บุรุษมารทมิฬ

บทที่ 8 สำนักพิทักษ์ธรรม



บทที่ 8 สำนักพิทักษ์ธรรม

หุบเข้าพิทักษ์ธรรม

ทางใต้ของแผ่นดินต้าเซียง มีหุบเขาใหญ่ด้วยกันหลายหุบเขา แต่ละหุบเขามีสะพานพาดยาวถึงกันและกัน ระยะทางจากหุบเขา ไปอีกหุบเขาหนึ่ง ไม่สามารถมองเห็นด้วยระยะสายตา มองไป ด้านล่างสะพาน เห็นเพียงหุบเหวลึก ที่เต็มไปด้วยหมอกขาว

อากาศดีขึ้นมาจากข้างล่าง ทำให้สะพานแกว่งไปมาเพราะ อากาศด่านล่าง แต่มีหุบเขาหนึ่งหุบเขา ที่ขนาดใหญ่กว่าที่ หุบเขาแห่งอื่น เป็นหุบเขาขนาดใหญ่ที่สุด มีหุบเขาเล็กจำนวน มากรอบล้อมอยู่

หุบเขาที่มีขนาดใหญ่มีสิ่งก่อสร้างคล้ายตำหนักขนาดใหญ่ อยู่บนภูเขามากมาย หลายพันหลัง บนยอดเขาสูงสุด มีบ้านหลัง หนึ่ง ล้อมรอบด้วยแม่น้ำเล็กสายหนึ่ง เนื่องจากบ้านหลังนี้ตั้งอยู่ จุดสูงสุดบนภูเขา ทำให้รายล้อมไปด้วยหมอกขาวคล้ายก่อน เมฆ

ในบริเวณแม่น้ำสายเล็กแห่งนั้น มีชายชรากำลังนั่งตกปลาอยู่ ริมตลิ่ง ชายชรารูปร่างผอมแห้งแรงน้อย สวมเสื้อผ้าสีฟ้า มัดผม ง่ายๆ หนวดขาวยาวจนถึงหน้าอก ในบริเวณที่ล้อมรอบด้วย หมอกขาว เห็นคนหนึ่งคนเดินมาอย่างช้าๆ เดินจนมาถึงริม แม่น้ำที่ชายชรา กำลังตกปลา

ชายชราที่เดินเข้ามาคนนี้สวมชุดสีฟ้าเช่นกัน เสื้อผ้าดูสะอาดสะอ้านเรียบร้อย ไม่เหมือนของชราตกปลา กล่าวออกมา

“ท่านกงซุน …

กงซุนอี้ หลับตาถือคันเบ็ดเงียบเฉย ไม่กล่าวสิ่งใด

ชายชราคนนั้นเห็นกงซุน ไม่ตอบ เลยนึกว่าหูเบาไม่ได้ยิน จึง เร่งเสียงขึ้นเล็กน้อย กล่าว

อะแฮ่ม…ท่านกงซุน…ท่านกงซุน”

เสียงดังกว่ารอบที่แล้ว

กงซุน ก็ยังคงไม่ตอบอยู่เช่นเคย เห็นเพียงหลับตาถือคันเบ็ด อยู่อย่างนั้น

ชายชราคนนั้นทนไม่ไหว ยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆ สูดหายใจเข้า ลึกๆ กล่าวออกมาเสียงดัง

“ท่านกงซุนอี้!!!!!!!!”

“อ้าว! เอออ! หยางเวียนเทียน! เจ้าจะตะโกนทำไมกัน ที่นี่แม้มี เพียงข้าคนเดียวก็หัดเกรงใจผีสางมันบ้าง ที่บ้านไม่เคยสอน เรื่องมารยาทรี.. ”

กงซุนอี้ตกใจสะดุ้งตื่น โวยวายกลบเกลื่อน

“นะนะนี่ท่าน!! ก็ข้าเรียกท่านทั้งหลายรอบแล้ว ท่านก็ไม่ตอบ

ข้าสักนิด ไม่ต้องมาสอนเรื่องมารยาทกับข้าเลย ถ้าอย่างข้าเรียก ไม่มี อย่างท่านไม่ว่าอะไร หะ! ท่านน่ะ! จะนอน จะตกปลา เลือก เอาสักอย่างไม่ได้รึไง นิ่งเงียบแบบนี้ ใครเห็นก็ว่าตาย!!!
“แล้วตายมั้ย?”

กงซุนอี้โต้แย้ง

“เหอะ!! ก็อยากให้ตายๆไปเหมือนกันแหละ ”

“แกสิตาย! มาโหวกเหวกโวยวายบ้านคนอื่นเค้าเนี่ย มี อะไร…”

หยางเวียนเทียนสูดหายใจเข้าลึกๆ พยายามปรับอารมณ์ตัว เอง สงบได้แล้วจึงกล่าว

สํานักกำลังจะรับศิษย์ ท่านต้องการศิษย์ร่วมสำนักเท่าไหร่ กัน

“เจ้ามาถามข้าทำไม เจ้าเป็นเจ้าสำนัก ไม่ใช่ข้าเสียหน่อย…จะ รับแค่ไหนสำคัญด้วยหรือไง ขอแค่มีดีสักคนสองคนก็คุ้มค่าแล้ว แผ่นดินต้าถังกำลังจะย่อยยับ ถ้าเรายังไม่ทำอะไร เป็นทองไม่รู้ ร้อนอยู่อย่างนี้ ข้าคงตายตาไม่หลับ”

กงซุน เงียบสักพัก จึงกล่าวต่อ

“ด่านทดสอบพวกนั้น ไม่ได้ใช้มา20ปีแล้ว ไม่รู้ว่าฝนจะจับ เยอะรึเปล่า หวังว่าจะยังไม่พังไปเสียก่อน ผ่านด่านมาเท่าไหร่ก็ รับมาเท่านั้นแหละ อย่าไปคิดเยอะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า”

กงซุนอี้กล่าวด้วยใบหน้าหัวเราะ

“เหอะๆ เปลี่ยนอารมณ์ไวเสียจริง…ข้าก็แค่มาถามความเห็น เจ้าไปงั้นๆแหละ ข้าก็คิดๆไว้ประมาณนี้อยู่แล้ว”
หยางเวียนเทียนกล่าวเสร็จก็จากสา… กงซุน จากที่ใบหน้ายิ้มๆก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมอีกครั้ง

แผ่นดินนี้จะอยู่ต่อหรือว่าจะโดนแผ่นดินอื่นกลืนกิน ก็คงจะรู้ ไม่อีกไม่นาน…..

2เดือนต่อมา

จากสถานที่สงบเมื่อเดือนก่อน กลับเปลี่ยนกลายเป็น ครึกครื้น มีผู้คนอยู่เต็มไปหมด บางกลุ่มยังถึงกลับตั้งแผงลอย ขายของกันไปทั่วตลอดทางเดินเข้าหุบเขา บางกลุ่มดูก็รู้ว่าไม่ใช่ เด็กกันแล้ว ไม่ต้องหวังมาเข้ารับการทดสอบเลย ขอแค่มาดูเพื่อ เป็นสักขีพยาน ให้แก่อัจฉริยะ ที่กำลังจะมาถึง…

ในหมู่ผู้คนที่เดินผ่านไปมา มีบุรุษที่สวมชุดคลุมสีดำไว้ ภายนอกดูลึกลับ เดินไปตรงที่แผงขายลอยแห่งหนึ่ง กล่าวออก มา

“พี่ชายท่าน ข้อขอฝากม้าไว้กับท่าน ให้ท่านช่วยดูแลได้เลย หรือไม่…เซียวเพูดพร้อมกับยืนมือที่ถือศิลาปราณให้กับชาย เจ้าของแผงลอยผู้นั้น

เจ้าของแผงลอยพอเห็นสิ่งที่เซียวเยี่ยื่นออกมาให้เพื่อเป็นค่า จ้าง ก็รีบคว้าไว้ราวกลับกลัวว่ามันจะหายไป

“โอ้ นี่มันน ได้เลย ได้เลย จะดูแลอย่างดีเลยนายท่าน ฮ่า ฮ่า ฮ่า”

เจ้าของแผงลอยรับสายบังเหียนมาจากเซียวเย่ รีบจูงม้าไปข้างหลัง

เซียวเย่เดินต่อไป เดินไปยังไม่ถึงสถานที่รับการทดสอบ ก็ได้ ยินเสียงดังจากข้างหน้าทางเดิน เซียวเยมองไปข้างหน้า ก็เห็น บุรุษสองคนกำลังต่อสู้กัน คนมุงดูการต่อสู้ รอบล้อมเป็นวงกลม

เขียวเยเดินเข้าไปถามคนที่มุงดูอยู่

“พี่ชาย พี่ชาย ใครต่อสู้กันอยู่ข้างหน้าอย่างนั้นเรอะ?” “หือ…นี่เจ้าไม่รู้จัก คุณชายงั้นเรอะ ได้ๆ เจ้าตั้งใจฟังให้ดี อะแฮ่มมม!”

“ คุณชายผู้สวมชุดสีแดง ดูดุดันผู้นั้น อายุ20ปี เป็นลูกชาย ของผู้นำตระกูลหัว ตระกูลใหญ่ของแคว้นทางตะวันออก ผู้ ปกครองทั่วทั้งแคว้นแดนตะวันออก ชื่อของคุณชายคือหัวเฉิน อายุเพียง20ปีก็อยู่ขอบเขตปราณสะสมขั้นสูงสุดแล้ว เป็นผู้มี พรสวรรค์อันสูงส่ง เป็นผู้ถนัดใช้เคล็ดวิชาต่อสู้สาย อัคคี เห็น ไม่ บนดาบของเค้า มีเปลวเพลิงอัคคีพุ่งออกมาห่อหุ้มดาบเอาไว้ มันช่วยเพิ่มพลังการต่อสู้ด้วยเคล็ดวิชาอัคคีได้หลายส่วน ชื่อ ดาบเพลิงแดง นั่นคือดาบประจำตระกูลที่สืบต่อกันมารุ่นต่อรุ่น คงเป็นที่แน่นอนแล้วที่เค้าคือผู้นำตระกูลคนต่อไป เพราะมีแต่ ผู้นำตระกูลเท่านั้น ที่จะถือครองอาวุธดาบชิ้นนั้นได้

ระหว่างคนที่พูดอยู่กำลังมันปาก จะพูดต่อ เซียวเอ้ก็ตัดบท

พูดสวนขึ้นมา

“อาวุธประจำตระกูลอย่างงั้นเรอะ แล้วถ้าเทียบกับอาวุธตี้อี หล่ะ เป็นอย่างไร?”
“โอ้ยย…เจ้าจะเอามาเทียบกันได้อย่างไร จริงอยู่ที่อาวุธตี้ มี ความคมและแข็งแกร่งเป็นเลิศ แต่มันก็แค่นั้น มันไม่ได้ถูกช่วย ล่อเลี้ยงด้วยปราณธาตุ ซึ่งทำให้ไม่สามารถช่วยเพิ่มพลังในการ ต่อสู้ด้วยธาตุต่างๆได้ อาวุธตี้ก็ดีแล้ว แต่ยังดีไม่พอก็แค่นั้น”

“อ๋อ! กลับมาเรื่องแรก เจ้าอย่าพึ่งขัดปากช้า อะแฮ่ม เจ้า เห็นคนที่ต่อสู้กับหัวเฉินที่สวมเสื้อผ้าสีขาวหรือไม่ เค้าเป็นผู้มี พรสวรรค์อย่างไม่ต้องสงสัย เค้าคือคนของหมู่บ้านเสวี่ยทาง ตะวันตก ที่เป็นแคว้นอันหนาวเหน็บตลอดทั้งปี เค้าคือหนึ่งใน คุณชายเช่นกัน ชื่อว่า เสงี่ยเจี้ยน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นผู้ใช้เคล็ด วิชาต่อสู้สายน้ำแข็ง เห็นที่มือซ้ายเค้าหรือไม่ นั่นคือกระบี่ขาวเส วีย อาวุธประจำหมู่บ้านเสวี่ย ผู้ที่ใช้เคล็ดวิชาน้ำแข็งจะแข็งแกร่ง ขั้นหลายส่วน อายุ19ปี ขอบเขตปราณสะสมขั้นสูงสุดเช่น เดียวกัน ไม่รู้ไปโกรธแค้นกันมาแต่ชาติปางไหน เจอหน้ากันเป็น ต้องต่อสู้กันทุกครั้งไป แถม.. ”

เที่ยวเมืองไปยังคุณชายทั้งสองที่ต่อสู้กัน ระหว่างที่คนข้างๆ ยังแจ่มไม่หยุด

“โอ้วว ชอบโชว์พลังกันนี่เอง นึกว่าเรื่องอะไร

เซียวเยเปิดผ้าคลุมส่วนหัวออก เดินต่อไปฝ่าวงล้อม โดยไม่ สนใจผู้คนที่มุงดูอยู่หรือสองคุณชายที่ต่อสู้กันอยู่เลย

หัวเฉิน เอาดาบพาดไว้ที่หลังคอ กล่าว

“เห้ออ แถวนี้มันหนาวจริงๆ เจ้าว่ามั้ยเสงี่ยเจี้ยน เห็นแล้ว อยากจะเผาให้ละลายไปเสียจริง”
* หนาวก็แล้วอย่างไร ไม่หนาวแล้วอย่างไร เจ้าเห็นข้าที่ครั้ง ก็ หาข้ออ้างนุ่นนั่นนี่ มาประมือกับข้าตลอดอยู่แล้ว ไปไหนก็เอาแต่ โวยวายเสียงดัง หัวเฉินเจ้ามันน่ารำคาญไม่ใช่น้อย

“ก็เจ้ามันดูผอมแห้งแรงน้อย ข้าก็เลยชวนมาออกกำลังกาย เล็กน้อย เพื่อจะดูสมชายขึ้นมาบ้าง ฮ่า ฮ่า ฮ่า

“วันนี้แหละ ข้าจะเข้าเป็นศิษย์สายตรงของ…”

พูดยังไม่ทันจบ ปลายสายตาก็หันไปเห็นบุรุษคนหนึ่ง หน้าตา คล้ายเด็กน้อย ไม่สิ! นี่มันเด็กน้อยของจริง! เดินทางมายังพวก ตน ไม่สิ! เด็กน้อยคนนั้น ไม่ได้หันมามองทั้งสองคนเลยด้วยซ้ำ

เดินผ่านมาระหว่างกลาง เหมือนคุณชายทั้งสองเป็นเพียงแค่ ฝุ่นตามทางเดิน

“ไอ้หนู ที่นี่ไม่ใช่สนามเด็กเล่น รีบกลับบ้านไปซะ

หัวเฉินตวาดออกมาด้วยความโมโห เพราะเด็กที่ไหนไม่รู้เป็น

พวกตน

“หนูน้อย เจ้าทำอย่างนี้มันน่ารำคาญไม่ใช่น้อย เสวี่ยเจี้ยน ก็ไม่ชอบพวกหุ้นจ้านเพราะ เพราะเจ้าตัวมองว่ามัน น่านําคาน?

“จะโชว์พาวเวอร์ก็ไปโชว์กันที่อื่น ที่นี่คือทางเดินทางไปด่าน ทดสอบของสำนักพิทักษ์ธรรม ไม่ใช่อยากจะทำอะไรก็ทำไสหัว ไปซะ”
เขียวเย่กล่าวตอบ ไม่สบตาเดินทางต่อไป

ผู้คนโดนรอบที่มุงดูอยู่ อ้าปากค้าง ไอ้เด็กน้อยนี่มันกินดีหมี เข้าไปรึไง ใจกล้าเกินไปแล้ว ใจอยากจะเข้าไปช่วยแค่ขาไม่ อยากขยับเลยสักนิด บางคนสงสาร บางคนรู้สึกสมน้ำหน้า ต่าง คนต่างแสดงความรู้สึกที่แตกต่างกัน…

“โชว์พาวเวอร์? ถึงจะไม่ค่อยเข้าใจ แต่เจ้ากำลังด่าข้าใช่

มั้ย!!”

“ไอ้หนู!!! ดี ดี วันนี้ข้าจะขอตบปากเจ้าสักครั้ง สั่งสอนแทน ดามารดาของเจ้าที่ไม่สั่งสอน ไอ่เด็กไม่มีมารยาท!!!

หัวเฉิน ตวาดลั่น โมโหถึงขีดสุด พุ่งเข้าไปจับดาบในมือขวา แน่น ในใจยังคงนึกสงสารเด็กไม่รู้ความ ต้องการเพียงตบหน้า สั่งสอนเท่านั้น

เสงี่ยเจี้ยน เพียงแต่มองดู ไม่กล่าวหรือไม่ขยับสิ่งใด

เซียวเย่ ยังคงเป็นต่อ ยืนอยู่กลับที่รอหัวเฉินพุ่งเข้ามา หัวเฉิน เห็นเซียวเย่ยังคงเมินตนเอง ก็ยิ่งโมโหขึ้นไปอีก ง้างมือออก แบมือหมายตบหน้าสั่งสอน จังหวะสุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุด เซียวเย่ ขยับหน้าออกเล็กน้อย หลบฝ่ามือหัวเฉินได้พอดิบพอดี โน้มตัว ไปข้างหน้า เท้าขวาก้าวไปข้างหน้า หมัดขวาหมุนควง ชกสวนไป ที่หน้าท้อง

‘ควงวายุ

ตูมมมม!!
หัวเฉิน อยู่ๆก็ทำหน้าตา ปาก น้ำลายทะลักออกมา กระเด็น ออกไปหลาย10เมตร

หัวเฉินฝืนทนความเจ็บปวด ใช้ดาบแทงลงผืนดิน พยายามรั้ง

แรงกระแทก จึงหยุดลง หันหน้าไปมองด้วยความตกตะลึง รอจนความเจ็บปวด บรรเทาลง จึงกล่าว

“เจ้าเป็นใครกันแน่?

“ชื่อของข้านั้นไม่สำคัญ แต่เจ้าบังอาจลบหลู่บิดามารดาของ ข้า ข้าจะสั่งสอนเจ้าให้หลาบจำ


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ