บทที่ 12 งานเลี้ยง ในวัง (1)
ตงฟางอ้าวยังคงอุ้มโอวหยางหวั่นเอ๋อเดินไปทีละก้าวตลอดทาง
โอวหยางหวั่นเอ๋อฟังเสียงหัวใจที่เต้นสม่ำเสมอของตงฟางข้าว กลับหน้าแดงขึ้นมาเล็กน้อย เงยหน้าขึ้นมองตงฟางข้าว เค้าโครงใบหน้าที่ถูกวาดขึ้นมาอย่างมั่นคงหนักแน่นอยู่ใกล้ตัว เองมากขนาดนี้
ถึงแม้ว่าปกติโอวหยางหวั่นเอ๋อจะเป็นคนใจเย็นและมีเหตุผล มาตลอด แต่ไม่ได้หมายความว่าผู้หญิงเช่นนี้จะไม่มีความเป็น อายเหมือนสาวน้อยทั่วไป โอวหยางหวั่นเอ๋อกัดฟันเอาไว้ พยายามสงบสติอารมณ์ที่ไม่รู้จะทำอย่างไรในใจ อย่างน้อยก็ให้ ภายนอกของตัวเองดูใจเย็นเหมือนปกติ
ตงฟางอ้าวกลับไม่ได้สังเกตเห็นความเคลื่อนไหวของโอว หยางหวั่นเอ๋อ
อุ้ม โอวหยางหวั่นเอ๋อเข้าไปในพระตำหนักทรงฮัว
เวลานี้พระตำหนักทรงฮัวมีโต๊ะอาหารจัดเตรียมเอาไว้ทั้งสอง ข้างทาง เหล่าขุนนางและขุนพล ที่เชี่ยวชาญการรบ) ต่างก็นั่งลง อยู่ในตำแหน่งของตน มองไปทางเดียวกัน ดูเหมือนจะเหลือที่ ว่างแค่โต๊ะแถวหน้า ด้านหลังนั่งกันเต็มหมดแล้ว
โอวหยางหวั่นเอ๋อรู้สึกว่าสายตาทุกคู่ของขุนนางทั้งหมดและ ลูกเมียของพวกเขาต่างจับจ้องมาที่ตน สีหน้าแดงระเรื่อขึ้นมา กระซิบต่อตงฟางอ้าวเบาๆ
“ปล่อยข้าลงมา”
“ไม่ปล่อย” ตงฟางอ้าวใช้น้ำเสียงที่มีแต่โอวหยางหวั่นเอ๋อ เท่านั้นที่จะได้ยิน สีหน้าท่าทางเต็มไปด้วยความดื้อรั้น
“ท่าน” เห็นว่าตงฟางข้าวไม่ยอมปล่อยตน ตนเองก็ไม่อยาก ให้เสียมารยาทต่อหน้าคนมากมาย เลยจําใจปล่อยให้ตงฟาง อ้าวอุ้มตนเดินไปยังที่นั่งแถวหน้า
ตงฟางอ้าวคืออ๋องห้า ด้วยฐานะและตำแหน่งต้องนั่งข้างหน้า อยู่แล้ว
ตงฟางอ้าวก็อุ้มโอวหยางหวั่นเอ๋อ เดินไปทีละก้าวปล่อยให้ ขุนนางซ้ายขวามองดูตัวเองและโอวหยางหวั่นเอ๋อที่อยู่ในอ้อม แขนด้วยความประหลาดใจ ยังคงเดินไปข้างหน้าอย่างช้าๆและ ไม่แสดงอารมณ์ใดๆเช่นเดิม
ตงฟางที่นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกร มองดูหญิงสาวที่อยู่ในอ้อม แขนตงฟางอ้าว ใบหน้าครึ่งหนึ่งที่ดูไม่ชัดเจน แล้วก็ชุดกระโปรงสีเรียบที่ใส่ รูปลักษณ์ที่ตัวเล็กน่า รัก ราวกับนางฟ้าก็ไม่ปาน ทำให้ตนอดมองตะลึงไปไม่ได้
ยังไม่ทันรอให้ตงฟางอ้าวจะได้นั่งลงไป ก็รีบร้อนกล่าว สอบถามว่า
“น้องห้า พระชายาหวั่นล่ะ? แล้วแม่นางท่านนี้คือ?”
ในน้ำเสียงเต็มไปด้วยความสงสัย
ตงฟางอ้าวคนนี้ ตนมีราชโองการให้โอวหยางหวั่นเอ๋อเข้าวัง มาพร้อมกับตงฟางอ้าวแท้ๆ แต่ตงฟางข้าวคนนี้กลับ ไปอุ้มหญิง สาวที่ดูราวกับนางฟ้ามาจากที่ไหนมาก็ไม่รู้ เช่นนี้ก็ดี พอดีตนจะ ได้มีข้ออ้างในการลงโทษตงฟางข้าวฐานหลอกลวงเบื้องสูง
“ทูลเสด็จพี่ คนนี้ก็คือพระชายาของข้า โอวหยางหวั่นเอ๋อ” ตง ฟางอ้าววางโอวหยางหวั่นเอ่อลงอย่างอ่อนโยน มีเจตนาให้หน้า ตรงของโอวหยางหวั่นเอ๋อหันไปทางตงฟางนี้
โอวหยางหวั่นเอ๋อก็ไม่ได้ระมัดระวังอะไร ยืนอย่างสง่าผ่าเผย อยู่ในห้องโถงใหญ่อย่างไม่ปิดบังแม้แต่น้อย ปล่อยให้คนอื่น มองรูปลักษณ์ของตนอย่างอิสระ
ตงฟาง มองสตรีที่โดดเดี่ยวปราศจากความเห็นอกเห็นใจและการสนับสนุนยืนอยู่ด้านล่างบัลลังก์มังกร สง่าราศี ราวกับกล้วยไม้ในหุบเขาร้าง สง่าราศีที่ได้ยาก) แต่ใบหน้าสวย กลับมีรอยแผลเป็นบวมแดงจนทำให้เสียโฉมตรงฝั่งแก้มซ้าย ทำให้คนอดถอนหายใจไม่ได้ คนงามวาสนาน้อย
โอวหยางหวั่นเอ๋อน้อมรับสายตาของตงฟางนี้อย่างเยือกเย็น ไม่สะทกสะท้าน เห็นถึงความรังเกียจทั้งหมดที่ไม่มีการปกปิด แม้แต่น้อย ในสายตาตงฟางนี้ นึกเล็กๆ ในใจ นี่คือผู้ชายที่ต้อง เต้องค์ก่อนมีราชโองการให้ตนแต่งงานด้วยหรือ? ใส่ใจกับรูป ลักษณ์มากจริงๆ ไม่น่าแปลกใจเลย ที่เต็มใจจะขัดพระประสงค์ ของฮ่องเต้องค์ก่อน เต็มใจจะแต่งงานกับน้องสาวของตนก็ไม่ ยินดีที่จะแต่งงานกับผู้หญิงที่มีข่าวลือว่าขี้เหร่ที่สุด ใต้หล้าอย่าง ตน
นึกถึงตรงนี้ โอวหยางหวั่นเอ๋อรู้สึกโชคดีมากที่ไม่ได้แต่งงาน กับคนเช่นนี้ ถึงแม้ตงฟางอ้าวก็ไม่ได้ดีกับตนเท่าไหร่ แต่ว่าครั้ง แรกที่ตงฟางอ้าวเห็นหน้าตาของตน เขาเพียงแต่กล่าวอย่างราบ เรียบว่า
“เจ้าขี้เหร่มาก” ในแววตายังคงเย็นชาและราบเรียบเช่นเดิม ไม่มีความรังเกียจเลยแม้แต่น้อย
“ท่านพี่ ดูท่าท่านจะสบายดีมาก เมื่อเป็นเช่นนี้ คนเป็นน้องสาวก็วางใจแล้ว” โอวหยางเหยียนเสี้ยวนั่งอยู่ บนบัลลังก์หงส์ที่อยู่ต่ำกว่าตงฟางขั้นหนึ่ง มองโอวหยางหวั่นเอ อด้วยรอยยิ้มหยาดเยิ้ม ภาพแบบนั้นดูคล้ายกับว่าพี่น้องผูกพัน รักใคร่ แต่ว่าในใจโอวหยางหวั่นเอ๋อกลับเข้าใจดีว่า โอวหยาง เหยียนเสี้ยวเพียงแค่ไม่พอใจที่ตัวเองถูกเพิกเฉยก็เท่านั้น
ตงฟางที่เพิ่งจะขึ้นครองราชย์ไม่นาน ยังไม่ได้แต่งตั้งเฮาฮอง ดังนั้นบัลลังก์หงส์ที่มีแต่ฮองเฮาเท่านั้นที่มีสิทธิ์นั่ง ตงฟางนี้จึงยก ให้โอวหยางเหยียนเสี้ยวนั่งชั่วคราว
หลังจากที่ท่านโอวหยางทราบเรื่องนี้ ยิ่งมีสีหน้ายิ้มแย้มเบิก บานดีใจอย่างมาก ขุนนางใหญ่ต่างพากันคาดเดาว่าการกระทำ นี้มีจุดประสงค์จะแต่งตั้งโอวหยางเหยียนเสี้ยวเป็นฮองเฮาหรือ ไม่ ต่างพากันหันหางเสือตามลม(พลิกแพลงไปตาม โอกาส) ประจบสอพลอจวนโอวหยางทันที สมบัติล้ำค่าหายาก มากมายหลากหลายหลั่งไหลเข้าสู่คลังของจวนโอวหยาง
ไม่ได้สนใจต่อการทักทายตีสนิทของโอวหยางเหยียนเสี้ยว โอวหยางหวั่นเอ๋อตามตงฟางข้าวไปยังที่นั่งอย่างมีสง่าราศี
“เหอะๆ ท่านพี่ก็ยังคงเป็นปกติเหมือนเดิม” โอวหยางเหยียนเสี้ยวนึกไม่ถึงว่าโอวหยางหวั่นเอ๋อจะไม่ไว้หน้าตน เช่นนี้ ยิ้มหน้า เพื่อแก้สถานการณ์ให้ตัวเอง
“โอวหยางหวั่นเอ๋อน้อมทักทายฝ่าบาท น้อมทักทายพระสน มกุ้ยเฟย” โอวหยางหวั่นเอ๋อยังคงไม่สนใจโอวหยางเหยียน เสี้ยวเช่นเดิม ลุกขึ้นอย่างสุภาพคำนับตงฟางนี่กับโอวหยางเหยี ยนเสี้ยว เพื่อแสดงมารยาท
“ไม่เป็นไร วันนี้เป็นเพียงงานเลี้ยงในครอบครัวเท่านั้น พระ ชายาหวั่นไม่จําเป็นต้องจริงจังมากเช่นนี้” ตงฟางที่กล่าวขณะหัว เราะเหอะๆ แต่กลับไม่ละสายตาไปจากโอวหยางหวั่นเอ๋อที่สง่า ผ่าเผย
ถึงแม้วังหลังของเขาจะมีสาวงามมากมาย แต่ว่าหญิงสาวที่ไม่ หวั่นไหวต่อการชื่นชมหรือเหยียดหยาม และมีความรู้สง่าผ่าเผย เช่นนี้ ตนกลับไม่เคยได้พบเจอมาก่อน
ตงฟาง มองโอวหยางหวั่นเอ๋อ ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง เพียง แต่เสียดายที่ไฟไหม้ใหญ่ครั้งนั้น ทำให้โอวหยางหวั่นเอ๋อเสีย โฉมไปอย่างสิ้นเชิง เป็นไปไม่ได้ที่ตนจะยอมรับผู้หญิงที่เสียโฉม มาเป็นสนมของฮ่องเต้
คิดได้เช่นนี้ สายตาของตงฟางที่จับจ้องโอวหยางหวั่นเอ๋อก็ดูธรรมดาลงไปเยอะ แต่ว่าการเปลี่ยนแปลงของ อารมณ์ความรู้สึกหลายอย่างของตงฟาง กลับตกอยู่ในสายตา ของโอวหยางเหยียนเสี้ยวที่แอบสังเกตตงฟางนี้อย่างเงียบๆมา โดยตลอด
ถึงแม้โอวหยางเหยียนเสี้ยวจะขาดประสบการณ์ในชีวิต แต่ ว่าสิ่งเล็กน้อยแค่นี้ก็พอมองออกอยู่ รู้สึกโกรธแค้นในใจอย่าง ช่วยไม่ได้ นั่งตัวดีโอวหยางหวั่นเอ๋อ ถึงแม้จะไม่มีรูปโฉมแล้ว ก็ ยังไม่รอช้าที่จะยั่วยวนผู้ชายใช่ไหม? ข้ายิ่งจะทำให้เจ้าอับอาย หน้าแตก
โอวหยางเหยียนเสี้ยวผลักความรับผิดชอบทั้งหมดไปให้โอว หยางหวั่วเอ๋ออย่างไม่สนใจใยดีอะไรทั้งนั้น ในสายตาที่มองโอว หยางหวั่นเอ๋อยิ่งเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยมมากขึ้น
“มา มา มา ทุกคนไม่ต้องเคร่งครัดไป นี่เป็นเพียงงานเลี้ยง ธรรมดาของครอบครัวเท่านั้น ปลดปล่อยกินดื่มกันเต็มที่ทุกคน เลย” ตงฟางนมองแขกที่อยู่เต็มห้องโถง ถึงแม้จะไม่พอใจตง ฟางอ้าวเล็กน้อยแต่ก็ไม่สามารถตำหนิอย่างเปิดเผยได้
เขาได้ยินมานานแล้วว่า ตงฟางอ้าวหายเป็นปกติมานานแล้ว แต่กลับไม่เคยมีการชี้แจงออกมา ให้ทั่วหล้าต่างก็คิดว่าท่านอ๋อง ห้ายังคงโง่เง่าเหมือนเดิม
แสร้งทำเป็นหมูแล้วกินเสือทำเป็นโง่เพื่อโค่นอีกฝ่ายได้ ง่าย)เช่นนี้ทำให้เดิมตงฟางที่ขี้ระแวงมากอยู่แล้วสงสัย ยิ่งไป กว่านั้น ตอนนั้นเป็นเพราะเสด็จแม่ของเขาให้คนวางยาทําร้าย องค์ชายห้าตงฟางอ้าว สาเหตุไม่มีอย่างอื่น เพียงเพื่อให้มี โอกาสในการที่ตนจะชนะได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้มีมากขึ้น
ดังนั้น สําหรับตงฟางอ้าวแล้ว ตงฟางรักษาจิตใจที่ ระมัดระวังเอาไว้ตลอด
สิ่งที่ทำให้ตงฟางยิ่งเกิดความสงสัยมากขึ้นก็คือ ตงฟางข้าว ที่แกล้งทำเป็นบ้าและโง่มาโดยตลอดเวลานี้กลับมาร่วมงาน เลี้ยงในวังอย่างสง่าผ่าเผย ท่าทีมีมารยาทเหมือนคนปกติยิ่ง ทำลายภาพลักษณ์โง่เขลาในใจของขุนนางใหญ่น้อย
ทำให้ตงฟางนี่ที่เดิมทีก็ขี้ระแวงอยู่แล้วคาดเดาอย่างช่วยไม่ ได้ ตกลงแล้วตงฟางอ้าวคนนี้ต้องการจะทำอะไรกันแน่?
“เหอะๆ เช่นนี้ก็รู้สึกน่าเบื่อเกินไป หม่อมฉันมีข้อเสนอแนะหนึ่ง อยากเพิ่มชีวิตชีวาให้กับบรรยากาศ ดีไหมเพคะ?” โอวหยางเห ยียนเสี้ยวมองฮ่องเต้ เริ่มฝังแผนการของตนเอง
“อ๋อ? พระสนมเหยียนลองพูดออกมาให้ฟังหน่อยเป็นจริงเช่นนั้น ตงฟางนี้เกิดความสนใจจริงๆ ชั่วขณะหนึ่ง สายตาของขุนนางน้อยใหญ่ก็ย้ายจากโอวหยางหวั่นเอ๋อ มองไป ทางโอวหยางเหยียนเสี้ยว
โอวหยางเหยียนเสี้ยวมีความสุขมากกับความรู้สึกที่มีสายตา ทั้งหลายจับจ้องมาอย่างคาดหวังและตั้งใจ เงยหน้าแสร้งทำ สูงส่ง กระแอมก่อนกล่าวว่า
“เป็นที่รู้กันทั่วว่า ตระกูลโอวหยางของเรามีหญิงเก่ง มีความรู้ และฉลาด) ที่แม้แต่ฮ่องเต้องค์ก่อนยังเคยกล่าวชื่นชม” โอวหยาง หวั่นเอ๋อจงใจยั่วน้ำลายทุกคน ทำให้สถานการณ์ต่อจากนี้โอว หยางหวั่นเอ๋อไม่สามารถที่จะปฏิเสธได้
“อืม ความสามารถและชื่อเสียงของโอวหยางหวั่นเอ๋อเป็นที่รู้ กันดี หรือว่าอ้ายเฟย (สนมที่รัก) มีข้อเสนอแนะอะไรดีๆ?” ตงฟาง นี่ก็ไม่ใช่คนโง่ ตรวจสอบความสัมพันธ์ของโอวหยางเหยียน เสี้ยวกับโอวหยางหวั่นเอ๋อตั้งนานแล้ว รู้ดีว่าผู้หญิงสองคนนี้มี ความขัดแย้งที่เข้ากันไม่ได้ เวลานี้จู่ๆ โอวหยางเหยียนเสี้ยวก็เอ่ย เรื่องนี้ขึ้นมา องนี้มา คิดว่าคงต้องการจะทำให้โอวหยางหวั่นเอ๋ออับอาย อย่างแน่นอน
เกี่ยวกับเรื่องนี้ ตงฟางนี้กลับไม่คิดจะขัดขวาง ปล่อยให้โอว หยางเหยียนเสี้ยวทำเหลวไหล
“การร้องและเต้นของพี่สาวข้ายอดเยี่ยมมาก กลัวว่า ใต้หล้านี้ ตอนนี้คงไม่มีใครสามารถเทียบได้ ทำไมไม่ลองให้พี่สาวของข้า ร้องให้ทุกคนสักเพลง คิดว่าเป็นเช่นไร?” โอวหยางเหยียนเสี้ยว แสร้งกล่าวฉอเลาะ หางตากลับมองไปที่ปฏิกิริยาของโอวหยาง หวั่นเอ๋ออย่างได้ใจ
เห็นได้ชัดว่า โอวหยางเหยียนโหดเหี้ยมมากจริงๆ
เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ไม่ต่างอะไรกับการบอกว่าฐานะของโอวหยาง หวั่นเอ๋อไม่แตกต่างอะไรกับนักแสดงหญิง นี่เป็นการบังคับให้โอ วหยางหวั่นเอ๋อลดฐานะตัวเอง
โอวหยางหวั่นเอ๋อยังคงมองราบเรียบไปที่โอวหยางเหยียน เสี้ยวที่ใช้สายตามองมาทางตนราวกับกำลังดูอะไรดีๆ และไม่ คำนึงถึงสายตาเต็มห้องโถงที่มองมายังตนเอง
มือที่วางไว้ใต้โต๊ะกลับถูกตงฟางอ้าวจับเอาไว้ แล้วเขียนลงไป
ทีละค่า
ห้ามทำให้ข้าขายหน้า
ไม่มีเจตนาจะช่วยใดๆเลยแม้แต่น้อย เพียงแค่อย่าทำให้เขา ขายหน้าก็พอ โอวหยางหวั่นเอ๋อนางจะทำอะไร ตงฟางข้าวล้วน แต่จะไม่สนใจ
โอวหยางหวั่นเอ๋อมองตงฟางข้าวที่ทำราวกับว่าไม่มีเรื่องใดๆเกิดขึ้นยังคงคำนึงถึงการดื่มชาของตนเอง ยิ้มเย้ย หยื่นออกมา ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนตลอดกาลจริงๆ
“น้องสาวกล่าวล้อเล่นแล้ว พี่ไม่เคยร้องเพลงหรือเต้นเลย” โอ วหยางหวั่นเอ๋อลุกขึ้นยืนอย่างสง่าผ่าเผย มองหน้าตาได้ใจของ โอวหยางเหยียนเสี้ยวกล่าวขณะยิ้มเล็กน้อย
“เป็นไปได้อย่างไร? ท่านพี่ถ่อมตนไปแล้ว” เห็นได้ชัดว่าโอว หยางเหยียนเสี้ยวคิดไม่ถึงว่าโอวหยางหวั่นเอ๋อจะตอบตนเอง เช่นนี้ ชั่วขณะหนึ่งก็ไม่รู้จะตอบเช่นไร
“ให้น้องสาวหัวเราะเยาะแล้ว ตั้งแต่หลังจากที่พี่เสียโฉม ก็ กลายเป็นคนไร้ประโยชน์ ไม่ได้สนใจเรื่องใดๆที่เกี่ยวกับผู้หญิง อีก เมื่อคิดเช่นนี้ พี่ก็รู้สึกผิดต่อท่านอ๋องห้าจริงๆ” โอวหยางหวั่น เอ๋อกล่าวจบอย่างใจเย็นและใจกว้าง และยังแกล้งทำเป็นมองตง ฟางอ้างอย่างรู้สึกผิด ดูแล้วเหมือนตนกำลังแสดงออกถึงความ รู้สึกผิดต่อตงฟางอ้าวจริงๆ
คำพูดประโยคนี้ ไม่เพียงแต่ทำให้คนเห็นใจ ยิ่งทำให้คนหา ข้อบกพร่องไม่ได้
คนเรามักจะเคยชินกับการเห็นใจผู้ที่ด้อยกว่าเวลานี้โอวหยางหวั่นเอ๋อยกเอาเรื่องน่าเศร้าที่ตนเองเสียโฉมมา พูดอย่างใจเย็น ย่อมที่จะกระตุ้นความเห็นอกเห็นใจของผู้คน คิด ว่าเดิมทีก็เป็นผู้หญิงที่เป็นที่รักของคนมากมาย กลับต้องตกอยู่ ในสภาพเช่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้น เดิมที่ข้อตกลงการแต่งงานระหว่าง โอวหยางหวั่นเอ๋อกับตงฟาง ขุนนางใหญ่ที่อยู่ที่นี่ต่างก็รู้กันดี ถึงแม้จะไม่กล้าเอ่ยออกมา แต่ในใจต่างก็รู้สึกเห็นใจโอวหยาง หวั่นเอ๋อทั้งนั้น
ล้วนแต่แสดงออกถึงความเข้าใจเดี๋ยวนั้นเลย
“แต่ว่า ถึงแม้หม่อมฉันจะไร้ความสามารถ ไม่เป็นในเรื่องที่ หญิงสาวควรจะเป็น แต่ว่าจวนโอวหยางเรา ก็จะไม่ทำให้ทุกท่าน ผิดหวัง ถึงแม้ข้าจะไม่สามารถแสดงความอัปลักษณ์ (คำพูดถ่อม ตัว) ให้ทุกท่าน แต่ท่าเต้นของน้องสาวข้าโอวหยางเหยียนเสี้ยว ก็สง่างามและมีเสน่ห์ยอดเยี่ยม ถ้าหากว่าน้องไม่รังเกียจ ก็ สามารถเพิ่มความสนุกสนานของบรรดาขุนนางใหญ่ เพื่อ เป็นการแสดงน้ำใจของตระกูลโอวหยางเรา”
โอวหยางหวั่นเอ๋อมองโอวหยางเหยียนเสี้ยว แกล้งทำราวกับ ว่าพี่น้องผูกพันรักใคร่ แต่กลับโยนโอวหยางเหยียนเสี้ยวลงบน พื้นที่กลับขึ้นมาไม่ได้อีกอย่างลับๆ
ในเมื่ออยากจะลดฐานะของตน ถ้าเช่นนั้น ตนก็จะใช้วิธี เดียวกันนี้คืนกลับไปให้ตัวเขาเอง ตั้งแต่วันที่ตนแต่งงานออกมา โอวหยางหวั่นเอ๋อก็ไม่คิดว่าตนเองเป็นคนของตระกูลโอวหยาง อีก ในเมื่อคิดว่าโอวหยางเหยียนเสี้ยวรังแกตนเช่นนี้ เช่นนั้น แล้วตนเองยังมีความจำเป็นอะไรที่ต้องไว้หน้าจวนโอวหยาง?
มองโอวหยางเหยียนเสี้ยวอย่างตาสว่าง
เห็นได้ชัดว่าโอวหยางเหยียนเสี้ยวคิดไม่ถึงว่าโอวหยางหวั่น เอ๋อจะแก้ไขแผนชั่วของตนได้ง่ายดายเช่นนี้ และยังทำให้ตนเอง ต้องร้องเต้น ทําการเต้นรำในห้องโถงนี้ โกรธจนบดฟันด้วย ความแค้น แต่โอวหยางหวั่นเอ๋อกลับพูดว่าเป็นเรื่องจวนโอว หยาง ทันทีที่ตนเองปฏิเสธ ที่เสียหน้า ก็จะเป็นจวนโอวหยางกับ ฮ่องเต้ แต่ถ้าเต้น ก็ไม่ต่างอะไรกับการลดระดับตนเองเป็นนัก ร้องนักแสดงหญิง
ระหว่างสองทางที่เลือกยาก ตนเองไม่รู้เลยว่าควรจะเลือกทางไหน
เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ