้า

มองไปที่สายตาท่านโอวหยาง โอวหยางหวั่นเอ๋อยิ้มตอบ กลับไปอย่างใจเย็นไม่รีบร้อน ถึงอย่างไรตนเองก็ไม่มีอะไร เกี่ยวข้องกับจวนโอวหยางแม้แต่น้อยอีกแล้ว ถึงแม้จะล่วงเกิน ท่านโอวหยางแล้วมันจะเป็นอย่างไร?

มองดูหลานสาวของตนปฏิบัติกับตนเช่นนี้ ท่านโอวหยางอด ที่จะโมโหมากยิ่งขึ้นไม่ได้ ดื่มเหล้าอย่างรุนแรงไปหนึ่งจอก แอบ โทษหลานสาวคนนี้ในใจเงียบๆ แต่กลับไม่รู้เลยว่า หลานสาว ของตนไม่ได้สนใจท่านปู่ที่เห็นแก่ผลประโยชน์อย่างเดียวคนนี้ มาตั้งนานแล้ว

กำลังจะเลื่อนสายตาตัวเองกลับมา โอวหยางหวั่นเอ๋อกลับบังเอิญมองไปที่ผู้ชายที่แต่งตัวคล้ายบัณฑิตที่นั่งอยู่ตรงข้าม เยื้องกับตนเล็กน้อย และกำลังมองมาที่ตน

ขมวดคิ้วเล็กน้อย โอวหยางหวานเอือมองไปที่คุณชายบัณฑิต ที่ยิ้มอย่างเป็นมิตรให้กับตน พยักหน้าให้เล็กน้อยอย่างมี มารยาท เพื่อแสดงออกถึงการตอบรับการทักทายของอีกฝ่าย

ทันใดนั้นมือก็ถูกตงฟางข้าวจับเอาไว้แน่น โอวหยางหวั่นเอ๋อ เจ็บจนขมวดคิ้ว มองตงฟางอ้าวด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความ รู้สึกงงงวย ไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆตงฟางอ้าวถึงมีการกระทำเช่นนี้

“ที่นั่งอยู่ตรงหน้า ก็คืออ๋องสาม ตงฟางจิ้งซู”

ตงฟางอ้าวอธิบายให้โอวหยางหวั่นเอ๋อด้วยเสียงที่ต่ำและเบา แต่ในสายตาคนนอก กลับดูคล้ายกับว่าทั้งสองกำลังสนิทสนม แนบแน่นกันอยู่

ตงฟาง มองโอวหยางหวั่นเอ๋อที่อยู่ในอ้อมแขนตงฟางอ้าว อย่างสง่าผ่าเผยและเป็นธรรมชาติที่สุด ทั้งสองดูคล้ายกับว่า กำลังพูดคุยกระซิบกระซาบกันอยู่ ทันใดนั้นก็มีความอิจฉาเข้า มาเต็มหัวใจตนเอง

คิดไม่ถึงว่า ผู้หญิงที่เป็นที่รู้กันทั่วหล้าว่าขี้เหร่คนหนึ่ง กลับมี สง่าราศีเช่นนี้ ทำดีแล้วไม่เหลิงสิ่งที่ยังจัดการไม่ได้ก็ไม่รีบร้อน รู้ ว่าควรเดินหน้าหรือถอยหลังได้ดีเช่นนี้ เมื่อเทียบชายอกสาม ศอกแล้ว ก็ไม่ด้อยไปกว่าเลย ตนเอง ไม่ได้พลาดสิ่งที่ไม่ควร พลาดไปใช่หรือไม่?

ตงฟางนี่ขมวดคิ้ว เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกเสียดายต่อการบังเอิญมองไปที่ผู้ชายที่แต่งตัวคล้ายบัณฑิตที่นั่งอยู่ตรงข้าม เยื้องกับตนเล็กน้อย และกำลังมองมาที่ตน

ขมวดคิ้วเล็กน้อย โอวหยางหวานเอือมองไปที่คุณชายบัณฑิต ที่ยิ้มอย่างเป็นมิตรให้กับตน พยักหน้าให้เล็กน้อยอย่างมี มารยาท เพื่อแสดงออกถึงการตอบรับการทักทายของอีกฝ่าย

ทันใดนั้นมือก็ถูกตงฟางข้าวจับเอาไว้แน่น โอวหยางหวั่นเอ๋อ เจ็บจนขมวดคิ้ว มองตงฟางข้าวด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความ รู้สึกงงงวย ไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆตงฟางอ้าวถึงมีการกระทำเช่นนี้

“ที่นั่งอยู่ตรงหน้า ก็คืออ๋องสาม ตงฟางจิ้งซู”

ตงฟางอ้าวอธิบายให้โอวหยางหวั่นเอ๋อด้วยเสียงที่ต่ำและเบา แต่ในสายตาคนนอก กลับดูคล้ายกับว่าทั้งสองกำลังสนิทสนม แนบแน่นกันอยู่

ตงฟาง มองโอวหยางหวั่นเอ๋อที่อยู่ในอ้อมแขนตงฟางข้าว อย่างสง่าผ่าเผยและเป็นธรรมชาติที่สุด ทั้งสองดูคล้ายกับว่า กำลังพูดคุยกระซิบกระซาบกันอยู่ ทันใดนั้นก็มีความอิจฉาเข้า มาเต็มหัวใจตนเอง

คิดไม่ถึงว่า ผู้หญิงที่เป็นที่รู้กันทั่วหล้าว่าขี้เหร่คนหนึ่ง กลับมี สง่าราศีเช่นนี้ ทำดีแล้วไม่เหลิงสิ่งที่ยังจัดการไม่ได้ก็ไม่รีบร้อน รู้ ว่าควรเดินหน้าหรือถอยหลังได้ดีเช่นนี้ เมื่อเทียบชายอกสาม ศอกแล้ว ก็ไม่ด้อยไปกว่าเลย ตนเอง ไม่ได้พลาดสิ่งที่ไม่ควร พลาดไปใช่หรือไม่?

ตงฟาง ขมวดคิ้ว เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกเสียดายต่อกไปอย่างสิ้นเชิง

ยิ่งไปกว่านั้นเพราะใบหน้าของโอวหยางหวั่นเอ๋อเสียโฉมไป จนสิ้น แต่ว่าสามีของพวกตนกลับกล่าวถึงนางอย่างไม่แยแส แม้แต่น้อย ความอิจฉาริษยา โดยกำเนิดของบรรดาผู้หญิงใน ครอบครัวขุนนางทำให้ไม่มีความประทับใจกับชื่อ โอวหยางหวั่น เอ๋อแม้แต่น้อย

และภาพที่ประตูเมือง ยิ่งไปกระตุ้นสายตาของบรรดาผู้หญิง ในครอบครัวขุนนาง สิ่งที่ไม่คิดไม่ถึงก็คือ ท่านอ๋องห้าตงฟาง อ้าวที่ควรจะโง่เขลาตามข่าวลือไม่เพียงแต่ไม่โง่ ปกติอย่างมาก และหน้าตาก็มีเสน่ห์แบบครอบงำโดยกำเนิด มีเสน่ห์ดึงดูดร้าย แรงต่อผู้หญิง โดยกำเนิด

แต่ว่าสิ่งที่ทำให้ทุกคนอิจฉาก็คือ ตนกลับต้องเห็นกับตาว่า ท่านอ๋องห้ามีความสนิทสนมแนบแน่นกับโอวหยางหวั่นเอ๋ออ ย่างมาก แม้แต่ทางที่ยาวเช่นนั้น ตงฟางข้าวยังอุ้มโอวหยางหวั่น เอ๋อเดินเข้ามา ตนไม่เคยรับการปฏิบัติเช่นนั้นมาก่อน? คิดได้ เช่นนี้ บรรดาผู้หญิงในครอบครัวขุนนางทั้งหลายอดไม่ได้ที่จะ รู้สึกอิจฉาริษยาและนึกเกลียดขึ้นมา

ถ้าหากว่าโอวหยางหวั่นเอ๋อเป็นสาวงามแห่งยุคก็ว่าไปอย่าง ไม่มีการเปรียบเทียบใดๆกับตน แต่ว่าโอวหยางหวั่นเอ๋อไม่เพียง เป็นหญิงที่เสียโฉม ยังเป็นหญิงขี้เหร่ที่ผู้คนต่างรู้กันดี แพ้ให้กับผู้ หญิงเช่นนี้ บรรดาหญิงในครอบครัวขุนนางทั้งหลายจะไม่เจ็บใจ ได้อย่างไร?
สองคนสามคนพากันรวมกลุ่มนินทาว่าร้ายโอวหยางหวั่นเอ๋อ

แน่นอน โอวหยางหวั่นเอ่อล้วนแต่ได้ยินคำพูดเหล่านั้น แต่ กลับยิ้มออกมาอย่างไม่แยแส มองตงฟางข้าวที่จูงมือตัวเอง อย่างใจเย็น อดรู้สึกสงสัยในใจขึ้นมาไม่ได้ นี่เป็นผลลัพธ์ที่ ผู้ชายคนนี้ต้องการอย่างนั้นหรือ? ทำลายชื่อเสียงของตน

แต่ว่า ชื่อเสียงของตนเป็นที่รู้กันดีตั้งนานแล้ว ความจริงไม่มี ความจำเป็นต้องเติมแล้ว หญิงขี้เหร่ที่ทุกคนต่างรู้กัน? ยังมี อะไรที่ทำร้ายคนได้มากกว่านี้?

เพียงแต่ว่า ไม่ใช่เพราะเหตุผลนี้ โอวหยางหวั่นเอ๋อกลับคิดไม่ ออกจริงๆว่าทำไมตงฟางข้าวต้องทำเช่นนี้

ขมวดคิ้วขึ้นมา มองตงฟางข้าวด้วยความสงสัย โอวหยาง หวั่นเอ๋อพบว่า สุดท้ายตนก็ดูผู้ชายที่มีความคิดแผนการ

ลึก(กลยุทธ์ที่ไม่เปิดเผยคนนี้ไม่ออก


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ