บุรุษมารทมิฬ

บทที่2 สร้างเคล็ดวิชา



บทที่2 สร้างเคล็ดวิชา

ระหว่างที่เขียวเย่กำลังโม้กับตนเองอยู่นั้นก็มีเสียงแว่วดังเข้า มาให้หู

“เซียวเอ๋อ! เกิดอะไรขึ้น!

เซียวหยางกับเซียวหงตกใจ พลางพูดพร้อมวิ่งเข้ามาในห้อง เซียวเย่ มองบุตรชายตนเอง ที่โดยรอบมีพลังลมปราณอยู่ แทรก เข้าไปในร่างกาย

– ขอบเขตปราณสะสม? เซียวเอ๋อ นี่เจ้าเริ่มฝึกยุทธแล้วรึ?” เซียวหยางถามบุตรชายด้วยใบหน้าที่ตกอกตกใจ “ใช่แล้วท่านพ่อข้าอยู่ขอบเขตสะสมปราณขั้นที่1แล้ว”

เซียวเย้ ตอบด้วยใบหน้าที่ยิ้มไม่รู้ร้อนรู้หนาว

“ถึงข้าไม่รู้ว่าเจ้าฝึกได้อย่างไร แต่การที่เจ้าฝึกโดยตันเถียน ยังไม่เติบใหญ่เต็มที่ เจ้าจะไปสู้ใครได้อย่างไร แค่ผู้ฝึกยุทธ ทั่วไป ดีดนิ้วเจ้าก็หงายท้องแล้ว ”

เซียวหยางพูดพร้อมถอนหายใจ

เซียวเย่ยิ้มแย้มไม่พูดอะไร แต่เอามือบิดามาทาบที่ช่องท้อง บริเวณตันเถียน จงใจให้เซียวหยางตรวจสอบด้วยตนเอง เชียว หยางตกใจพลางส่งพลังพลังปราณของตนไปตรวจสอบตันเถีย นบุตรชาย
“นี่มันนน ตะ ต ตันเถียนของเจ้า!! มันไม่ใหญ่ไปหน่อย ใน ขอบเขตชั้น1 ตันเถียนโดยทั่วไปควรกว้างแค่ 3-5 ตั้งเท่านั้น แต่ ของเจ้ามันใหญ่กว่า 10 ง ฝึกยุทธก่อนเวลาอันสมควร ทั้งต้น เถียนตอนนี้ยังใหญ่10จั๊ง! เซียวหง นี่ลูกข้าแน่ เจ้าแน่ใจนะว่า ลูกข้า?”

เซี่ยวหยางหันไปถามเซียวหงด้วยความคับข้องใจ

“ท่านจะบ้าไปแล้ว! หน้าเหมือนท่านอย่างกะคลานตามกันมา เกิดขนาดนั้น อยากให้ข้ามีลูกกับคนอื่นมากนั้น? ข้าจัดการให้ ท่านได้นะ ”

เซียวหงพูดพลางส่งสายตาโกรธเคือง

“ท่านพ่อ ท่านแม่ ไม่ต้องทะเลาะกัน ข้าลูกพวกท่านแน่นอน ข้าแค่บ่มเพาะตามแบบฉบับที่ข้าคิดค้นขึ้นเองก็เท่านั้น เรื่องพวก นี้มันของง่ายๆ”

เขียวเยพร้อมใบหน้ายิ้มแย้ม

ของง่ายๆ? คิดขึ้นเอง? นี่ลูกข้าพูดเรื่องอะไรกัน รีว่าอ่าน ตำรา จนบ้าเข้าขั้นไปแล้ว แต่ถ้าบ้าจริงสิ่งที่เกิดขึ้นมันก็ออกจะ เกินไปหน่อย นี่ลูกข้าเป็นผู้มีพรสวรรค์งั้น? ข้าก็คิดไว้แล้วว่าลูก ข้าไม่เหมือนเด็กที่อายุ10ขวบทั่วไปแต่ก็ไม่คิดว่าจะขนาดนี้

เซี่ยวหยางมองบุตรชายพลางครุ่นคิด

“เจ้าช่วยอธิบายให้ข้าฟังโดยละเอียดได้รึไม่?”

เซี่ยวหยางกล่าวถาม
“ย่อมได้ แต่ท่านพ่อท่านแม่ห้ามบอกใครเด็ดขาด เพราะมัน อาจสร้างอันตรายกับตัวลูกแล้วกับตัวพวกท่านเอง”

เขียวเยอธิบายให้พ่อแม่ตนเองฟัง ให้พอเข้าใจได้ไม่เจาะลึก จนครึ่งชั่วยามผ่านไป ก็เข้าใจกันได้หมด

“ นี่ลูกข้าเป็นผู้มีพรสวรรค์ ฮ่า ฮ่า ฮ่า น่ายินดีนัก น่ายินดีนัก แค่นี้พ่อก็ตายตาหลับแล้ว ลูกจะต้องพาตระกูลเรายิ่งใหญ่ดัง มังกรอุ้มชูมุ่งสู่สวรรค์ พ่อจะไปบอกเล่าเรื่องให้ท่านปู่เจ้าฟัง ให้ ผลักดันเจ้า พ่อจะเล่าพอประมาณ ไม่ต้องเป็นห่วง”

เซียวหยางพูดเสร็จก็รีบวิ่งออกไปจากห้อง

“เซียวเอ๋อ ลูกไม่เป็นอะไรใช่แน่ไม่ ข้าวปลาอาหาร น้ำ ไม่ ดื่มกิน เจ้าจะให้แม่ปวดใจตายงั้นรึ?”

เซียวหงพูดด้วยใบหน้าที่เป็นห่วง

“ท่านแม่วางใจ ข้าเป็นผู้ฝึกยุทธแล้ว อดข้าวไม่กี่วันย่อมไม่ส่ง ผลเสีย”

บอกกล่าวกันแล้วก็พากันไปกินข้าวเสร็จก็แยกย้าย เซียวเย่ เข้ามาในห้องนั่งลงบนเตียงครุ่นคิด

“ตอนนี้ถ้าจะทำให้เคล็ดบ่มเพาะไปได้ไกลกว่านี้คงยังทำไม่ได้ แต่เพียงเท่านี้ก็ทำให้ข้าไปได้ไกลกว่าผู้ใด ในเมืองนี้แน่แล้ว สร้างเคล็ดบ่มเพาะของตนเองแล้ว ข้าก็ต้องสร้างเคล็ดวิชาของ ตนเองเช่นกัน เพื่อเป็นบันไดในการก้าวหน้ายิ่งขึ้นไปอีก ตอนนี้ ข้าได้เปรียบผู้อื่น5ปี ต้องใช้ให้คุ้มค่า เคล็ดวิชาอะไรดีที่ข้าควรสร้างมัน วิชาดาบ? วิชากระบี่? บนโลกนี้ผู้ฝึกยุทธ ส่วนใหญ่ล้วน ใช้ดาบและกระบี่กันทั้งนั้น เพราะพลังทำลายล้วนสูงส่ง ผลึก แพลงได้หลากหลายกระบวนท่า ข้าก็ควรคิดวิชาแบบนี้เช่นกัน

หลังจากครุ่นคิด ก็ตัดสินใจได้ นั่งสมาธิหลับตา ให้เห็นภาพ กระบวนท่าภายในหัว เคล็ดวิชาที่อ่านมาหลายปีมากมาย ซ้อน ทับกันในหัว ผ่านไป1ชั่วยาม ก็ได้มาหนึ่งเคล็ดวิชา

เชียวเยืนขึ้นออกจากห้องเดินไปที่สวนหลังบ้านตนเอง ยืน อยู่หน้าต้นไม้ต้นใหญ่ หลับตาทบทวนวิชาที่คิดค้น มือขวาก แน่น พลังปราณ ในร่างกายเดินทางไปที่แขนขวาที่กำแน่น ตาม แบบเคล็ดวิชาหมัดที่ฝึกฝน

เซียนเยส่งหมัดออกไป หมุนหมัดเหมือนพายุ เกิดเป็นคลื่น พลังปราณหมุนวนรอบหมัด หมัดกระแทกเข้ากับต้นไม้ดัง ตูม ม!! ต้นไม้หักโค่นลงครึ่งนึง เหลือแค่ครึ่งล่าง ครึ่งบนอยู่ไหนไม่รู้

“พลังแบบนี้น่าจะถือว่าดีแล้วรึเปล่านะ? วิชาที่ข้าสร้าง ล้วนมี วิธีในการก้าวหน้าในแบบของมัน ตราบใดที่ข้าได้อ่านเคล็ดวิชา มากพอ มันย่อมเติบโตไปพร้อมกับข้าเรื่อยๆ ตอนไปนี้ข้าจะตั้ง ชื่อเคล็ดวิชาหมัดนี้ว่า ควงวายุ! ข้าจะเชี่ยวชาญเคล็ดวิชาหมัด กับ เคล็ด วิชาอาวุธ ควบคู่กันเพื่อการต่อสู้ที่หลากหลายขึ้น แต่ที่ ตระกูลเซียวมีเคล็ดวิชาอาวุธน้อยเกินไป จะสร้างเคล็ดวิชาอาวุธ ที่ข้าต้องการคงไม่ง่าย ยิ่งขาสามารถเดินลมปราณแทนสายตา ได้แล้ว ถึงจะยังใช้ปราณได้ไม่มากเพราะขอบเขต แต่ถ้าได้อ่าน ด้วยความฉลาดของข้า ย่อมรวดเร็วกว่าอ่านด้วยสายตา เป็น10เท่า แต่ข้าจะไปหาเคล็ดวิชามาจากไหนตัวข้ายังเป็นเพียงเด็ก10ขวบ จะไปหาหินปราณจากที่ใดได้กัน

กลับมาที่ห้องนั่งครุ่นคิด ตระกูลเซียวเป็นตระกูลระดับกลาง ในกวางตุง เมืองกวางตุงก็เป็นเมืองเล็กอยู่แล้ว ตระกูลระดับ กลางยิ่งไม่ต้องพูดถึง ทำการค้าขายของทั่วไป เปิดโรงเตี๊ยม มี เหมืองหินปราณขนาดเล็กในการครอบครองหนึ่งแห่ง พอขึ้นเป็น ตระกูลระดับกลางของเมือง

“ข้าคงต้องพึ่งตนเองในการทำให้ตนเองมั่งคั่งเสียแล้ว

เมื่อคิดได้แล้วจึงข่มตาหลับ ยามเช้าตรู่ เซียวอู่เดินออกมา จากห้องมานั่งที่ม้านั่งข้างห้องพร้อมกล่าว

“เอ้อหวาง เอ้อหวังมาพบข้า!!”

คน2คนสวมชุดธรรมดาวัยกลางคน เดินเข้ามาหาอย่างรีบ

ร้อน

“นายน้อยมีอะไรให้รับใช้ขอรับ”

“ข้าอยู่ในตระกูลมาตั้งแต่เกิดจนบัดนี้ข้าอายุ10ขวบปีแล้วไม่ เคยออกจากจวน จึงอยากให้พวกท่านพาข้าออกไปเดินเล่นเสีย หน่อย ไปบอกท่านพ่อท่านแม่ขาให้ด้วย”

บ่าวรับใช้ รีบไปขออนุญาตเชียวหยาง เจ้าตัวก็ไม่ได้ติด ปัญหาอะไร ยอมให้ออกมาแต่โดยดี

เซี่ยวเย่เดินมาถึงหน้าประตูจวณตระกูลเซียว มีองครักษ์ หนุ่มเคนยืนรออยู่ที่รถม้า อายุประมาณ 20ปี หน้าตาคมสัน คว โก่ง ผิวคล้ำ ไม่ได้ใส่หมวกแต่สวมชุดเกาะยืดหยุ่นสีขาว มีดาบเสียบฝักอยู่ที่เอว ดูแล้วน่าเกรงขาม

“คารวะนายน้อย นายท่านให้ข้า เย่หลิว มาเป็นผู้ติดตามนาย น้อย”

เย่หลิว เด็กกำพร้าที่ตระกูลเซียวรับมาเลี้ยง ภายหลังเติบ ใหญ่ พอมีฝีมืออยู่บ้างจึงฝึกยุทธ์เรียนรู้จนมาถึงขอบเขตปราณ สะสมชั้น4ระดับนี้ถือว่าทั่วไป จนได้เป็นองครักษ์ตระกูลเซียว

“ลำบากเจ้าแล้วเย่หลิว”

เซียวเย่ พูดพร้อมเดินขึ้นไปบนรถม้า พอเดินผ่าน เย่หลิวหัน มองตามรู้สึกได้ถึงลมปราณรอบตัวเซียวเ

ขอบเขตสะสมปราณขั้น! นายน้อย..นี่ท่าน

เย่หลิวตกใจแต่ไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมาขึ้นรถมาตามเชียวเย ขึ้นไป โดยมีเอ้อหวางกับเอ้อหวัง ควบคุมรถม้า

“เย่หลิว เจ้าช่วยเล่าเรื่องเกี่ยวกับเมืองนี้ให้ข้าฟังหน่อย

เซียวเพูดเพื่อทำลายความเงียบ

“ขอรับนายน้อย เมืองกวางตุง เป็นหนึ่งในเมืองของอาณาจักร ต้าเชียง เป็นเมืองขนาดเล็กก่อสร้างอยู่ร่วมกันกับภูเขาและ แม่น้ำ ภายในเมืองมีประชากร 10 หมื่นคน 15ตระกูล มี3ตระกูล ใหญ่ คือ ตระกูลหลิว ตระกูลหลง และตระกูลเจียงทั้ง3ตระกูล ต่างแข่งขันกันอย่างลับๆ ที่เมืองมีทหารใหมื่นนาย เจ้าเมืองกวาง ตุงชื่อ กงซื่อ พึ่งมารับประจำการเมื่อ 2 ปีที่แล้ว นิสัยโอบอ้อมอารี หน้าคบหา เนื่องจากเมืองไม่ได้อยู่ติดชายแดน และไม่ได้อยู่ใกล้ป่าอสูร ที่เมืองจึงไม่มีทหารดินแดนอื่นบุกมาหรืออสูรบุกมาเลย แต่ก็เป็นการตัดรายได้ของเมืองลงหลายส่วน แต่ที่เมืองก็ไปเน้น ที่การผลิตเช่น อาวุธต่างๆ โอสถ ขุดเหมือง โรงเตี้ยม เพราะที่ เมืองบรรยากาศติดภูเขาแม่น้ำมากมาย วิวสายตามากมี จึงมี ผู้คนมาพักผ่อนหย่อนใจเสียมากกว่ามาเพื่อสิ่งอื่น

เย่หลิวบอกในสิ่งที่ตนเองรู้

เซียวเย่เมื่อได้ฟังจึงกล่าวถามต่อว่า

“ที่เมืองนี้ ธุรกิจอะไรที่ทำรายได้ได้มากที่สูง”

เย่หลิวคิดสักพักจึงกล่าว “เรียนนายน้อย ย่อมต้องเป็นหลอม

โอสถกับหลอมอาวุธเป็นแน่แท้”

“อย่างงั้น …”

ถ้าจะหลอมโอสถ คงเป็นไปไม่ได้ ขายังขอบเขตต่ำต้อยนัก

คงต้องรออีกสักหน่อย แต่ถ้าหลอมอาวุธยังพอมีหนทาง

“เย่หลิวในเมืองนี้ โรงหลอมที่ใหญ่ที่สุดอยู่ที่ใด ”

เย่หลิวคิดเล็กน้อยพร้อมกล่าว “เรียนนายน้อยถ้าโรงหลอมที่ ใหญ่ที่สุดของเมืองน่าเป็นของตระกูลหลง อยู่ที่ทิศตะวันออกอยู่ นอกเมืองไม่ไกลนัก

“บอกเอ้อหลางเอ้อหวัง เดินทางไปที่นั้น แล้วอย่าได้ถามอะไร ทําตามที่ข้าสั่งก็พอ เข้าใจไม่

เซียวเหันไปบอกกล่าว เย่หลิวก้มหน้าลง ค้อมมือทําความเคารพ

“เย่หลิวจะทำตามที่นายน้อยสั่ง

นอกเมืองกวางตุง โรงหลอมตระกูลหลง

2ชั่วยามก็นั่งรถม้ามาถึง ด้านหน้าเป็นโรงหลอมขนาดใหญ่ มี รถม้าขบวนใหญ่ ขนเหล็กเข้าออกไม่ขาดสาย รถม้าเทียบด้าน ข้างโรงหลอม เซียวเย่ลงจากรถม้า เดินเข้าไปโรงหลอมพร้อมเย หลิว เถ้าแก่โรงหลอมใส่เสื้อคลุมผมขาว พอเห็นลูกค้าเดินเข้า มา ก็กระตือรือร้นรีบวิ่งมาต้อนรับลูกค้า

“ไม่ทราบนายน้อยท่านนี้ มีอะไรให้รับใช้ขอรับ

เถ้าแก่โรงหลอมพูดด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า

“ข้าอยากทราบว่าที่โรงหลอมตระกูลหลงนี้ หลอมอาวุธจาก เหล็กอะไร แล้วข้าต้องการให้พวกท่านตีดาบให้ขาดูหนึ่งเล่มกับ กระบี่หนึ่งเล่มแล้วข้าจะซื้อดาบและกระบี่เล่มนั้นเอาไว้


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ