ท่านหญิงจีจอมพลัง

บทที่ 3 สัมผัสอัศจรรย์ของข้า



บทที่ 3 สัมผัสอัศจรรย์ของข้า

ฟ่านหลี่เจี๋ยมองดูภิกษุชราด้วยความคลางแคลงใจ “เหตุ ใดต้องเป็นข้าเล่า? ข้ามิได้เป็นฮ่องเต้หรือเชื้อพระวงศ์สัก หน่อย”

“เพราะเจ้าคือผู้ที่เกิดในวันสมโภชเมือง ยามจื่อซึ่งเป็น ฤกษ์มงคล ในตระกูลที่เป็นผู้ร่วมสร้างเจดีย์ที่วัดหยก สวรรค์ซึ่งถือเป็นหลักชัยของแคว้น” ชายชราควักเอา สร้อยคอที่มีหยกสีดำสลักลายยื่นให้เขา “จงใส่สร้อยนี้ไว้ ตลอดเวลาจนกว่าอาตมาจะมารับคืน สิ่งนี้จะช่วยคุ้มภัย ให้เจ้าได้”

คุณชายใหญ่ฟ่านตื่นแต่เช้าตรู่ เมื่อคืนช่างฝันประหลาด นัก และฝันเหมือนจริงจนน่าแปลกใจ เขาลุกขึ้นพับผ้าห่ม ไว้ปลายเตียง บ่าวข้างนอกได้ยินเสียงฝีเท้าก็รีบเข้ามา จัดแจงน้ำอุ่นสำหรับอาบน้ำให้เจ้านาย

ขณะกำลังจะถอดเสื้อนอน พลันฟ่านหลี่เจี๋ยแตะไปโดน สร้อยหยกที่คอ พอหยิบขึ้นมาดูยิ่งตกใจ ทั้งแบบและ ลวดลายที่เห็นในความฝัน ยามนี้ห้อยอยู่ที่คอเขา

“เอ๊ะ! นี่มัน….” เขาทำหน้าเลิกลั่กจนบ่าวตกใจ ‘นี่มิใช่ฝัน ธรรมดาแล้วกระมัง? คงจะต้องไปหาอาจารย์แล้ว’

ตั้งแต่เยาว์วัยจนจบการศึกษาจากสถาบันเค่อเฉิงเขาจะ มีชื่อติดบนกระดานในฐานะผู้ที่สอบได้อันดับหนึ่งมาโดยตลอด แม้จะเป็นที่รู้กันว่าฟ่านหลี่เจี๋ยมิได้เก่งกาจใน เรื่องวรยุทธ์แต่กลับมีความสามารถในการขี่ม้าและยิงธนู โดดเด่นยิ่ง เขามิได้เป็นบัณฑิตที่กระทำตัวเซ่อซ่า หาก แต่เป็นเพียงผู้ไม่สนโลกผู้หนึ่ง ไม่ว่าผู้ใดจะนินทา ด่าทอ หรือทำร้ายใคร เขาจะไม่ขัดขวางหรือต่อต้าน ตราบใดที่ คนเหล่านั้นไม่มาวุ่นวายถึงตัวเขา ฉายาเสาหิน จึงถูกใน แทนตัวเขามายาวนาน จนกระทั่งอยู่ในฐานะขุนนาง

สถาบันเค่อเฉิงในแคว้นหมิงมีให้เพียงบรรดาคุณชายสูง ศักดิ์และบุตรคหบดีได้ร่ำเรียน เพราะค่าบำรุงการศึกษา นั้นนับว่าสูงเกินกว่ามาตรฐานที่ชาวเมืองทั่วไปจะสามารถ จ่ายได้ ส่วนสตรียังคงนิยมร่ำเรียนอยู่ในเรือนโดยการว่า จ้างอาจารย์เข้าไปสอนเป็นการเฉพาะ ผู้ที่จบจากสถาบัน เค่อเฉิงย่อมมีโอกาสในการสอบแข่งขันเพื่อเป็นขุนนาง มากกว่าบุคคลทั่วไปที่ร่ำเรียนจากหัวเมืองหรือชานเมือง

อาจารย์ใหญ่ของเค่อเฉิง เป็นชายชรารูปร่างสูงใหญ่มี เคราสีเทายาว มักจะสวมใส่ชุดขาวปักลายก้อนเมฆ ถือ ไม้เท้าอันใหญ่ ท่านเป็นผู้ที่มีภูมิรู้สูงส่ง เคยเป็นหนึ่งใน พระอาจารย์ของฮ่องเต้หมิงที่ขอปลดระวางจากในวังออก มาดูแลการศึกษาของ องค์ชายและคุณชายจากตระกูล ใหญ่ต่างๆ ลือกันว่า ในอดีตท่านเคยเป็นเจ้าอาวาสวัดดัง ที่มีวิชาหมัดมวยเป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้า แต่ท่านกลับมิ เคยยืนยันเรื่องนี้
“ท่านอาจารย์ขอรับ โปรดให้คำแนะนำข้าด้วย”

หวังต้าจิ้งเห็นหยกที่คอของศิษย์รักก็มีอาการมือสั่น “หยกชิ้นนี้ เจ้ามิได้มาคนรู้จักแน่นะ”

“ขอรับ ข้าได้จากภิกษุชราในฝันจริงๆ” น้ำเสียงและ ใบหน้าที่ดูที่อและชื่อของศิษย์ผู้นี้ อาจารย์ใหญ่ดูออกว่า เขาพูดความจริง

ท่านอาจารย์หวังหยิบหนังสือปกสีดำที่ซ่อนไว้ล่างสุด ของลิ้นชักตู้ด้านหลังโต๊ะทำงานออกมา ไล่นิ้วไปตาม สารบัญ เปิดไปหน้าที่ต้องการแล้วส่งให้ศิษย์รักได้ดู

“หยกสวรรค์ ส่วนหยิน” ชายหนุ่มมองภาพแล้วอุทาน

ออกมา

“ใช่ นี่คือ หยกที่กล่าวกันว่าถูกเก็บรักษาไว้ในเจดีย์วัด หยกสวรรค์ที่ถูกปิดตายไร้ทางเข้า มีทั้งส่วนหยินสีดำและ หยางสีขาว พลังหยินคือพลังสตรี ส่วนพลังหยางคือพลัง แห่งบุรุษ ตามที่ข้าได้ยินได้ฟัง หากได้ครอบครองหยก หยินหมายถึง เจ้าต้องให้พลังสตรีเป็นผู้ปกป้อง”

ฟ่านหลี่เจี๋ยยิ่งมึนนักเข้าไปอีก เขามิเคยสร้างศัตรู สู้ อุตส่าห์ดำรงตนอย่างเงียบเชียบไม่ชิงดีกับผู้ใด เขาไม่ ออกตัวอวดอ้างความเก่งกาจ ยังต้องหาผู้มาปกป้องอีกหรือ?

“ต้องให้สตรีเป็นผู้ปกป้องเท่านั้นหรือขอรับ?”

“ตามตำนานกล่าวไว้เช่นนั้น”

“หือ!” ฟ่านหลี่เจียพลิกหน้ากระดาษไปมาก็ไม่เห็นมี เขียนรายละเอียดไว้มากกว่าที่ท่านอาจารย์อธิบาย

“ก็บอกแล้วว่า ต๋านาน ก็เป็นแค่เรื่องเล่าอย่างไรเล่า? หากมีเขียนไว้ข้าก็บอกเจ้าว่ามีบันทึกในตาราสิ

“อ้อ….” ฟ่านหลี่เจียพยักหน้ารับ ‘คงต้องไปหาตาราที่ ตรอกคนโฉดอีกแล้วกระมัง’

นับจากฝันประหลาดในคืนนั้น เขาก็เริ่มเห็นสิ่งอัศจรรย์ คืนก่อนเขาไปภัตตาคารบึงหงส์กับจินวิ่งซู เมื่อนั่งลงโต๊ะ ริมนํ้า มีแมลงบินมาชนตาเขาเข้า ครั้นหลับตากลับเห็น ภาพและได้ยินเสียงขุนนางกรมกลาโหมร่ำสุราและพูด คุยเรื่องกองทัพพยัคฆ์เหิน พอสอบถามเสี่ยวเอ้อก็พบว่า คนกลุ่มนั้นเพิ่งมานั่งโต๊ะเดียวกันกับเขาเมื่อวานนี้ ฟ่านหลี่ เจี๋ยใช้ความสามารถในการทำหน้าตายของเขาสืบข่าว จนรู้ว่า กลุ่มขุนนางนั้นมาคุยเรื่องที่เขาได้ยินจริงๆ

ครั้งที่สองฟ่านหลี่เจี๋ยไปยืนรอเข้าประชุมยามเช้ากับฮ่องเต้ ระหว่างยืนรออยู่เสาหน้าอาคาร เขาเผลอฟัง หลังเพราะรู้สึกเพลียจากการประพันธ์หนังสือในยาม ค่ำคืน พอหลับตาก็มองเห็นและได้ยินเสียงเสนาบดีฝ่าย ขวากับผู้ป่วยของเขากำลังคุยกันเกี่ยวกับการโยกย้าย ข้าราชการทหารระดับนายกองหลายราย ต่อมาเมื่อ บัญชีรายชื่อผู้โยกย้ายออกมาก็พบว่าสิ่งที่เขาได้เห็นและ ได้ยินในวันนั้นเกิดขึ้นจริงๆ

และแล้วก็มีครั้งที่สาม…ครั้งที่สี่…ห้าและหกตามมา จน กระทั่งฟ้า หลี่เจียแน่ใจแล้วว่า เขามีสัมผัสอันอัศจรรย์ เขาแอบเข้าไปตรอกคนโฉดเพื่อตามซื้อตำราที่ต้องการ พบว่ามีแผงหนังสือมาเปิดใหม่ เถ้าแก่ตาเดียวเจ้าของแผง หนังสือใต้ดินกำลังทะเลาะกับเถ้าแก่สามตาที่มาเปิดแผง หนังสือหายากขายอยู่ฝั่งตรงข้าม และที่แผงใหม่นี้เขาซื้อ หนังสือเก่ามาเล่มหนึ่ง

ในตำรา ตำนานเก่าแก่ของแคว้นหมิง ประพันธ์โดย เจ้า สำนักหมื่นตำรา’ ได้กล่าวถึงผู้ที่ครอบครองหยกสวรรค์ ฝ่ายหยินไว้ว่า อาจจะได้สัมผัสกับพลังเหนือธรรมชาติ บางอย่าง แต่ระบุไม่ได้ว่าจะเป็นเช่นใด เพราะที่ผ่านมา ไม่มีผู้ยอมเปิดเผย ฟ่านหลี่เจี๋ยพอจะเข้าใจแล้วว่า เหตุใด จึงเปิดเผยไม่ได้

“หลี่เจี๋ยเจ้ามีสิ่งใดจะเล่าให้ข้าฟังหรือไม่?” จินวิ่งซู สังเกตเห็นฟ่านหลี่เจี๋ยคอยให้เขาไปสืบความซอกแซก เรื่องผู้คนจำนวนมากในช่วงเดือนที่ผ่านมาจึงนึกสงสัย แต่ถามเมื่อใดสหายหน้าตายของเขาก็เอาแต่ปฏิเสธฟ่านหลี่เจียได้แต่มองจินจั๋งซูด้วยสายตาว่างเปล่า เพราะ ไม่แน่ใจว่าสิ่งที่ตนเองรู้สมควรจะเล่าให้ผู้ใดฟังหรือไม่?

“ข้าแค่มีสิ่งที่สงสัย แต่ยังไม่มีข้อสรุปเท่านั้นเอง”

“เจ้าสงสัยสิ่งใด?”

“สงสัยในชะตาของแคว้นหมิง”

จินวิ่งซูถึงกับตบพัดพรึ่บ “หา! เจ้าจะสงสัยชะตาเมืองไป ทำไมกัน? เจ้ามิใช่ฮ่องเต้เสียหน่อย” ชายหนุ่มเจ้าของพัด ชะโงกเข้ามาพลางเอาพัดป้องปาก “อย่าบอกนะว่า เจ้า คิดจะกบฏ เช่นนั้นข้าคงไม่กล้าช่วย”


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ