บทที่ 10 เข้าวัง
“ท่านอ๋อง พระชายา ถึงประตูเมืองแล้วพะยะค่ะ”คนขับรถม้า กล่าวด้วยความเคารพผ่านผ้าม่านของรถ
ความหมายกระจ่างชัดว่า ทุกที่ต่างก็มีกฎเป็นของตนเอง เช่น ขณะที่ผ่านหลุมฝังศพของขงจื้อ ยังต้องให้ความสำคัญและเชื่อ ฟังเหล่าขุนนาง ทั้งยังต้องอำนวยความสะดวกให้ขุนพลลงจาก ม้าอีกด้วย
อยู่ที่หน้าประตูเมืองเช่นนี้ ก็เช่นเดียวกัน ไม่เพียงแต่ไม่ อนุญาตให้รถม้าผ่านไปแล้ว แต่ทว่า ต่อมา พวกเขายังคงเปลี่ยน เป็นเกี๊ยวนุ่มเพื่อเข้าวังต่อไปอีกด้วย
ไม่รอให้โอวหยางหวั่นเอ๋อขยับร่างกาย ตงฟางอ้าวก็ได้ลง จากรถม้าไปแล้ว โอวหยางหวั่นเอ๋อมองไปยังห้องโดยสารที่ว่าง เปล่า ก็สุดลมหายใจเข้าลึกๆ เลิกม่านรถออก ขณะที่จะเตรียม ตัวลงจากรถ ก็เห็นตงฟางอ้าวยื่นมาที่ตนเองด้วยใบหน้าอ่อน โยน ราวกับจะรับตนเองลงไป
โอวหยางหวั่นเอ๋อมองไปยังฉากเบื้องหน้าก็อดไม่ได้ที่จะงงงัน ชายผู้นี้ สุดท้ายแล้วเป็นอย่างไร? เหตุใดจึงได้ดีต่อตนเองใน ทันที ทำให้ตนเองแปลกประหลาดใจอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว
โอวหยางหวั่นเอ๋อมองไปยังตงฟางอ้าวที่ดีต่อตนเองเช่นนี้ ก็ ให้ตกตะลึงพรึงเพริศ จนเสียการควบคุม
ทว่าตงฟางอ้าวกลับคว้าจับไปที่มือของโอวหยางหวั่นเอ๋ออ ย่างรุนแรง ต่อมาก็ได้โอบไปที่ช่วงเอวของโอวหยางหวั่นเอ๋อ
โอวหยางหวั่นเอ๋อมองไปที่ใบหน้าด้านข้างของตงฟางข้าว อย่างตื่นตะลึง คาดไม่ถึงว่าตงฟางข้าวจะกระทำการเช่นนี้ออก มา จึงมองไปที่ตงฟางอ้าวอย่างตะลึงลาน
“สาวน้อย ทางที่ดีเจ้ารีบเก็บสีหน้าดังเช่นคนโง่ของเจ้าให้ไว นี่ทำให้ข้ารู้สึกเสียหน้าเป็นอย่างมาก”ตงฟางข้าวมองไปยังการ แสดงออกบนหน้าของโอวหยางหวั่นเอ๋อ ถือโอกาสยามที่โอว หยางหวั่นเอ๋อมิได้ระมัดระวังกล่าวที่ข้างหูของนาง
เมื่อโอหยางหวั่นเอ๋อได้ยินคำพูดของตงฟางข้าว ครู่หนึ่งก็ได้ สติคืนมา นางว่าแล้ว เหตุใดตงฟางอ้าวถึงได้อ่อนโยนต่อ ตนเองอย่างทันทีทันใดเช่นนี้ คาดไม่ถึงว่าสุดท้ายแล้วเป็นการ เสแสร้ง เพียงเพื่อให้ผู้อื่นดู
ไม่รู้เพราะเหตุใด ใจของโอวหยางหวั่นเอ๋อกลับให้รู้สึกผิด หวัง
มองดูโดยรอบทุกหนแห่ง มีขุนนางระดับสูงมากมายกำลัง มองมายังทิศทางที่ตนเองอยู่ ตงฟางอ้าวก็ได้โอบตนเองไว้แน่น ราวกับไม่คิดที่จะปล่อย
“ปล่อยหม่อมฉันเพคะ”โอวหยางหวั่นเอ๋อกล่าวกับตงฟางอ้าว ด้วยเสียงที่แผ่วเบา มองไปยังครอบครัวของเหล่าขุนนาง อดไม่ ได้ที่จะรู้สึกขัดเขินขึ้นมา
แต่ตงฟางอ้าวทำราวกับไม่ได้ยิน แขนที่คล้ายกับเหล็กของเขายังคงกอดไว้แน่น
เดิมทีอยากจะดิ้นให้หลุดออกไป โอวหยางหวั่นเอ๋อมองไปยัง แววตาของหญิงสาวครอบครัวเหล่านั้น อดไม่ได้ที่จะถลกหนัง เลาะกระดูกสายตาที่อิจฉาริษยาเหล่านั้น แอบลอบร้องทุกข์อยู่ ในใจ
เดิมที่ตนเองก็มิอาจที่จะเสวยสุข นอกจากนี้ยังได้รับแต่ความ ทุกข์ สวรรค์ ตงฟางข้าวที่กอดตนอยู่นั้นเดิมทีก็ไม่สบายอยู่ แล้ว ตนเองทำได้เพียงต้องอดทนเท่านั้น
แต่ในสายตาผู้คนที่มองมา กลับเป็นนางที่ออดอ้อนต้องการ การโอบกอด แต่ว่าเหตุการณ์เช่นนี้ โอวหยางหวั่นเอ๋อแม้อยาก จะอธิบายก็ไม่รู้จะอธิบายอย่างไรให้กระจ่างแจ้ง? นึกถึงตรงนี้ โอวหยางหวั่นเอ๋อก็อดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจ ถือโอกาสทำเป็น ไม่สนใจเสียเลย หาตำแหน่งที่สบายอยู่ในอ้อมกอดของตงฟาง อ้าวและมุดเข้าไป ไม่สนใจว่าผู้อื่นจะมีสายตาที่ประหลาดใจเช่น ได
กลับเป็นตงฟางอ้าวที่ไม่คาดคิดว่าหญิงสาวที่อยู่ในอ้อมกอด ของตนจะผ่อนคลายเช่นนี้ ตนเองกอดนางนางก็มิได้บ่ายเบี่ยง อีก ทำให้ตนเองได้กลายเป็นหมอนอิงหนังมนุษย์โดยตรงอย่าง มิได้สนใจไยดี
เขามุ่นคิ้ว แต่สุดท้ายก็เป็นตงฟางข้าวเองที่นำถังขยะของตน ออกมา ขมวดคิ้วเล็กน้อย ตงฟางข้าวจนปัญญาจึงโอบกอด โอว หยางหวั่นเอ๋อ เดินไปยังเมืองของฮ่องเต้ เหลือเพียงแต่ขุนนางชั้นผู้ใหญ่อยู่กลุ่มหนึ่งและสมาชิกในครอบครัวผู้หญิงที่พามา ด้วยมองมาอย่างตกตะลึงพรึงเพริด
ว่ากันว่าสตรีโดยธรรมชาติแล้วจะคุ้นเคยกันมาแต่กำเนิด ขอ เพียงหัวข้อในการสนทนาเป็นเรื่องเดียวกัน ก็สามรถที่จะพูดคุย จนสามารถไปพบกันที่ห้องหับยามดึกดื่มและเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน
เวลานี้ ฉากเมื่อครู่ทำให้บรรดาหญิงสาวต่างตกตะลึง
ไม่ต้องให้ผู้ใดหยิบยกขึ้นมา ก็สามารถที่จะรวมตัวกันวิพากษ์ วิจารณ์กันเป็นสองสามคนแล้ว
“นี่ ว่ากันว่าองค์ชายห้าเป็นคนโง่มิใช่หรือ? มองอย่างไรก็ไม่ เหมือน? “หญิงสาวที่ปากมาผู้หญิงเอ่ยถามถึงสิ่งที่ตนเองสงสัย มองไปยังพี่น้องทั้งหมดหวังว่าจะได้ฟังคำตอบที่น่าพึงพอใจ
“ผู้ใดจะรู้เล่า ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีด้านไหนที่ป่วย หากว่าไม่มี โรคร้ายแรงอันใดเหตุท่านอ๋องห้าถึงได้ดีต่อหญิงอัปลักษณ์เช่น นั้นเล่า? ฮ่า ฮ่า แม้แต่ฮ่องเต้ยังไม่ต้องการปฏิเสธการแต่งงาน คัดค้านพระประสงค์ของฮ่องเต้องค์ก่อน ท่านอ๋องห้ากลับทำ เหมือนว่านางเป็นสมบัติล้ำค่า ข้าดูแล้ว โอวหยางหวั่นเอ อคงใช้วิธีการหลอกล่อ จึงได้ทำให้ท่านอ๋องห้าลุ่มหลงได้เช่นนี้
หญิงสาวที่แต่งตัวสวยหยาดเยิ้มทว่าไร้รสนิยมเบะปากอย่าง เหยียดหยาม เผยแพร่ความคิดของตนออกมา แต่ว่าใบหน้า เต็มไปด้วยความอิจฉาและคับแค้นใจ กลับมิอาจหลอกลวงผู้คน ได้
“ใช่แล้ว ใช่แล้ว น้องสาวกล่าวได้ถูกต้อง แน่นอนว่าหญิงอัปลักษณ์ผู้นั้นใช้วิธีการหลอกล่อ มิฉะนั้นเหตุใดท่านอ๋องห้าถึง ได้โอบกอดนางต่อหน้าธารกำนัลเช่นนี้ นางกลับได้เสพสุขอย่าง สงบและสบายใจ? ตามที่ข้ามอง โอวหยางหวั่นเอ๋อ ไม่แน่ว่า อาจจะเป็นปีศาจจิ้งจอก
หญิงสาวผู้หนึ่งที่ได้เห็นตงฟางข้าวและโอวหยางหวั่นเอื้อมี ท่าที่ใกล้ชิดสนิทสนมกันเมื่อครู่ก็ทนไม่ไหวที่จะเห็นด้วย ราวกับ ว่าสิ่งที่พวกเขากล่าวกันมาเป็นความจริง
ตงฟางอ้าวแม้ว่าจะกอด โอวหยางหวั่นเอ๋อดินออกมาไกลแล้ว แต่สิ่งที่สตรีเหล่านั้นกล่าวกลับลืมที่จะควบคุมเสียงที่ดังของ ตนเอง
นอกจากนี้ตงฟางข้าวยังฝึกฝนศิลปะการต่อสู้มาตั้งแต่ยังเล็ก
พลังการได้ยินของหูจะไวต่อเสียงยิ่งกว่าคนทั่วไป เวลานี้ได้ฟัง
สิ่งที่สตรีเหล่านั้นวิพากษ์วิจารณ์กันด้วยเสียงที่ออกแจ้กจอแจ
แทนที่จะทำให้คนไม่รู้สึกโกรธแม้แต่น้อยแล้ว ยังทำให้ยิ้มอย่าง
สงบนิ่งอีกด้วย
มองไปยังหญิงสาวที่อยู่ในอ้อมกอดของตนโดยที่ไม่กล้าโผล่ ศีรษะออกมา มือขวาก็กำไปที่เสื้อคลุมของตนแน่นอย่างไม่รู้สึก ตัว ตงฟางอ้าวรู้ดีว่า โอวหยางหวั่นเอ๋อก็ได้ยินแล้วเช่นกัน
แต่ทว่าตนเองกลับไม่ได้ต้องการคิดที่จะแก้ปัญหาให้โอว หยางหวั่นเอ๋อเลย
เหตุผลนั้นช่างง่ายดาย
เรื่องที่เล็กน้อยเช่นนี้หากจัดการได้ไม่ดี ยังจะคิดเป็นผู้หญิงที่คู่ควรกับตงฟางอ้าวอยู่อีกหรือ?
แต่ตงฟางอ้าวกลับลืมเรื่องหนึ่งไป นางโอวหยางหวั่นเอ๋อ แต่ ไหนแต่ไรไม่ได้ให้ความสำคัญที่จะเป็นผู้หญิงของเขา
“ท่านอ๋องห้า จะไปพบฮ่องเต้หรือพะยะค่ะ? “เกี๊ยวนุ่มที่หยุด ลงตรงหน้าของตงฟางข้าว หมู่เหวินชั่วก็ได้ก้าวออกมา กล่าว สอบถามตงฟางอ้าวด้วยท่าทางที่ถ่อมตัวและสุภาพอ่อนโยน ทว่าในใจกลับอดไม่ได้ที่จะรู้สึกกลัดกลุ้มขึ้นมา
ท่านอ๋องห้าผู้นี้เมื่อสิบปีก่อนมิใช่ว่าถูกตนเองวางยาพิษให้ กลายเป็นคนโง่ไปแล้วมิใช่หรือ? เหตุใดเวลานี้มองไปแล้วดู เหมือนว่าจะแตกต่างจากคนทั่วไป ไม่มีการแสดงออกว่าเป็นคน โง่เง่าอย่างสิ้นเชิง?
แม้ว่าเขาจะแปลกใจ แต่สุนัขจิ้งจอกอย่างไรก็เป็นสุนัขจิ้งจอก อยู่วันยังค่ำ เรียนรู้มานานแล้วว่าความปิติและความโกรธเป็นสิ่ง ที่ไม่เป็นรูปเป็นร่าง แม้ว่าในใจจะสงสัยเพียงใด แต่ใบหน้ายัง คงหัวเราะเช่นเดิม สอบถามตงฟางอ้าวอย่างอ่อนโยน
“อืม”น้ำใจไมตรีของหมู่เหวินฮั่ว ตงฟางอ้าวมิได้ใส่ใจ หลัง จากพยักหน้าก็คิดที่จะก้าวเดินต่อไปข้างหน้า สุนัขจิ้งจอกเช่นนี้ ตนเองไม่สนใจอยากที่จะคบค้าสมาคมด้วย
หมู่เหวินฮั่วก็คาดไม่ถึงว่าตงฟางข้าวจะไม่ไว้หน้าตนเองถึง เพียงนี้ ให้ตกตะลึงระคนแปลกใจชะงักงันนิ่งอยู่ที่เดิม มองไป ยังตงฟางอ้าวที่ยิ่งเดินยิ่งจากไปไกลของตงฟางข้าว จึงได้สติ กลับมา ก็กล่าวตะโกนเสียงสูงอย่างรีบร้อน
“ท่านอ๋องห้า รอข้าก่อน ข้าจะไปด้วยกันกับท่านพอดี”
ไม่สนว่าท่านอ๋องห้าจะโง่งมหรือไม่ หมู่เหวินชั่วรู้สึกว่า การมี สัมพันธไมตรีต่อกันไม่มีอะไรที่ผิด หากทำออกมาดี ตนเองก็จะ มีอำนาจที่เพิ่มมากขึ้น ขาดก็แต่ ไม่รู้ว่าตนเองต้องเสียแรงไป มากน้อยแค่ไหน การซื้อขายรอบนี้ กลับถือได้ว่าคุ้มค่า
จิ้งจอกเฒ่าภายในใจคิดเช่นนี้ ก็ไม่สนใจตงฟางอ้าวที่มีท่าที เย็นชาไม่สนใจ ทอดทิ้งเกี๊ยวและก้าวตามตงฟางข้าวออกไป
“ท่านอ๋อง ที่ท่านอุ้มอยู่เป็นพระชายาหวั่นหรือ? ” หมู่เหวินชั่ว จ้องไปยังสตรีที่ปกปิดใบหน้าครึ่งหนึ่งของตนเองไว้ที่อยู่ในอ้อม กอดของตงฟางอ้าว กล่าวอย่างเหลือเชื่อ
“อืม”ตงฟางอ้าวยังคงตอบอย่างสั้นๆและกระชับเช่นเดิม ไม่ สนใจหยู่เหวินฮั่วที่ยืนตกตะลึงอยู่
หลังจากที่หมู่เหวินชั่วได้รับการยืนยันจากตงฟางข้าว ในใจ กลับเพิ่มอาการตกตะลึงมากยิ่งขึ้น ไม่กล้าเชื่อและมองไปยัง สตรีที่อยู่ในอ้อมกอดของตงฟางอ้าว พลันลอบประหลาดใจ สวรรค์! มิใช่ว่าโอวหยางหวั่นเอ๋อเป็นหญิงสาวอัปลักษณ์มิอาจ หาอะไรมาเปรียบมิใช่หรือ? มิใช่ว่ากันว่าโอหยางหวั่นเอ๋อครั้น ยังเด็กถูกไฟทําลายใบหน้าของตนเองไปแล้วมิใช่หรือ?
เป็นไปได้อย่างไร? เป็นไปได้อย่างไร? สตรีที่อยู่ในอ้อมกอด ของท่านอ๋องห้างดงามราวกับเทพธิดาเป็นโอวหยางหวั่นเอ๋ อ? หญิงสาวอัปลักษณ์คนแรกในตำนาน
คนที่งดงามเช่นนี้ เหตุใดถึงถูกเรียกด้วยคำเช่นนี้ได้ เช่นนั้นสตรีที่ตนเองก็พบมาแทบทั้งหมด ต่างก็เป็นปีศาจกันทั้งนั้น
หยู่เหวินฮั่วแววตาจ้องไปที่โอวหยางหวั่นเอ๋ออย่างไม่ลดละ ในใจยังอดที่จะตกตะลึงไม่ได้ มองไปที่โอวหยางหวั่นเอื้ออย่าง แข็งค้างอยู่ที่เดิม ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี
โอวหยางหวั่นเอ๋อเป็นหญิงสาวที่ฉลาดเฉลียว เมื่อมองเห็น ชายชราที่มีอายุเข้าห้าสิบกว่าปีกำลังจ้องมาที่ตนเองอย่าง ประหลาดใจ ก็รู้ได้ว่าอะไรที่ทำให้ชายชราผู้นี้ประหลาดใจ แต่ นางกลับไม่คิดที่จะเปิดโปง เพียงแค่ความรู้สึกที่ไม่ชัดเจน เท่านั้น ตงฟางอ้าวไม่ชอบคนผู้นี้ ตนเองก็รู้สึกเลือนรางเช่นกัน ชายชราผู้นี้ราวกับไม่ได้ง่ายอย่างที่แสดงออกเช่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้น เดิมตนเองก็ไม่ได้สมัครใจที่จะอธิบาย ปฏิเสธไม่ได้จริงๆว่า อ้อมกอดของตงฟางอ้าวนั้นสบายยิ่งนักทำให้ตนเองอยากที่จะ นอนสักครู่ ถึงอย่างไรก็ไม่ต้องเปลืองแรงไปอธิบาย
คิดได้เช่นนี้ โอวหยางหวั่นเอ๋อก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมา หลับตาลงและปล่อยให้ตงฟางข้าวโอบกอดตนเอง
“เมื่อครู่ที่พบคือ อัครมหาเสนาบดีคนปัจจุบัน หมู่เหวินชั่ว ยัง เรียกได้ว่า ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันตงฟางนี้ ก็ได้เขาเป็นมือที่ช่วย ผลักดันตำแหน่ง ตงฟางอ้าวมองไปยังคนที่อยู่ในอ้อมกอด และ อธิบายอย่างไม่เย็นชาไม่ราบเรียบ
“อืม” โอวหยางหวั่นเจ๋อตอบกลับตงฟางอ้าวอย่างมีมรรยาท แต่ในใจกลับมีความสงสัยและไม่เข้าใจขึ้นมา คนเมื่อครู่เป็นผู้ใด ตงฟางอ้าวมีจิตใจที่ดีมาบอกนางเพื่ออะไร? ตนเองเป็นเพียงแค่สตรีผู้หนึ่ง ไม่สามารถแทรกแซง ภายในราชสำนักได้ จะต้องรู้เรื่องพวกนี้ไปเพื่ออะไร? แม้ว่าโอว หยางหวั่นเอ๋อจะรู้สึกประหลาดใจ แต่ก็พยักหน้าอย่างจริงจังไป ตามมรรยาท แสดงให้เห็นว่าตนเองได้รับฟังไปแล้ว
มองไปยังโอวหยางหวั่นเอ๋อที่พยักหน้า ตงฟางอ้าวก็ได้นำ สายตาออกไปจากบนร่างของ โอวหยางหวั่นเอ๋อ ในเมื่อด้าน หลังมีเกี๊ยวที่ตามมา กลับยังคงมุ่งมั่นที่จะเดินต่อไป ไม่ได้สนใจ ที่จะนั่งเกี๊ยวเลยแม้แต่น้อย
แม้แต่ตนเองก็ไม่รู้ว่าเหตุใด ตนเองจะต้องโอบกอด โอวหยาง หวั่นเอ๋อ เดินเข้าไปในวังด้วย
เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ