ตอนที่ 13 :กระท่อมลึกลับในป่า
ระหว่างทางที่กำลังจะไปบริษัทอยู่นั้น หลินจื่อซีคิด อย่างไรก็คิดไม่ออกว่าเมื่อคืนแท้จริงแล้วเกิดอะไรขึ้น กันแน่ จำได้เพียงว่าเขากับป่ายปิงเวยดื่มไวน์กันขวด สองขวดอย่างมีความสุข หลังจากนั้นภาพก็ตัดไปเลย
ถึงแม้ว่ารอบตัวหลินจื่อซีจะมีสาวสวยรายล้อมเป็น จำนวนมาก แต่ว่าเขาก็ไม่เคยมีความสัมพันธ์ใดๆกับ พวกเธอเลย นั่นเป็นความสัมพันธ์ที่ไม่ถูกต้อง เขาเป็น ถึงประธานหลินก็จริงอยู่ แต่เขาก็ยังคงเป็นชายหนุ่มที่ ยังบริสุทธิ์อยู่ด้วยเช่นกัน ผู้หญิงรอบตัวล้วนแล้วแต่เป็น เพียงแค่หน้ากากที่ใช้ตบตาผู้คนภายนอกก็เพียงเท่านั้น
“เฉียง นายเคยมีความสัมพันธ์กับผู้หญิงหรือเปล่า หลินจื่อซีหันไปมองทิวทัศน์ด้านนอกหน้าต่างเพื่อปกปิด ความสับสนภายในจิตใจของเขา
“อ่า ความสัมพันธ์งั้นหรือครับ” เฉียงถามด้วยความ
สงสัย
มองดูเฉียงคนนี้ที่มีท่าทีทึ่มๆ ก็รู้แล้วว่าเขาคงถามผิด คนแล้วหละ “อ่อ ไม่มีอะไร” หลินจื่อซีก็ไม่รู้ตัวเองว่า ทำไมในใจเกิดรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา เขาคือหลินจื่อซีผู้ มีชื่อเสียง แล้วก็ยังเป็นราชาแห่งวงการธุรกิจในเมือง B ผู้ที่สามารถทำอะไรก็ได้ตามที่เขาต้องการอีกด้วย
ถึงแม้ว่ามันจะมีอะไรเกิดขึ้นแล้วมันจะยังไงกันหละ ก็แค่ผู้หญิงคนนึงไม่ใช่หรือ นึกถึงตรงนี้หลินจื่อซีก็ดึงความคิดของตัวเองกลับมาและพยายามบอกให้ตัวเอง ทำใจให้สงบลง เขาจัดการพับแขนเสื้อของเขาขึ้นและ เตรียมพร้อมรอรับความท้าทายของวันใหม่ที่กำลังจะ เริ่ม
ป้ายปิงเวยผู้มีแผนชั่วร้ายกระโดดโลดเต้นหลังจาก อาบน้ำเสร็จ เธอสั่งให้เสี่ยวชุ่ยไปหยิบสิ่งของจำเป็น ต่างๆผู้หญิงมาให้เธอ
หลังจากจัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ เธอก็เดินออกจาก บ้านพักเพื่อไปเดินรับแดดรับลมบ้าง สวนของตระกูล หลินช่างใหญ่โตอย่างน่าอัศจรรย์จริง ๆ ทุกหนทุก แห่งเต็มไปด้วยต้นไม้นานาพันธุ์ เทียบได้กับสวนของ จักรพรรดิในสมัยโบราณเลยทีเดียวเชียว ป้ายปิงเวยม องดูดอกไม้และต้นไม้ที่ได้รับการดูแลเป็นอย่างดีเหล่า นี้ ก็ทำให้อารมณ์ของดีขึ้นมาเล็กน้อย
ป้ายปิงเวยดูไปพลาง เดินไปพลาง จู่ก็มองเห็นป่าทาง ทิศตะวันออกของบ้านตระกูลหลิน “เสี่ยวชุ่ย ป่าผืนนั้น เอาไว้ทำอะไรกันหรือ” เสี่ยวชุ่ยที่กำลังเด็ดดอกไม้อยู่ นั้นขานตอบรับ “คุณผู้หญิงคะ ป่าผืนนั้นดิฉันก็ยังไม่ เคยไปค่ะ”
“ป่าผืนใหญ่ขนาดนั้นไม่น่าจะปล่อยร้างไว้เปล่าๆเนอ ะ” ป่ายปิงเวยพูดขึ้นด้วยความเสียดาย เสี่ยวชุ่ยเพียง แค่ยิ้มตอบรับ “ประธานให้คนสวนคอยทำความสะอาด และบำรุงรักษาเป็นประจำค่ะ”
ไม่มีใครไปที่นั่นแต่ก็ยังคงบำรุงรักษาเป็นประจำอย่างนั้นหรือ มันจะต้องมีอะไรที่ทำให้เราสามารถตก ตะลึงใจได้อีกมากมายในนั้นเป็นแน่ ความอยากรู้อยาก เห็นของป่ายปิงเวยผลักให้เธออยากเข้าไปดูป่าผืนนี้ “เสี่ยวชุ่ย ฉันจะไปเดินเล่นทางด้านนั้นเสียหน่อย อีกสัก ครู่ฉันจะกลับเอง เธอไม่ต้องไปเป็นเพื่อนฉันหรอกนะ
ป้ายปิงเวยกำชับเสี่ยวชุ่ยเสร็จก็เดินมุ่งหน้าไปยังทาง เข้าป่าอย่างมีความสุข สวนของตระกูลหลินใหญ่มาก จริง ๆ เมื่อเดินไปถึงป่านั้น ขาของป่ายปิงเวยก็แทบจะ ไม่มีแรงเดินต่อไปได้อีกแล้ว เธอจึงนั่งตากลมพักผ่อน อยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ในบริเวณนั้น
มองดูผืนป่าที่กว้างใหญ่ไพศาลนี้ราวกับว่านอกจาก ต้นไม้ ใบหญ้าและแมลงตัวน้อย ๆนี้ก็คงจะไม่มีอะไรอีก แล้วกระมัง เธออดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิดหวังอยู่เล็กน้อย แต่ ว่ามาที่นี่ก็แค่มาลองสำรวจดูเท่านั้นไม่ใช่หรืออย่างไร
ป้ายปิงเวยมองดูเห็ดขนาดเล็กที่กำลังเติบโตภายใต้ ต้นไม้ใหญ่มากมายที่เรียงรายตลอดทาง เธอเริ่มคิดว่า หมู่แมกไม้นานาพันธุ์บริเวณนี้ดูน่ารักไม่ใช่น้อย ทั้งยัง เงียบสงบดีอีกด้วย แต่ไหนแต่ไรมาเธอก็ไม่เคยเห็นเห็ด จริง ๆ เสียที ล้วนแล้วแต่เห็นผ่านหนังสือมาหลายครั้ง เท่านั้น นี่ยิ่งทำให้เธอเต็มใจที่จะเล่นอยู่ที่นั่นเพิ่มมาก ขึ้นไปอีก เธอเก็บเห็ดจำนวนมากจากใต้ต้นไม้เพื่อนำมา เล่น เก็บไปพลาง เล่นไปพลาง
พึ่งจะเดินไม่ทันไรก็เดินมาจนถึงใจกลางของป่าผืนนี้ แล้ว สายลมสดชื่นพัดผ่านหน้าไป เสียงลมพัดผ่านหมู่ใบไม้ในป่าแห่งนี้ช่างทำให้จิตใจรู้สึกผ่อนคลายยิ่งนัก วิวทิวทัศน์เบื้องหน้ายิ่งทำให้ป้ายปิงเวยรู้สึกเพลิดเพลิน จนไม่อยากกลับบ้านกันเลยทีเดียว
เบื้องหน้าของเธอนั้นเป็นป่าไผ่ผืนใหญ่ ต้นไผ่สีเขียว มรกตพาดทับกันอย่างสลับซับซ้อน ช่างงดงามจนทำให้ รู้สึกหลงใหลเสียจริง บ้างก็ตั้งตระหง่านสูงชะลูดระฟ้า บ้างก็ดูราวกับว่ายังไม่โตเต็มที่นัก แต่ทว่าก็ยังดูสง่างาม และดูพิเศษไม่เหมือนใคร เธอค้นพบว่าพื้นที่สีเขียวขจี ของป่าไผ่ที่น่าหลงใหลนี้เกือบจะทำให้ป้ายปิงเวยเบิก บานใจจนร้องตะโกนออกมา
“ว้าว คิดไม่ถึงจริงๆเลยนะเนี่ยว่าในสวนของบ้าน ตระกูลหลินจะมีป่าไผ่เล็กๆที่ช่างเงียบสงบและไม่ เหมือนใครขนาดนี้” ราวกับว่าป้ายปิงเวยเธอได้ค้นพบ ดินแดนในความฝันเข้าแล้ว เธอก้มลงเก็บเห็ดดอกเล็กๆ แล้วเดินเข้าไปยังป่าไผ่นั้น กลิ่นของต้นไผ่พัดโชยผ่าน ใบหน้าของเธอ ทำให้เธอรู้สึกสราญใจเป็นอย่างมาก ราวกับกำลังล่องลอยอยู่กลางสายลมโชยอ่อนของฤดู ใบไม้ผลิ ป้ายปิงเวยเงยหน้าขึ้นมองไปตามทาง
แสงอาทิตย์ส่องทะลุลอดผ่านลงมาตามแนวใบไผ่ แสงบางเบาที่ลอดผ่านมานั้นทำให้คลื่นสีเขียวเหล่านั้น ยิ่งดูงดงามและพลิ้วไหวมากยิ่งขึ้น ป่ายปิงเวยนั่งลงบน พื้น แล้วเอนตัวนอนลงตามแนวใบไม้ที่ร่วงหล่นตามพื้น เธอเหม่อมองขึ้นไปบนฟ้าพร้อมดวงตาก็แทบจะปิดลง ครึ่งหนึ่ง
เงียบสงบดีจริงๆ เหมาะกับการนอนและทำสมาธิเป็นอย่างมาก ป้ายปิงเวยนอนเล่นอยู่กลางป่าไผ่อย่าง สบายอารมณ์ ฟังเสียงลมที่พัดผ่าน และเสียงนกร้องจน เผลอหลับไปอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว ในฝันเธอฝันเห็นคุณพ่อ กับคุณแม่และเธอนั่งกินข้าวกันอย่างพร้อมหน้าพร้อม ตาอย่างมีความสุข ข้างตัวเธอนั้นยังมีผู้ชายอีกหนึ่งคน นั่งอยู่ข้างๆ ดูเหมือนว่าจะเป็นสามีของเธอ เรือนร่างสูง โปร่ง แข็งแรงกำยำ และรูปร่างหน้าตาดี…
หลังจากนั้นบ้านของเธอก็ถูกน้ำท่วม คุณพ่อกับคุณ แม่ก็พาเธอและผู้ชายคนนั้นว่ายน้ำกันอย่างไม่คิดชีวิต ทุกคนล้วนดำผุดดำว่ายอยู่ในน้ำไม่สามารถว่ายออกไป จนพ้นได้ ต่อให้ทุกคนพยายามว่ายออกไปมากเพียง ใดสุดท้ายก็ไม่มีผล ป่ายปิงเวยสะดุ้งตื่นขึ้นมาในทันที คิดไม่ถึงว่าจะมีฝนตกหนัก อากาศในฤดูร้อนช่างไม่ แน่นอนจริง ๆมีลมมีแดดได้อยู่ไม่ทันไร ภายในเวลา เพียงชั่วพริบตาเดียวก็กลายเป็นกระแสลมแรงและ สายฟ้าผ่าขึ้นมาเสียอย่างนั้น
ป่ายปิงเวยรีบลุกขึ้นหาที่หลบฝนอย่างลนลาน เธอ ได้แต่โทษตัวเองที่เดินเล่นไกลจนเกินไป ครั้นอยากจะ วิ่งกลับไปให้ถึงที่พักในเวลาอันสั้นก็คงจะเป็นไปไม่ได้ หวังเพียงว่าจะมีที่ใดสักที่หนึ่งให้เธอได้หลบฝนในป่านี้
เธอหาอยู่เป็นเวลานานจนเปียกปอนไปหมดเพราะฝน ตกหนัก ป้ายปิงเวยพึ่งจะพบว่าตรงหน้ามีกระท่อมไม้ เล็ก ๆอยู่ เธอรีบวิ่งไปอย่างมีความสุขราวกับว่าพบเข้า กับสมบัติล้ำค่า เธอรีบเปิดประตูห้องเล็กนั้นเข้าไป
“โชคดีจริงๆที่มีกระท่อมเล็กๆอยู่ตรงนี้ ไม่อย่างนั้นคงเปียกปอนกว่านี้เป็นแน่” ป้ายปิงเวย เธอเช็ดน้ำฝนที่ เปียกบนใบหน้า และจัดการกับเสื้อผ้าที่เปียกโชกของ เธอ เธอกวาดสายตามองกระท่อมหลังนี้จากมุมสายตา ของเธอ กระท่อมหลังนี้ช่างเล็กมากจริง ๆ มีเพียงแค่ เตียงหนึ่งหลัง ด้านหน้าเตียงมีโต๊ะเล็ก ๆอีกหนึ่งตัว บน โต๊ะมีหนังสือวางอยู่สองสามเล่มและยังมีโคมไฟตั้งโต๊ะ วางอยู่ด้วย
นอกจากนั้นก็ไม่มีสิ่งของอื่น ๆตั้งโชว์ไว้ กระท่อมไม้ นี้ถึงแม้จะเล็กแต่ก็สะอาดและเป็นระเบียบมาก มองดู ผ้าห่มที่อยู่บนเตียง ป้ายปิงเวยนั้นลืมไปว่าเสื้อผ้าของ ตนเองนั้นเปียกโชกอยู่ นึกขึ้นได้ว่าตัวเองยังอยู่ใน สถานการณ์เช่นนี้จะมาป่วยไม่ได้ เธอรีบถอดเสื้อถักที่ เปียกโชกออกแล้ววางไว้บนโต๊ะทันที
มีเพียงชุดสายเดี่ยวลายดอกไม้ที่อยู่บนเรือนร่างของ เธอเท่านั้น เธอรีบแทรกตัวเข้าไปอยู่ในผ้าห่มในทันที เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างดูฝนที่ตกหนักพึมพรำ คนบ้านหลินคงยังไม่รู้เป็นแน่ว่าเธอไม่ได้อยู่ที่บ้าน ยังดี ที่ตัวเองเจอกระท่อมไม้เล็ก ๆนี่ รอจนกว่าฝนจะหยุดตก แล้วค่อยเดินกลับไปก็แล้วกับ
ป้ายปิงเวยขดตัวอยู่ใต้ผ้าห่ม ฟังเสียงฝนที่ตกเปาะ แปะอยู่นอกหน้าต่าง ทันใดนั้นก็มีเสียงฟ้าร้องครั่นครืน ทำให้ป้ายปิงเวยกลัวจนตัวสั่น มีแสงฟ้าแลบขึ้นมานอก หน้าต่าง เสียงฟ้าร้องครึมครามอย่างต่อเนื่อง ป้ายปิงเว ยกลัวจนห่อตัวไว้อย่างแน่นหนาใต้ผ้าห่มนั้น เธอได้แต่ อธิษฐานต่อพระเจ้าช่วยให้ฝนที่ตกหนักอยู่นี้ผ่านพ้นไป โดยเร็วเสียที
หลังจากที่หลินจื่อซีกลับมาถึงบ้านตระกูลหลิน เขา เปลี่ยนสื้อคลุมที่เปียกฝนแล้วเดินเข้าประตูไป ในห้อง นอนไม่เจอป้ายปิงเวย เธอน่าจะไม่อยู่สินะ “เสี่ยวชุ่ย คุณผู้หญิงหละ” เสี่ยวชุ่ยเดินออกมาจากห้องครัวตาม เสียงเรียก: “คุณผู้หญิงยังไม่กลับอีกหรอคะ ตอนบ่ายที่ บ้านพักคุณผู้หญิงบอกว่าจะออกไปเดินเล่นไม่ให้ดิฉัน ตามไปด้วย เสี่ยวชุ่ยพูดอย่างระมัดระวังคำพูดของเธอ
“ออกไปเดินเล่นข้างนอกงั้นหรอ นานเท่าไหร่แล้ว” หลินจื่อซีค่อนข้างเป็นห่วงป่ายปิงเวย ฝนก็ตกหนักมา นานพอสมควรแล้ว เธอควรจะรีบกลับมาสิถึงจะถูก หรือจะเป็นเพราะว่าเมื่อคืนตนเองหยาบคายกับเธอมาก จนเกินไป เธอปลงไม่ตกจนถึงขนาดอยากจะหนีไปจาก ตรงนี้รึเปล่านะ
“นี่มันก็ผ่านมา 5 ชั่วโมงแล้วนะ ฉันรีบออกไปตาม หาเธอ” หลังจากฟังเซียงเซียงพูด หลินจื่อซีก็ยิ่งเกิด ความมั่นใจกับความคิดของตัวเองมากขึ้น เขารีบเดินลง บันไดไปอย่างหุนหันพลันแล่นในทันที “ไม่ต้อง ฉันจะ ออกไปตามคุณผู้หญิงเอง บอกคุณปู่กับคุณแม่ด้วยว่า ไม่ต้องรอพวกเราทานข้าว”
“คุณผู้ชายคะ…คุณผู้ชาย…” เสี่ยวชุ่ยตะโกนร้องเรียก ให้หลังหลินจื่อซี ในขณะที่เขาก็วิ่งฝ่าสายฝนเข้าไปแล้ว ถ้าหากป้ายปิงเวยคิดว่าเป็นเพราะเรื่องอุบัติเหตุที่เกิด ขึ้นเมื่อวานแล้วหละก็ เขาคงไม่ให้อภัยตัวเองเป็นแน่
จินตนาการว่าหากป้ายปิงเวยเกิดประสบอุบัติเหตุ อะไรขึ้นมาจะทำอย่างไร ในใจของหลินจื่อซีก็ยิ่งเป็นกังวลและยิ่งรู้สึกกระสับกระสายมากขึ้น เขาเร่ง ความเร็วฝีเท้าเป็นเท่าตัว
เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ